Home Blog Page 44

การบินไทยจัดให้ อยู่บ้านก็ได้ไมล์สะสม

การบินไทย ร่วมกับ วันเดอร์แมน ธอมสัน เปิดแคมเปญ “เก็บตัว เก็บไมล์ ช่วยชาติกับการบินไทย” มอบไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส 1 ไมล์ ทุก 4 ชั่วโมงที่อยู่บ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน “THAI Stay Home Miles Exchange” เพื่อไว้ใช้เดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งหลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย หรือเก็บไว้แลกโรงแรมที่พักหรือของรางวัลอื่นๆ ตามเงื่อนไข

เก็บสะสมไมล์ระหว่างเก็บตัวอยู่บ้านได้ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน THAI Stay Home Miles Exchange
• ระบบ Android: ดาวน์โหลดที่ bit.ly/THAIStayHome และร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2563 – 23 พฤษภาคม 2563
• ระบบ IOS: ดาวน์โหลดที่ App Store และร่วมแคมเปญได้ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2563 – 26 พฤษภาคม 2563

2. ค้นหาตำแหน่งบ้านหรือที่พักอาศัย (หากระบุตำแหน่งแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้) จากนั้นแอปพลิเคชันจะเริ่มเก็บข้อมูล หากผู้ใช้อยู่ในสถานที่ดังกล่าว หรือเคลื่อนที่ในรัศมีไม่เกิน 100 เมตร ระบบจะสะสมไมล์อย่างต่อเนื่อง แต่หากออกจากตำแหน่งดังกล่าว ระบบจะแจ้งเตือนและหยุดสะสมไมล์

3. หลังสิ้นสุดแคมเปญ (หรือเมื่อจำนวนไมล์สะสมในแคมเปญ รวม 500,000 ไมล์สำหรับแต่ละระบบปฏิบัติการ หมดลง) ระบบจะโอนไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส เข้าบัญชีสมาชิกภายในวันที่ 10 กรกฎาคม 2563 (หากท่านยังไม่มีบัญชีสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส

รายละเอียดเพิ่มเติม ?? bit.ly/ROP-THAISHME

สงวนสิทธิ์การเข้าร่วมแคมเปญเฉพาะสมาชิกรอยัล ออร์คิด พลัส ที่พำนักอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น 
สมัครสมาชิก ?? bit.ly/ROP-Enroll

บีทีเอสกรุ๊ป มอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และอสม.

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันที่ 24 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมมอบกองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้กับ อสม. โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและภาคเอกชน คือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดย นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ ได้มอบ

  • 1.กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับแพทย์และพยาบาล จำนวน 50,000,000 บาท
  • 2.กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับผู้ช่วยพยาบาล เทคนิคการแพทย์และรังสีเทคนิค จำนวน 10,000,000 บาท
  • 3.กองทุนสนับสนุนและเยียวยาให้แก่อสม. จำนวนเงิน 10,000,000 บาท

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ และตอบแทนการกระทำความดีของบุคลากรสาธารณสุขทั้งระบบ จำนวน 400,000 คน และ อสม. จำนวน 1,040,000 คน ที่เป็นกำลังหลักของประเทศ ในการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเสียสละ โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าว ชื่นชมและขอบคุณ บุคลากรทุกภาคส่วนที่ได้ เสียสละ อุทิศตน ในการเฝ้าระวังคัดกรองโควิด19 ทำให้สถานการณ์ในประทศดีขึ้น อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลก็ไม่ได้ประมาท ได้มีการเตรียมการวางแผนร่วมกันกับทั้งภาคเอกชน สังคม อย่างต่อเนื่อง พร้อมเน้นย้ำ สุขภาพ สำคัญที่สุด รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจ

และขอบคุณที่บริษัท BTS ได้เข้ามาช่วยเหลือบุคคลากรสาธารณสุข โดย มอบกรรมธรรม์ เงินช่วยเหลือเยียวยา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางภาคเอกชนจะเข้ามาร่วมมือในการเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่อไป

สำนักการบินพลเรือน เตรียมม.รับมือสายการบินกลับมาเปิดบริการ 1 พ.ค. ตั้งกฏนั่งเว้นที่ ห้ามเสิร์ฟอาหาร

นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท. หรือ CAAT) เปิดเผยว่า วันนี้ (23 เม.ย.) กพท. ได้เชิญสายการบินสัญชาติไทยและต่างชาติ กว่า 20 สายการบิน มาทำความเข้าใจถึงมาตรการควบคุมโรค เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 หลังจากที่สายการบินส่วนใหญ่ได้ประกาศหยุดให้บริการชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

แม้ว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจะลดลง และสายการบินภายในประเทศเตรียมกลับมาให้บริการได้ แต่ทุกสายการบินยังจะต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดยให้ขายบัตรโดยสารในลักษณะที่นั่งเว้นที่นั่ง เมื่อถึงช่วงเดินทางต้องรักษาระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร (Social Distancing) ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเช็กอิน การขึ้นและลงเครื่องบิน จะไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน ทั้งนี้เส้นทางที่มีระยะเวลาการบินเกินกว่า 90 นาทีสายการบินจะต้องกันที่นั่งแถวหลังไว้พิเศษสำหรับแยกผู้โดยสารที่มีอาการน่าสงสัยระหว่างเที่ยวบิน

สำหรับลูกเรือ ต้องสวมหน้ากากอนามัย ถุงมือ และเครื่องป้องกันบริเวณใบหน้า (Face shield) ส่วนผู้โดยสารต้องรับผิดชอบสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาการเดินทาง และไม่สามารถนำอาหารของตนเองมารับประทานบนเครื่องบินได้

ทั้งนี้ ขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบเที่ยวบินที่ให้บริการในประเทศกับสายการบินโดยตรง เนื่องจากอาจจะยังไม่เปิดให้บริการในทุกเส้นทาง และสามารถติดตามประกาศการเดินทางทางอากาศที่เกี่ยวกับ โควิด-19 ได้ที่ www.caat.or.th/corona

โลกหลังวิกฤติ Covid-19 (ตอนที่ 1)

  • โลกหลังวิกฤติ Covid-19 จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอนโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐาน (Fundamental Changes)ในชีวิตและสังคมของมนุษย์
  • สรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลง 8 ประการ ของคุณ Suzy Taherian จากบทความในนิตยสาร Forbes, “The New World : How The World Will Be Different After COVID-19”

ในระหว่างการเกิดวิกฤติ Covid-19 ขึ้นนี้ ทุกคนก็คงพอจะเห็นแล้วว่าโรคระบาดนี้ทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงไปทั่วโลก ไม่เฉพาะแต่เรื่องการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่การป้องกันโดยใช้มาตรการสร้างระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing ทำให้ส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมครั้งใหญ่สิ่งที่ตามมาที่เราเห็นก็คือการว่างงานจำนวนมหาศาลเพราะหลายธุรกิจต้องหยุดหรือชะลอการดำเนินงาน มีการคาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะติดลบอย่างมาก และคงเป็นไปอย่างนี้จนกว่าจะได้มีการผลิตวัคซีนหรือยาออกมาปราบไวรัสตัวนี้ ซึ่งทางวงการแพทย์เองต่างก็คาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 2 ปีต่อจากนี้ ซึ่งในระหว่างนี้ทุกประเทศก็คงบอบช้ำกันไปตามๆ กัน

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า โลกหลังวิกฤติ Covid-19 จะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน เพราะถ้าสังเกตดู ระหว่างวิกฤติ Covid-19 นี้ มีหลายอย่างที่ทำให้ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป และอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นฐาน (Fundamental Changes) ในชีวิตและสังคมของมนุษย์ จนหลายๆ คนเชื่อว่า เรากำลังก้าวไปสู่โลกใหม่ (A NewWorld) ในตอนที่1 นี้ ผมขอนำข้อคิดวิเคราะห์และข้อสรุปจากบทความในนิตยสาร Forbes, 7 April 2020 ชื่อ “The New World : How The World Will Be Different After COVID-19” เขียนโดย Suzy Taherian ซึ่งสรุปประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงไว้ 8 ประการดังนี้

  1. ธุรกิจจะหันมาใช้คู่ค้าในประเทศมากขึ้น (Supply chains will be local ratherthan global) ในช่วงเวลาที่ผ่านมาโลกพยายามเปิดเสรีทางการค้าและสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันในระดับ Global ตัวอย่างเช่น การสร้างการค้าขายแบบ Online Shopping ซึ่งทำให้เกิดคู่ค้าที่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค แบบไร้พรมแดน แต่การมาของไวรัส Covid-19 ถือว่าได้เข้ามาทำลายห่วงโช่อุปทานระหว่างประเทศ บริษัทในประเทศที่เคยพึ่งพิงForeign Suppliers เกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถค้าขายกันได้ระหว่างเกิดโรคระบาด ต้องหันมาทบทวนการลดความเสื่ยงลงโดยหันมาใช้ Local Suppliers มากขึ้น แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้นก็ตาม
  2. ร้านค้าปลีกจะหันมาค้าขายแบบออนไลน์มากขึ้น (Shop, work and play online) ระหว่างที่เกิดโรคระบาดจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ร้านค้าปลีกในลักษณะ Physical Stores เริ่มสูญเสียอำนาจการแข่งขันไปให้กับ Online Shopping เพราะผู้คนเกิดความไม่สะดวกในการออกไปจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งโดนมาตรการปิดเมืองทำให้ต้องปิดหน้าร้านระหว่างเหตุการณ์ระบาดของโรคกลุ่มร้านค้าปลีกเหล่านี้จำนวนมากในตอนแรกถือว่าปรับตัวกับการค้าขาย Online ได้ช้าที่สุด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มร้านค้าเหล่านี้ปรับตัวมาทำ Online Commerce ได้เร็วขึ้น บรรดาร้านค้าเหล่านี้ในอนาคตจะทำธุรกิจทั้งในแบบหน้าร้านและ Online จะไม่มีทางหวนกลับไปทำการค้าในลักษณะ In-store อย่างเดียว ผลกระทบที่ว่านี้นอกเหนือจากมีต่อ Physical Stores แล้ว ยังส่งผลทางลบต่อบรรดาศูนย์การค้าทั้งหลายที่เรียกว่า Commercial Real Estate ที่มีบรรดาร้านค้าต่างๆ ไปตั้งอยู่ในนั้นก็จะต้องปรับตัวตามไปด้วย
  3. การฟื้นฟูความเชื่อมั่นต้องใช้เวลา (Loss of trust will take time to recover) เหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ได้ลดทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไปทุกหย่อมหญ้า ลองคิดดูว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่คนจะกล้ากลับไปขึ้นเรือสำราญเพื่อท่องเที่ยวอีกครั้ง หรือการที่จะเปิดบ้านให้ลูกค้าที่เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาเช่าห้อง หรือเช่าบ้าน หรือบางประเทศที่ได้ผลกระทบมีคนติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จะกล้าเปิดประเทศอย่างเต็มที่เพื่อรับนักท่องเที่ยวอีก การฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้ต้องใช้เวลา มีการคาดการณ์กันว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี หลังวิกฤตินี้
  4. ความรู้ความชำนาญด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มโอกาสให้แรงงานที่ปรับตัวได้ (Digital divide will become a chasm) ความรู้และทักษะด้าน IT จะสำคัญมากในยุคต่อไป จะทำให้เกิดช่องว่างแบ่งคนออกเป็นคนที่ใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วและคนที่ไม่ชำนาญ ซึ่งคนที่ปรับตัวและใช้ได้จะมีโอกาสได้งานมากกว่า ต่อจากนี้ไปคนจะเริ่มทำงานและเรียนรู้ทาง Online กันมากขึ้น เพราะในช่วงโรคระบาดมันได้พิสูจน์แล้วว่าคนทำงานอยู่ที่ใดก็ได้
  5. การลงทุนจะหันมามุ่งเน้นกับตลาดในประเทศมากขึ้น (Home-bias will increase dramatically) เหตุการณ์โรคระบาดนี้จะกระทบต่อการลงทุนทั่วโลก เพราะทำให้บรรดานักลงทุนหันมาทบทวนเกี่ยวกับเรื่องความเสี่ยงว่า การลงทุนแบบใกล้บ้าน (Closer to home) น่าจะเข้าใจง่ายกว่าการออกไปลงทุนไกลๆ ในประเทศอื่น นักลงทุนจึงถูกคาดการณ์ว่าจะหันมาลงทุนในตลาดในประเทศมากขึ้น
  6. ระบบสวัสดิการทางสาธารณสุขจะถูกยกระดับมาตรฐานให้ประชาชน (Healthcare for all becomes a more standard view) ก่อนการเกิดโรคระบาด การออกสวัสดิการรักษาพยาบาลให้แก่ประชาชนทุกคนที่เรียกว่า Universal Healthcare ถูกมองว่าเป็นความสิ้นเปลือง แต่เมื่อเกิดเรื่อง Covid19 และมีการพูดเรื่อง Free Testing ให้แก่ประชาชนทุกคน ก็อาจมีปัญหาว่าไม่ได้เตรียมการไว้และไม่มีงบประมาณเพียงพอ ในอนาคตรัฐบาลประเทศต่างๆ จะหันมาทำนโยบายสาธารณสุขให้มีลักษณะ A Good Healthcare System ซึ่งต้องใช้งบประมาณที่สูงขึ้น
  7. การพัฒนาระบบสวัสดิการแรงงานจะเข้มแข็งขึ้นเพราะจะมีคนตกงานมหาศาลเป็นเวลานาน (Unemployment benefit is not just for the lazy) ในภาวะปกติของระบบเศรษฐกิจเราอาจมีคนว่างงานอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่ามีคนที่อาจจะไม่ค่อยขยันปนอยู่ และต้องการรับสวัสดิการช่วยเหลือจากรัฐ แต่เหตุการณ์ Covid-19 ส่งผลกระทบต่อการหยุดชะงักของระบบเศรษฐกิจ แรงงานมีการตกงานจำนวนมากแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนและเข้ามาขอรับความช่วยเหลือหรือเยียวยาจากรัฐบาล ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก และจะกลายเป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศต่อไป ในระยะต่อไปประเทศต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาฐานข้อมูลและระบบการจ่ายสวัสดิการแรงงานให้มีมาตรฐานดีกว่าเดิม เพื่อให้การจ่ายเงินหรือทรัพยากรต่างๆ เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
  8. ธุรกิจประกันภัยจะได้รับความสำคัญมากขึ้น (Insurance takes center stage) ในอดีตที่ผ่านมาบุคคลและธุรกิจมักจะมองเรื่องความเสี่ยงและการทำประกันภัยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ และเห็นว่าการใช้บริการด้านการประกันภัยเป็นเรื่องการมองโลกในแง่ลบเกินไป แต่การเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างเกินกว่าจะประเมินมูลค่าได้ไปทุกที่ทั่วโลก ใครที่บริหารความเสี่ยงได้ดี มีการทำประกันภัยไว้เหมาะสมก็อาจสามารถบรรเทาผลกระทบตอนนี้ได้ดีกว่าการบริหารความเสี่ยงถูกคาดหมายว่าจะเป็น A Core Activity ในโลกใหม่ต่อไป แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจประกันภัย แต่บริษัทประกันภัยเองก็จะเข้มงวดมากขึ้นในการรับประกันภัยและการบริหาร Exposure ที่จะเกิดขึ้น

โดยธรรมชาติในระหว่างสงครามซึ่งมีความยากลำบาก บรรดาผู้คนก็มักจะปรารถนาจะให้มีสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ที่เรียกว่า Rebirth หรือ Renewal ให้เกิดขึ้น และเมื่อสงครามยุติก็มักจะมีเหตุการณ์ที่เรียกว่า A Post-war Boom เกิดตามมาเพราะได้ผ่านพ้นความเจ็บปวดที่ผู้คนล้มตาย และเมื่อความสงบสันติได้เข้ามา
ผู้คนจะรู้สึกอยากระเบิดพลังฝ่ายดี (Creative Energy) ออกมา และกระตือรือล้นที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ มีสินค้าและบริการใหม่ๆ คนจะอยากกลับไปทำงาน บริโภค พักผ่อน ท่องเที่ยว และการลงทุนก็จะกลับมา

Credit : Forbes, Suzy Taherian
โดย ดร.กฤษฎา เสกตระกูล
รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

กสิกร ปล่อยสินเชื่อใหม่เสริมสภาพคล่อง คิดดอก 2% นาน 2 ปี สินเชื่อเดิมพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย

กสิกรไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19 ให้รอด ภายใต้โครงการ “รวมใจไม่ทิ้งกัน” พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับวงเงินสินเชื่อเดิม พร้อมปล่อยกู้สินเชื่อใหม่เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจ วงเงินสูงสุด 20% ของยอดกู้คงค้าง ดอกเบี้ย 2% 2 ปี ฟรีดอกเบี้ยและไม่ต้องชำระเงินต้น 6 เดือนแรก เริ่ม 27 เม.ย.นี้

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิค-19 ธนาคารพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจของธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยการช่วยเหลือรอบนี้แบ่งออกเป็น 2 มาตรการ คือ มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย นาน 6 เดือน สำหรับลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับลูกค้าโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องแจ้งมาที่ธนาคาร ซึ่งจะมีลูกค้าธุรกิจของธนาคารที่ได้สิทธิ์ในมาตรการนี้ ประมาณ 140,000 ราย โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบสิทธ์ได้ที่ www.kasikornbank.com/checkingrescue

นอกจากนี้วงเงินสินเชื่ออื่น ๆ ของลูกค้าที่มีสินเชื่อธุรกิจกับธนาคาร ก็จะได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมโดยครอบคลุมถึงสินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเงินด่วน ให้เข้ามาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระในการชำระหนี้และเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจได้อีกทางหนึ่งด้วย

มาตรการที่ 2 คือ การให้สินเชื่อใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เนื่องจากตอนนี้อยู่ในช่วง shut down หลายธุรกิจจึงประสบปัญหาในการสร้างรายได้ หรือรายได้ที่ได้รับไม่เท่าเดิม จึงทำให้ลูกค้าไม่มีเงินหมุนเวียนในการใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งเงินในการจ้างพนักงาน ธนาคารจึงสนับสนุนการให้สินเชื่อใหม่เพื่อใช้เพิ่มสภาพคล่อง ประคับประคองให้อยู่รอดทั้งธุรกิจและพนักงาน โดยให้วงเงินสินเชื่อ 20% ของยอดสินเชื่อคงค้าง อัตราดอกเบี้ย 2% ระยะเวลา 2 ปี ฟรีดอกเบี้ยและไม่ต้องชำระเงินต้น ใน 6 เดือนแรก สำหรับลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารไม่เกิน 500 ล้านบาท ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถตรวจสอบสิทธิ์และสมัครได้ที่ www.kasikornbank.com/BOtSoftLoan ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน

นอกจากนี้ ลูกค้าที่ประเมินแล้วว่าตนเองอาจจะได้รับผลกระทบค่อนข้างยาว หรือต้องการความยืดหยุ่นในการผ่อนชำระ หรือมีหลักประกันจำกัด ธนาคารก็พร้อมสนับสนุนสินเชื่อใหม่ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยใช้ บสย. ค้ำประกัน

ก่อนหน้านี้ ธนาคารได้ออกมาตรการให้การช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจไปแล้ว จำนวน 11,000 ราย ยอดหนี้คงค้าง 147,000 ล้านบาท และให้วงเงินสินเชื่อใหม่เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำออมสิน จำนวน 3,600 ราย วงเงิน 14,800 ล้านบาท และโครงการ บสย. SME สร้างไทย จำนวน 2,150 ราย วงเงินอนุมัติ 6,700 ล้านบาท

คาเฟ่ อเมซอน มอบหน้ากากผ้าและแอลกอฮอล์ล้างมือ ให้สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย

นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) มอบหน้ากากผ้ามัสลิน คาเฟ่ อเมซอน จำนวน 10,000 ชิ้น และ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือผสมแอลกอฮอล์ 70% จำนวน 180 ขวด แก่ นายพิทยา ศรีโกตะเพชร ที่ปรึกษาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เพื่อจัดสรรให้ผู้พิการทางสายตาทั่วประเทศที่เป็นสมาชิกของสมาคม สำหรับใช้ในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดโรคโควิด-19 ต่อไป

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ คาเฟ่ อเมซอน ได้มอบกาแฟดริปคาเฟ่ อเมซอน ซิกเนเจอร์ จำนวนรวม 47,000 ซอง รวมทั้งปั้นขลิบ และขนมปังกรอบ คาเฟ่ อเมซอน ซึ่งผลิตโดย SMEs ไทย จำนวนรวม 3,120 ชุด รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งถือเป็นกลุ่มอาชีพเสี่ยงแนวหน้าในการต่อสู่กับโรคโควิด-19 อีกด้วย คาเฟ่ อเมซอน ขอส่งความห่วงใยไปยังคนไทยทั่วประเทศ และขอเป็นกำลังใจให้ประเทศไทยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้โดยเร็ว

เงาหุ้น : หุ้นดี STA–RATCH

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 เม.ย.63 ปิด 1,261.81 จุด บวก 8.89 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 76,817.44 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,755.84 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 39 บาท บวก 2.50 บาท,BAM ปิด 22.70 บาท บวก 0.90 บาท, PTT ปิด 33.25 บาท ลบ 0.75 บาท, GPSC ปิด 71.75 บาท บวก 5.75 บาท, KBANK ปิด 90.25 บาท ลบ 6.75 บาท

บล.เอเซียพลัสระบุว่า หุ้นไทยขณะนี้ปรับตัวขึ้นมาแรงหากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดของดัชนี ณ 13 มี.ค.63 ให้ผลตอบแทนสูงราว 30% แต่ต่อจากนี้เชื่อว่าตลาดจะมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญ คือ

1.ดัชนีปัจจุบันเข้าใกล้เป้าหมายปี 63 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 1,264 จุด

2.ปัจจัยกดดันปกคลุมรอบด้าน ทั้งราคาน้ำมันที่ผันผวนมากและอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 21 ปี, การขยายเวลาการ Lock Down เมือง รวมถึงการรายงานงบงวด Q1/63 เริ่มต้นจากกลุ่ม ธ.พ.ที่ไม่สดใสนัก และอาจชะลอต่อเนื่องในงวด Q2/63 ต้องรอดูการรายงานงบในกลุ่ม Real Sector ต่อ

3.ต่างชาติยังขายหุ้นไทยหนัก กองทุนเป็นผู้พยุงหลัก ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องกว่า 1.5 แสนล้านบาทนับจากต้นปี และช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด ต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 หมื่นล้านบาท 4.หากวิเคราะห์ต้นทุนของกองทุนหรือสถาบันฯ เฉลี่ยจากจุดต่ำสุดของ SET ปีนี้ถึงปัจจุบัน พบว่ามีต้นทุนเฉลี่ยถูกมากอยู่ที่ 1,140 จุด มีกำไรสูงถึง 10% ทำให้มีโอกาสสูงที่จะทยอยขายทำกำไรออกมา

เอเซียพลัสแนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี เสริมด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะ 2 บริษัท คือ STA (ให้ราคาตามพื้นฐานที่ 14 บาท) แนวโน้มกำไรสุทธิปี 63 ฟื้นตัวโดดเด่นอยู่ที่ 813 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุนสุทธิ 149 ล้านบาทในปี 62

มีปัจจัยหนุนจาก 1.ธุรกิจถุงมือยาง (20% ของรายได้รวม) โตชัดเจน ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 40.7% yoy 2.ธุรกิจยางพารา (80% ของรายได้รวม) ฟื้นตัวจากโรงงานแปรรูปยางหลายแห่งหยุดผลิตชั่วคราว ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อจาก STA เพิ่มขึ้น และได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าหนุนกำไรดีขึ้น

อีกตัว หุ้น RATCH (ให้ราคาพื้นฐานที่ 75 บาท) เป็นหุ้นผันผวนต่ำ ปันผลสูงกว่า 4% ต่อปี และได้ Sentiment บวกจากความต้องการใช้ไฟที่มากขึ้นจากการเข้าสู่หน้าร้อน รวมถึงการ Work From Home และยังไม่มีผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าของรัฐบาล เนื่องจาก สัดส่วนรายได้มาจาก IPP (โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่) มากกว่า 90%

ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงจนมี upside กว่า 25% จากมูลค่าพื้นฐานเป็นโอกาสเข้าสะสม!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น อินเด็กซ์51 นสพ.ไทยรัฐ

โออาร์ ร่วมกับ ธ.ก.ส. เปิด “พื้นที่ปันสุข” ให้เกษตรกรจำหน่ายมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ พีทีที สเตชั่น

พร้อมเชิญชวนประชาชน ร่วมอุดหนุนเกษตรกร เลือกซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ในราคาพิเศษ

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)(โออาร์) และ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทย ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศ เปิด “พื้นที่ปันสุข” ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เพื่อให้เกษตรกรไทยนำผลิตผลทางการเกษตรมาจำหน่าย โดยจำหน่ายมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ราคาพิเศษ กล่องละ 150 บาท (บรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม) ภายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลา 08:00 – 15:00 น. โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมโครงการและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1365 Contact Center หรือ www.pttor.com 

ทั้งนี้ โออาร์ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยที่ประสบปัญหาในการหาช่องทางจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งมะม่วงน้ำดอกไม้ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเกษตรกรไม่สามารถส่งมะม่วงน้ำดอกไม้ไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ ทำให้ปัจจุบันมีผลผลิตล้นตลาด โออาร์ จึงได้ร่วมกับ ธ.ก.ส. เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจากจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา และเชียงใหม่ นำมะม่วงน้ำดอกไม้มาจำหน่ายที่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมโครงการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสวนมะม่วงได้ระบายสินค้า อีกทั้งยังทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อมะม่วงเกรดดีได้ในราคาพิเศษ อันถือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยกัน 

กลุ่มศรีสวัสดิ์ตอบรับจม.นายกฯ เสนอตัวแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมช่วยแก้วิกฤติประเทศ

กลุ่มศรีสวัสดิ์ พร้อมมีส่วนร่วมให้ประเทศผ่านพ้นโควิด-19 หลังได้รับหนังสือเชิญจากนายกรัฐมนตรี เสนอช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ใช้ 4 พันสาขาทั่วประเทศ เป็นคลินิกแก้หนี้นอกระบบ

ธิดา แก้วบุตตา

ธิดา แก้วบุตตา ตัวแทนกลุ่มบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า นายฉัตรชัย แก้วบุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทและกลุ่มศรีสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในบุคคล ที่ ได้รับหนังสือเชิญจากท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มศรีสวัสดิ์ และนายฉัตรชัย พร้อมที่จะช่วยเหลือให้ประเทศสามารถฝ่าวิกฤติในครั้งนี้

ทางกลุ่มศรีสวัสดิ์เสนอเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยใช้สาขาของศรีสวัสดิ์ กว่า 4 พันสาขาทั่วประเทศ เป็นคลินิกแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งทางกลุ่มศรีสวัสดิ์มีความพร้อมด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เชื่อว่ามีประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดงานหรือเลิกจ้างในช่วงนี้เป็นจำนวนมากที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้นอกระบบ ดังนั้น จึงเห็นว่าการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐและดูแลประชาชนในช่วงวิกฤติ และเป็นผลดีในระยะยาวต่อเศรษฐกิจต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่มศรีสวัสดิ์กำลังจัดทำแผนการทำงานเต็มรูปแบบเพื่อให้การร่วมมือกับรัฐบาลแก้ปัญหาในครั้งนี้สำเร็จด้วยดี เพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไปในระยะยาว

EIC มองแรงงานน่าเป็นห่วง โควิด-19ทำคนตกงานเป็นประวัติการณ์ กระทบภาคครัวเรือน

อีไอซี หรือ Economic Intelligence Center (EIC) หน่วยงานกลยุทธ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ มอง เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดจบแน่ชัด จากผลของการแพร่ระบาดของ Covid-19 ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกสาขาธุรกิจ โดยมีความรุนแรงเป็นพิเศษในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว วิกฤติดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานซึ่งมีสัญญาณความอ่อนแอมาตั้งแต่ในช่วงก่อนหน้า โดยกลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราว  ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และลูกจ้าง SMEs ซึ่งถือเป็นคนส่วนมากถึง 62% ของกำลังแรงงานไทย และมีความอ่อนไหวสูงต่อสภาวะเศรษฐกิจ

EIC ประเมินว่า จำนวนผู้ว่างงานจะเพิ่มขึ้นสูงถึงราว 3-5 ล้านคน ถือเป็นระดับที่สูงกว่าทุกวิกฤติการณ์ในอดีตของไทย ทั้งนี้เพราะผลกระทบครั้งนี้กินวงกว้างกว่าและมีการหยุดชะงักฉับพลัน (sudden stop) ของหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเกษตรอาจไม่สามารถทำหน้าที่ดูดซับคนตกงานจากภาคอื่น ๆ ได้เหมือนในอดีตจากปัญหาภัยแล้ง 

EIC มองว่า จะมีแรงงานอีกจำนวนมากที่แม้จะไม่ตกงาน แต่จำนวนชั่วโมงทำงานและรายได้จะลดลงอย่างมากหรือกระทั่งไม่มีรายได้เลยในบางช่วง ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ตามเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวแบบ U-shaped และผลจาก Covid-19 ที่จะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่มียารักษาและวัคซีน ความเสี่ยงในตลาดแรงงานมีแนวโน้มส่งผลต่อเนื่องไปยังคุณภาพชีวิตของภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบางอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โดยครัวเรือนไทยประมาณ 60% มีสินทรัพย์ทางการเงินไม่เพียงพอใช้จ่ายเกิน 3 เดือน