Home Blog

กระทะเหล็ก ปักหมุดพรีเมียมสตรีทฟู้ด ‘โลตัส สุขุมวิท 50’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในราคาที่เข้าถึงง่าย

ร้านกระทะเหล็ก ฉลองเปิดสาขาใหม่สาขา ‘โลตัส สุขุมวิท 50’ ชูจุดแข็งร้านอาหารตามสั่งพรีเมียมสตรีทฟู้ด รสชาติแบบไทยแท้ ด้วยวัตถุดิบคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมเติบโตต่อเนื่องกับรูปแบบธุรกิจแฟรนด์ไซส์ร้านอาหารสูตรสำเร็จที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยมี นายศุภฤกษ์ หอมสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจห้าดาว ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นายอนุสรณ์ มุทราอิศ เจ้าของร้านกระทะเหล็ก

สำหรับ กระทะเหล็ก สาขา โลตัส สุขุมวิท 50 ออกแบบร้านให้ทันสมัย สามารถนั่งรับประทานภายในบรรยากาศสบายๆ โดดเด่นด้วยรสชาติสูตรต้นตำรับไทยแท้ อร่อยจัดจ้านทุกจาน วัตถุดิบที่นำมาปรุง คัดสรรความสดใหม่ทุกจาน สะอาด คุ้มค่า มีให้เลือกหลากหลายมากกว่า 30 เมนู รับประทานทุกวันแบบไม่มีเบื่อ ในราคาอาหารตามสั่งที่เข้าถึงได้ ซึ่งทุกเมนูจานหลักจะเสิร์ฟด้วยกระทะเหล็กซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้าน

ด้าน เมนูแนะนำที่พลาดไม่ได้ คือ ‘ข้าวกระเพราหมูชีวา’ หมูชีวาเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ จากแบรนด์ U FARM ที่ได้การการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก นำมาปรุงให้ได้รสชาติอร่อยจัดจ้าน อัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากนี้ ยังมีเมนูตามสั่งให้เลือกอีกมากมาย เช่น ข้าวกะเพราไก่ชีวา ข้าวขาหมูเยอรมันคั่วพริกเกลือ ข้าวกะเพราไข่ข้น และเมนูใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามาอย่าง ข้าวผัดโบราณ ข้าวผัดต้มยำกุ้ง ข้าวไข่ข้นกุ้งผัดพริกขี้หนู เป็นต้น พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ให้อิ่มอร่อย สบายกระเป๋า อย่าง ชุดอิ่มเดี่ยว 1 : ข้าวผัดโบราณ + หมูก้อนทอดกระเทียม + ซุปสาหร่าย และน้ำใบเตย 169 บาท (ปกติ 238 บาท) ชุดอิ่มเดี่ยว 2 : ข้าวผัดต้มยำกุ้ง + หมูก้อนทอดกระเทียม + ซุปสาหร่าย และน้ำใบเตย 189 บาท (ปกติ 268 บาท) ตามมาด้วย ชุดอิ่มยกก๊วน1 : ต้มยำปลากะพงน้ำใส + หมูทอดสมุนไพร + ไข่เจียวคอนโด + ข้าวเปล่า 2 ที่ และน้ำใบเตย 2 แก้ว 419 บาท (ปกติ 527 บาท) และชุดอิ่มยกก๊วน 2 : เมนูขาหมูสองใจ + ผัดผักคะน้า + ไข่เจียวดาว + ข้าวเปล่า 2 ที่ และน้ำใบเตย 2 แก้ว 459 บาท (ปกติ 578 บาท) ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม 2567 ที่ร้านกระทะเหล็กทุกสาขา

ปัจจุบัน ร้านกระทะเหล็กขยายสาขาแล้ว 23 สาขา เป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นธุรกิจได้เร็ว คืนทุนไว มีสูตรสำเร็จที่ผู้ประกอบการสามารถเปิดร้านได้ทันที ตอบโจทย์ผู้ประกอบการที่ต้องการทำธุรกิจร้านอาหารแม้ไม่มีสูตรอาหาร โดยร้านกระทะเหล็กให้ครบ ทั้งการออกแบบและตกแต่งร้านให้สวย ทันสมัย มีทำเลเปิดร้านดีๆ ให้เลือก วัตถุดิบคุณภาพและสูตรอาหาร พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลและให้คำปรึกษา ควบคู่กับการทำแผนสื่อสารการตลาดทั้งหน้าร้านและออนไลน์ มอบสูตรสำเร็จในการทำธุรกิจครบทุกด้าน ไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ จึงทำให้ร้านกระทะเหล็กได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี

ผู้ที่สนใจเปิดแฟรนไชส์ ‘ร้านกระทะเหล็ก’ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ : https://www.fivestars-ironpan.com/ พร้อมติดตามโปรโมชั่นดีๆ และข่าวสารเพิ่มเติม ได้ที่ : Facebook Page: กระทะเหล็ก Iron Pan .

เอไอเอส ร่วมกับ เขตพญาไท และพฤกษา โฮลดิ้ง ถวายความจงรักภักดี ผ่านกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เอไอเอส จึงร่วมมือกับ สำนักงานเขตพญาไท และบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) พร้อมเครือข่ายพันธมิตร ร่วมถวายความจงรักภักดี ผ่านการจัด กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วยแนวคิด “AIS Digital for Thais ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยดิจิทัล เฉลิมพระเกียรติฯ” โดยประกอบไปด้วย 3 กิจกรรมในงาน คือ

พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายพระพรชัยมงคล และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
กิจกรรมบริจาคโลหิต ที่ร่วมกับสภากาชาดไทย เชิญชวนพนักงานเอไอเอส ประชาชน และเครือข่ายพันธมิตรของเขตพญาไท ร่วมบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

กิจกรรมทิ้ง “E-Waste เท่ากับปลูก ร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ” โดยมี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานมอบต้นกล้าไม้ให้แก่ 46 องค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวในหลากหลายพื้นที่

โดยกิจกรรมที่ 3 นี้ เป็นการส่งเสริมให้เกิดการตระหนักรู้และร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งในส่วนของเอไอเอสเองนั้น ที่ผ่านมาได้เชิญชวนให้คนไทยเห็นความจำเป็นในการแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Waste ผ่านโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ สู่การเป็นศูนย์กลางการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานสากล แบบ Zero E-Waste to Landfill ดังนั้น จึงขอถือโอกาสมหามงคลนี้ส่งต่อเครือข่ายสีเขียวสู่ชุมชนผ่าน กิจกรรมทิ้ง E-Waste เท่ากับปลูก ร่วมสร้างพื้นที่สีเขียว เข้ากับโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น จากนโยบายของท่านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งเอไอเอส ได้เข้าร่วมปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปี 2567 โดยในงานนี้จะมอบต้นกล้าไม้กลับไปให้เครือข่ายพันธมิตร นำไปขยายพื้นที่สีเขียวในชุมชนของแต่ละองค์กรต่อไป”

นายสมชัย กล่าวในตอนท้ายว่า “ในฐานะพสกนิกรชาวไทย พวกเรารู้สึกปลาบปลื้มและภาคภูมิใจในการได้ร่วมถวายความจงรักภักดีเนื่องในโอกาสมหามงคลในปีนี้ ผ่านพลังความแข็งแกร่งของเครือข่ายพันธมิตรที่จะสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติต่อไป”

สตาร์ทอัพไทยยืนยัน “ESG” คือกลยุทธ์แห่งองค์กรเติบโตยั่งยืน หลังผ่าน โครงการ “ESG to Capital for Tech Entrepreneurs” หลักสูตรหนึ่งเดียวในไทยจาก AIS The StartUp

ดร.ศรีหทัย พราหมณี ผู้จัดการด้าน AIS The StartUp เปิดเผยว่า “กว่า 3 เดือน ของหลักสูตร “ESG to Capital for Tech Entrepreneurs” ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกและหลักสูตรเดียวในไทยที่ถูกออกแบบเพื่อ Tech Start Up โดยเฉพาะ พบว่าผู้ประกอบการสตาร์ทอัพกว่า 91 คน จาก 38 บริษัท จากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Waste Management and Energy Saving, Service and On-demand Economy, Digital Contents and Media Partner, Enterprise Solutions, HR and Freelance Solutions และ Travel Tech & MICE ต่างสะท้อนว่าหลักสูตรดังกล่าวเป็นองค์ความรู้ที่จำเป็นอย่างมากในการนำพาองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน และที่สำคัญคือนำไปใช้ได้จริง และเสริมมุมมองโดยเฉพาะด้านธรรมาภิบาล หรือ Governance ได้อย่างตอบโจทย์ ทั้งนี้ผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการได้มีการเริ่มนำความรู้ที่ได้ไปบูรณาการกับแผนงานด้านกลยุทธ์องค์กร เพื่อการเติบโตของธุรกิจแบบระยะยาว รวมไปถึงยังนำไปปรับปรุงการประเมินความเสี่ยง ESG ในการดำเนินงานองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย”

ดร.ศรีหทัย พราหมณี

โครงการ “ESG to Capital for Tech Entrepreneurs” ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรจากองค์กรต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) และสมาคมสตาร์ทอัพไทยที่มาร่วมแบ่งปันความรู้และแนวทางในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยกิจกรรมในโครงการนี้ประกอบด้วย Coursework เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการ ESG, ESG Clinic เพื่อเจาะลึกเฉพาะถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจของแต่ละบริษัท และ Showcase ที่แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีมาช่วยดำเนินการให้สอดคล้องกับหลักการ ESG เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง

“เราเชื่อมั่นว่า ESG จะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้สตาร์ทอัพนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนธุรกิจเพื่อให้สามารถเผชิญกับความท้าทายในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ อีกทั้งสามารถสร้างความแตกต่างที่มีคุณค่าให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในเวลาเดียวกัน เพราะสร้างสมดุลกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งในนามของ AIS The StartUp เรายืนยันจะเดินหน้าสนับสนุนและร่วมมือกับสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่องทั้งองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างประโยชน์แก่ประเทศในท้ายที่สุด” ดร.ศรีหทัย กล่าวทิ้งท้าย

AIS PLAY พร้อมยิงสดพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 

AIS PLAYเตรียมถ่ายทอดสดพิธีเปิด โอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้จัดพิธีเปิดในสนามกีฬา พร้อมเชิญชวนคนไทยรับชมการถ่ายทอดสดขบวนนักกีฬาของทุกประเทศประมาณ 10,500 คน ที่จะล่องไปตามแม่น้ำแซน ระยะทางกว่า 6 กิโลเมตร ผ่านแลนด์มาร์กสำคัญที่เป็นศูนย์เศรษฐกิจของกรุงปารีส และพิธีจุดคบเพลิงโอลิมปิกที่ยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ส่งตรงจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สู่สายตาคนไทยไม่พลาดทุกวินาทีสำคัญ รับชมพร้อมกัน ในคืนวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 เวลา 00.25 น. พิเศษสำหรับลูกค้า AIS สามารถรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 พร้อมไฮไลท์และรีรัน มากถึง 24 ช่องผ่านช่องทางแอปพลิเคชัน AIS PLAY และ กล่อง  AIS PLAYBOX

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะ Official Broadcaster ของการถ่ายทอดสดโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอคอนเทนต์การแข่งขันมหกรรมกีฬาครั้งประวัติศาสตร์ พร้อมมอบประสบการณ์การรับชมที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งพิธีเปิดโอลิมปิกครั้งนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พิธีเปิดโอลิมปิกไม่ได้จัดในสนามกีฬา โดยขบวนพาเหรดของนักกีฬาจากประเทศต่างๆ จะล่องเรือไปตามแม่น้ำแซน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ใหม่และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมทั่วโลก และมีการใช้เทคโนโลยี แสง สี เสียง และภาพสามมิติ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบพิธีเปิดและการจัดการแข่งขันให้มีความยั่งยืน โดยใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด นับว่าเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและวัฒนธรรมอย่างลงตัว ซึ่งจะทำให้ผู้ชมทั่วโลกได้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งเศสอีกด้วย”

โดยปีนี้ประเทศไทยส่งตัวแทนนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันในหลายประเภทกีฬา รวมทั้งสิ้น 51 คน จาก 16 ชนิดกีฬาที่จะเข้าร่วมศึกการแข่งขันในครั้งนี้ ซึ่งหลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น ทาง AIS PLAY เตรียมยิงสดการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง เป็นการเริ่มต้นการเดินทางของทัพนักกีฬาจากทั่วโลก ที่จะมาร่วมแข่งขันในมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติครั้งนี้ สำหรับลูกค้า AIS และ AIS 3BB Fibre3 ร่วมเชียร์กองทัพนักกีฬาไทยและรับชมพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 ได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผ่านทางแอปพลิเคชัน AIS PLAY และกล่อง AIS PLAYBOX

นอกจากนี้ AIS PLAY ยังเตรียมถ่ายทอดสดการแข่งขันพร้อมไฮไลท์และรีรันมากถึง 24 ช่อง เพื่อมอบประสบการณ์การรับชมที่สมบูรณ์แบบและตื่นเต้นที่สุดให้กับลูกค้าทุกท่าน และ AIS ยังส่งต่อประสบการณ์การรับชมการถ่ายทอดสดโอลิมปิกเกมส์ปารีส 2024 ให้ลูกค้า 3BB Fibre3 ได้รับชมผ่านกล่อง GIGA TV และ GIGA TV App แบบส่งผ่านสัญญาณจาก AIS PLAY ได้ 3 ช่องบรรยายไทยจากทีมนักพากย์กีฬามืออาชีพ โค้ช และอดีตนักกีฬาทีมชาติ สามารถติดตามตารางถ่ายทอดสดการแข่งขันได้ที่ www.ais.th/olympics 

เปิดวาร์ป 2 SME ดาวรุ่ง “วิตซีน้องฉัตร-ลอดช่องไทยมหานคร” เวทีเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2023พร้อม Next Step ประกาศเตรียมส่งแบรนด์ไทยโกอินเตอร์-เดินหน้ายกระดับขนมไทย

“รางวัล SME ดาวรุ่ง” จากเวที “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2023” ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลระดับประเทศที่ไม่ว่า SME หรือผู้บริโภคต่างจับตามอง เพราะ SME ที่จะผ่านเกณฑ์การตัดสิน จนได้รับรางวัลนี้ได้นั้นจะต้องเป็น SME ที่มีสินค้าใหม่วางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 2-3 ปี ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างรวดเร็วและมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มี SME ที่ได้รับรางวัล SME ดาวรุ่งสูงถึง 6 ราย

โดย SME 2 ใน 6 ราย ที่จะชวนมาเปิดวาร์ปดาวรุ่ง พุ่งแรงได้แก่ บริษัท รัชชา ไลฟ์ จำกัด เจ้าของ “พรีเซรั่มรัชชาวิตซีแอดวานซ์” (วิตซีน้องฉัตรซองคู่) ที่สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์ และบริษัท เป็ปเวลธ์ จำกัด เจ้าของ “ผลิตภัณฑ์ลอดช่องไทย-ขนมครกใบเตย” แบรนด์ “มหานคร” ที่มีแพ็กเก็จจิ้งที่ทันสมัย สะดวกต่อการรับประทาน จนสามารถครองใจผู้บริโภค และเติบโตต่อเนื่อง

รัชชานนท์ พุฒซ้อน

จากพ่อค้าตลาดนัด สู่เจ้าของ “วิตซีน้องฉัตร” ที่เตรียมส่งแบรนด์โกอินเตอร์
นนท์-รัชชานนท์ พุฒซ้อน SME คนรุ่นใหม่ไฟแรงอายุ 32 ปี เจ้าของแบรนด์ รัชชา ไลฟ์ (Ratcha Life) ผู้อยู่เบื้องหลัง “พรีเซรั่มรัชชาวิตซีแอดวานซ์” (วิตซีน้องฉัตรซองคู่) สินค้าที่คนทั้งประเทศรู้จักเป็นอย่างดี เล่าย้อนเส้นทางของการก้าวสู่ SME ดาวรุ่งให้ฟังว่า เขาเริ่มต้นทำธุรกิจจากการเป็นพ่อค้าขายเครื่องสําอางตามตลาดนัด ค่อยๆ ไลฟ์สดจนเป็นที่รู้จักและได้รับความไว้ใจ จนวันหนึ่งจึงมีแนวคิดที่จะผลิตสินค้าแบรนด์ของตัวเองออกจำหน่าย ภายใต้แนวคิด “ต้องมีของที่ดีอยู่ในมือ” เพราะเชื่อมั่นว่าผู้บริโภคตามหาของดี และของที่ดีจะขายตัวของมันเองได้

การคิดค้นพัฒนาสูตรกับทีมวิจัยผลิตภัณฑ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของแบรนด์ คือ Vit c Bio Face Serum หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิตซีน้องฉัตร” ที่มีคุณสมบัติดูแลปัญหาสิว สิวอักเสบ สิวอุดตัน ลดรอยดำรอยแดงจากสิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว โดยในช่วงแรกได้ทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เมื่อผู้บริโภคใช้จริงและได้ผลดีก็เกิดการบอกต่อ ประกอบกับทางแบรนด์ได้พรีเซ็นเตอร์ “น้องฉัตร” เมคอัพอาร์ตทิสชื่อดังที่ใช้สินค้าจริงมาช่วยทำการตลาด ส่งผลให้สินค้าเป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว

“นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2560 ก็มุ่งทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก กระทั่งในปี 2565 มองว่าการทำตลาดออนไลน์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เนื่องจากมีเสียงจากลูกค้าว่าอยากให้ขายในร้านค้าปกติด้วย จึงมองหาช่องทางออฟไลน์เพิ่มเติม และเซเว่น อีเลฟเว่นก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้สะดวกและรวดเร็ว มีจำนวนสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 14,000 สาขา จึงได้ปรับแพ็กเก็จจิ้งใหม่ให้สอดรับกับกลุ่มลูกค้าของร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จนได้เป็น “พรีเซรั่มรัชชาวิตซีแอดวานซ์” (วิตซีน้องฉัตรซองคู่) และเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปลายปี 2565 ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายทั้งหมด 7 รายการ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีนี้ทางบริษัทมีแผนจะนำสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศอีกด้วย เริ่มต้นจากประเทศแถบเอเชียก่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา รวมถึงอาจแตกไลน์สินค้าสู่กลุ่มเมคอัพเพิ่มเติมในอนาคต” นนท์ กล่าว

เอกรัฐ พยัคฆพันธ์

“ลอดช่องไทยพร้อมทาน” ยกระดับสู่ขนมครกสิงคโปร์ ในรูปแบบไทยสไตล์
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบขนมไทย เชื่อว่า “ลอดช่อง” คงเป็นอีกหนึ่งเมนูขนมไทยลำดับต้นๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แต่มีข้อจำกัดที่อาจจะรับประทานยากเสียหน่อย เนื่องจากลอดช่องที่วางขายในตลาดส่วนใหญ่จะขายแบบแยกน้ำกะทิกับตัวลอดช่อง อาจทำให้ไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานในทันที รวมถึงในบางพื้นที่อาจหาซื้อได้ยาก ทำให้เกิดช่องว่างในการเข้าถึงสินค้าของผู้บริโภค

จากช่องว่างดังกล่าว เอก-เอกรัฐ พยัคฆพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เป็ปเวลธ์ จำกัด เจ้าของขนมแบรนด์ “มหานคร” จึงปิ๊งไอเดียหันมาพัฒนาลอดช่องไทยพร้อมทานเพิ่มอีกหนึ่งรายการ เพื่อยกระดับลอดช่องไทยสู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรด ในรูปแบบที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมากขึ้น

“บริษัทได้ขอเข้ารับคำปรึกษาจากทาง เซเว่น อีเลฟเว่น และร่วมกันพัฒนาสินค้า ภายใต้โจทย์ตัวลอดช่องต้องไม่แข็งเมื่อแช่เย็น อายุการเก็บรักษานานขึ้นแม้จะอยู่ในน้ำกะทิ และยังต้องคงเอกลักษณ์ความเป็นลอดช่องได้อย่างครบถ้วนคือ น้ำกะทิต้องกลมกล่อม หอมน้ำตาลปึก ตัวลอดช่องต้องมีความหอมจากใบเตย โดยใช้เวลาร่วมกันคิดค้นราว 1 ปี จึงออกมาเป็นลอดช่องในน้ำกะทิพร้อมทานบรรจุถ้วย ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ตัวลอดช่องยังคงความหอมใบเตย ไม่แข็งแม้แช่เย็น รสชาติยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของลอดช่อง มีอายุการจัดเก็บยาวนานขึ้นคือประมา​ณ 7 วันในตู้เย็น จากเดิมที่ลอดช่องในน้ำกะทิมีอายุไม่เกิน 1 วัน ที่มาในแพ็กเก็จจิ้งแบบถ้วย สะดวกพร้อมทาน หลังวางจำหน่ายได้เพียง 2-3 ปี ก็พบว่ากระแสการตอบรับค่อนข้างดี”เอก กล่าว

แต่เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่าย บริษัทจึงนำลอดช่องมาแบ่งบรรจุถุงแบบแยกเนื้อแยกน้ำในขนาดบรรจุ 500 กรัม เพื่อจำหน่ายผ่านช่องทาง ALL ONLINE ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้อในปริมาณที่มากขึ้น หลังจากที่บริษัทพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับแต่ละช่องทางจัดจำหน่าย ส่งผลให้บริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10% ต่อเนื่อง จากเดิมที่ไม่ถึง 10%

แม้ลอดช่องจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่บริษัทก็ยังไม่หยุดพัฒนา โดยสินค้าตัวล่าสุดที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน คือขนมครกสิงคโปร์ ที่มีความหอมของใบเตย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากลอดช่องที่ต้องใช้ใบเตยเป็นวัตถุดิบหลักเหมือนกัน มาใส่ในขนมครกสิงคโปร์ ทำให้ขนมครกสิงคโปร์เป็นขนมที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยเพิ่มเข้ามา ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาด และมีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ จากการตอบรับที่ดีของทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ทางบริษัทจึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้ายกระดับขนมไทยต่อไป เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงขนมไทยได้ง่ายขึ้น

จากการบอกเล่าเส้นทางการเติบโตและทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคตของทั้ง 2 SME ดาวรุ่ง ทำให้เห็นความมุ่งมั่นของซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่นที่นอกจากจะให้ช่องทางการขายแล้วยังจริงจังในการสร้างอาชีพให้กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 สร้าง ตามกลยุทธ์ความยั่งยืน เมื่อบวกกับศักยภาพของ SME ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก จึงเป็นการผสานมือที่ทำให้เป็นขุมพลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่งในอนาคต

เชสเตอร์ฟู้ด จับมือผู้ประกอบการ ยกระดับมาตรฐานร้านอาหาร ร่วมโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ-ทอดไม่ทิ้ง’ สร้างสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด แบรนด์เชสเตอร์ (Chester’s) ลงนามความร่วมมือกับ BSGF ในกลุ่มบริษัทบางจาก และบริษัท ธนโชค ออยล์ไลท์ จำกัด ในโครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ และ ‘ทอดไม่ทิ้ง’ เพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการอาหารไม่ใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ไม่ได้คุณภาพมาทอดซ้ำ และส่งเสริมการจัดการน้ำมันที่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี ด้วยการนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel – SAF)

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ เชสเตอร์ฟู้ด กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เชสเตอร์ต้องการตอกย้ำนโยบายในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้บริโภค สร้างความมั่นใจต่อทุกมื้ออาหารที่รับประทานอาหารต้องใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานและปลอดภัยต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับการสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน

โครงการ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ เชสเตอร์ต้องการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการร้านอาหารในเครือฯ ทั่วประเทศไทย ไม่นำน้ำมันพืชใช้แล้วที่ไม่ได้คุณภาพ กลับมาทอดอาหารซ้ำ โดยเปิดอบรมวิธีการใช้น้ำมันที่ถูกวิธีและตรวจสอบคุณภาพน้ำมันทุกสาขาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ร้านที่ผ่านเกณฑ์จะได้รับประกาศนียบัตรและสติ๊กเกอร์ ‘ไม่ทอดซ้ำ’ จากกรมอนามัยร่วมกับบางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อสื่อสารและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้บริโภคในการรับประทานอาหารปลอดภัย

ด้าน โครงการ ‘ทอดไม่ทิ้ง’ เชสเตอร์ร่วมกับร้านอาหารในเครือฯ บริหารจัดการน้ำมันพืชที่ใช้แล้ว เป็นมิตรต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ จะสนับสนุนอุปกรณ์ในการจัดเก็บน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว ส่งมอบแก่ตัวแทนของ BSGF เพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน สามารถใช้กับเครื่องบินได้โดยไม่ส่งผลกับเครื่องยนต์ ซึ่งทุกร้านที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้ใบรับรองการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างรู้ค่า มีการหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดตามโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน – เศรษฐกิจชีวภาพ – เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) สร้างสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งช่วยผู้ประกอบการเพิ่มรายได้จากการจำหน่ายน้ำมันที่ใช้แล้วอีกด้วย

สำหรับ ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ ต้องผ่านเกณฑ์สำคัญ ได้แก่ 1.) ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำที่มีค่าสารโพลาร์ (Polar compounds) เกิน 25% ของน้ำหนักน้ำมัน 2.) ส่งต่อน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว เพื่อไปผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน อย่างต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป

พม. จับมือ AIS ACADEMY เปิดเวทีภารกิจคิดเผื่อ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” โชว์ 15 นวัตกรรมฝีมือคนรุ่นใหม่ สร้างโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนพิการ

นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลทีมชนะเลิศการแข่งขัน ภารกิจคิดเผื่อ “JUMP THAILAND HACKATHON 2024” กับโจทย์ “เราจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร?” ตอกย้ำ ภารกิจคิดเผื่อ ที่เน้นย้ำว่า นวัตกรรมคือโอกาสแห่งการสร้างความเท่าเทียมของคนไทย พร้อมประกาศผลการตัดสิน โดยทีมชนะเลิศที่จะได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัล 100,000 บาท คือ ทีม PATHSENSE และรางวัลที่ 2 คือทีม Autism ส่วนที่ 3 คือ ทีมหลานม่า ที่นอกจากจะได้รับรางวัลมูลค่ารวม 200,000 บาท ยังจะได้รับโอกาสในการร่วมงานกับ AIS หลังจบการศึกษา และการพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงร่วมกับกระทรวง พม. ต่อไป

นายอนุกูล กล่าวว่า “ปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับ “วิกฤตประชากร” โครงสร้างประชากรของไทยมีการเปลี่ยนแปลง เด็กเกิดน้อยลง วัยแรงงานแบกรับภาระการดูแลเพิ่มมากขึ้น การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 13.06 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งกระทรวง พม. ได้มีนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร เพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย 5 ข้อเสนอ ได้แก่ 1) เสริมพลังวัยทำงาน 2) เพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน 3) สร้างพลังผู้สูงอายุ 4) เพิ่มโอกาสและสร้างเสริมคุณค่าคนพิการ และ 5) สร้างระบบนิเวศที่เหมาะสม เพื่อความมั่นคงของครอบครัว ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. และ AIS ในครั้งนี้ นับเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย 5×5 ฝ่าวิกฤตประชากร โดยการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวก และเท่าเทียมกับคนทั่วไป

กระทรวง พม. เชื่ออย่างยิ่งว่า ไอเดียและนวัตกรรมจากคนรุ่นใหม่ที่ได้จากโครงการครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างมาก หากถูกต่อยอดพัฒนามาเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างยั่งยืน ทั้งในมิติของการนำเทคโนโลยีมาอำนวยความสะดวก และยกระดับศักยภาพการใช้ชีวิตของผู้สูงวัยและคนพิการ รวมถึงในมิติของการออกแบบนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการทำงานของบุคลากรของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีเครื่องมือในการทำงานที่มีประสิทธิภาพสามารถเชื่อมต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ตรงเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

นายอนุกูล ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขอชื่นชมและแสดงความยินดีกับทั้ง 15 ทีมที่ผ่านเข้ารอบในครั้งนี้ นับว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และยิ่งรู้สึกดีใจ ที่เห็นคนรุ่นใหม่ มีเวทีแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ และยังเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อคนพิการและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวพวกเราทั้งสิ้น”

นางสาวกานติมา กล่าวเสริมว่า “หลังจากเปิดตัวโครงการ JUMP THAILAND HACKATHON 2024 กับโจทย์ “เราจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและคนพิการได้อย่างไร?” ร่วมกับ กระทรวง พม. ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีนิสิต นักศึกษา ให้ความสนใจนำเสนอไอเดียอย่างมากมาย ซึ่งเมื่อทีมพนักงาน AIS ได้ลงไปร่วมพัฒนาไอเดียด้วยการนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและแพล็ตฟอร์มเข้าไปผสมผสานแล้ว ทำให้วันนี้เราได้มาถึง 15 ไอเดีย ที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการนำไปต่อยอดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มคนพิการ และผู้สูงอายุได้อย่างตอบโจทย์”

“AIS เชื่อมั่นในศักยภาพคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะทางดิจิทัลและจิตสาธารณะ “Jump Thailand” เป็นโครงการที่ AIS Academy เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2018 เพื่อทำงานด้านส่งเสริมศักยภาพตลอดจนต่อองค์ความรู้ให้คนไทย ในครั้งนี้เราเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ นิสิต นักศึกษา ร่วมกับพนักงาน AIS ได้นำเสนอโครงการที่หลากหลาย โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม มาสร้างประโยชน์ในการลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต แก้วิกฤติประชากร ที่น่าปลาบปลื้มใจคือเราได้เห็นความสามารถของน้องๆ นิสิต นักศึกษาในการสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พี่น้องกลุ่มเปราะบาง เปรียบเสมือนทุกท่านเป็น ไม้ขีดไฟก้านเล็กๆ ที่เราเชื่อว่าไม้ขีดไฟก้านเล็กๆทุกก้านนี้จะร่วมกันสร้างความสว่างไสว และจะเป็นแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดให้เกิดการส่งต่อให้ประเทศด้วยการคิดเผื่อแผ่กัน การทำงานจากทุกภาคเพื่อประชาชน จากนวัตกรรม ทักษะความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างยั่งยืน เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เราเชื่อว่าทั้ง 15 ไอเดีย จะเป็นแรงบันดาลใจ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับกลไกการดูแลประชาชน จากนวัตกรรม ทักษะความรู้ และโอกาสใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างยั่งยืน

สำหรับ 3 ทีมที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ประกอบด้วย

รางวัลที่ 1 : ทีม PathSense จากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล พัฒนานวัตกรรมเพื่อคนพิการให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ด้วยตัวเอง ผ่านกระเป๋าสะพายข้างซึ่งมีการติดตั้งกล้อง AI เอาไว้ที่สายกระเป๋า ตัวกล้องมีความสามารถในการตรวจจับวัตถุและสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น บันได ประตู กำแพง และอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของผู้สวมใส่ แล้วทำการแจ้งแก่ ผู้สวมใส่ผ่านทางหูฟังหรือลำโพงโทรศัพท์

รางวัลที่ 2 : ทีม AUTISM จากนิสิตนักศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร พัฒนานวัตกรรมแพลตฟอร์มสื่อสารการทำงานสำหรับผู้มีภาวะออทิสติก (Autism spectrum disorder: ASD) เพื่อสร้างอาชีพไปพร้อมกับการบำบัด โดยนำอาการของผู้มีภาวะออทิสติก มาปรับใช้ร่วมกับ AI ทำให้การสื่อสารในการทำงานระหว่างผู้มีภาวะออทิสติกด้วยกันเอง และผู้มีภาวะออทิสติกกับบุคคลทั่วไปเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รางวัลที่ 3 : ทีม หลานม่า จากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พัฒนานวัตกรรมเข็มขัดตรวจจับการล้มกระตุ้น AirBag พร้อมติดต่อญาติ หรือรถโรงพยาบาล ผ่านสัญญาณ Cellular , DevioBeacon ของ LINE OA

“ทุกธุรกิจจะเติบโตอย่างแข็งแรงมั่นคงได้ยาก หากสังคมภายนอกยังมีความท้าทาย AIS เราจึงเชื่อในเรื่องของการเติบโตแบบร่วมสร้างและสำนึกสาธารณะ การสร้างโครงการ ภารกิจคิดเผื่อ ที่เปิดพื้นที่ให้กับพนักงานในการส่งต่อความรู้ สร้างอาชีพกับประชาชน และการทำงานร่วมกับภาครัฐในการพัฒนาสังคม ต้องขอขอบพระคุณ กระทรวง พม. ที่ให้โอกาส AIS ได้เข้าไปทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนด้วยกัน โดยยืนยันที่จะเดินหน้าตามเจตนารมณ์นี้อย่างต่อเนื่อง เพราะงานลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงการแข่งขันเพื่อวัดขีดความสามารถของนิสิต นักศึกษา ที่สนใจเรื่องนวัตกรรมเพียงเท่านั้น แต่เป็นโครงการต้นแบบที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคม ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มคนพิการให้มีศักยภาพในการดูแลตนเองได้อย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งสามารถดูข้อมูลรายละเอียดของ 15 ไอเดีย ได้ที่ www.jumpthailand.com หรือ https://www.facebook.com/AISJumpThailand เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่าง AIS Academy และ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” นางสาวกานติมา กล่าวย้ำในตอนท้าย

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ รพ.ในเครือ BDMS ทั่วประเทศ มอบสิทธิประโยชน์และความมั่นใจเรื่องสุขภาพให้ลูกค้า “MTL Health Buddy”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า     เพื่อเป็นการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการ “MTL Health Buddy” จับมือ โรงพยาบาลในเครือ BDMS ทั่วประเทศ ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ   กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท ร่วมเติมเต็มความอุ่นใจด้วยการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy  ประกอบด้วย  บริการให้คำแนะนำและปรึกษาโดยแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญทางโทรศัพท์  และสิทธิพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิเช่น ส่วนลดค่าห้อง  ค่ายา บริการขึ้นเยี่ยม และรับของที่ระลึกจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รถส่งผู้ป่วยกลับบ้าน เป็นต้น   รวมถึงโปรโมชันแพ็กเกจสุขภาพราคาพิเศษเพื่อการรักษาเฉพาะทาง 4 ด้าน ได้แก่ แพ็กเกจรักษาเกี่ยวกับหัวใจ แพ็กเกจสำหรับแม่และเด็ก แพ็กเกจสำหรับคุณผู้ชาย และแพ็กเกจการรักษากระดูกและข้อ

โดยสิทธิประโยชน์ทั้งหมดข้างต้น สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ที่สนใจใช้บริการดังกล่าวเพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่  MTL Health Buddy แจ้งความประสงค์ในการใช้บริการและรับบริการตามสิทธิประโยชน์พิเศษต่อไป

“เมืองไทยประกันชีวิต เรายังคงเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี  ภายใต้นโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) ที่พร้อมก้าวเคียงคู่ในทุกช่วงจังหวะของชีวิต” นายสาระ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการ MTL Health Buddy ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพ ผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร เป็นบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตทุกท่าน ทั้งประกันรายบุคคล และประกันกลุ่ม สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค พร้อมกับสิทธิพิเศษอื่นๆอีกมากมาย ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ  เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่  www.muangthai.co.th  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766

เคทีซี ผนึก สกมช. เปิดเวที KTC FIT Talk #12 ถก“อนาคตภัยไซเบอร์ กับอนาคตการป้องปราบ”

เคทีซีจับมือสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เปิดเวทีเสวนา เตือนภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ “อนาคตภัยไซเบอร์ กับอนาคตการป้องปราบ” สร้างการตระหนักรู้-รับมือ-ไม่ตกเป็นเหยื่อ ติดอาวุธทางความคิดให้คนไทยตั้งสติ รับมือกับความเสี่ยงก่อนทำธุรกรรมการเงินบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในผู้สูงอายุ เผยกลโกงมิจฉาชีพรูปแบบใหม่เป็นกรณีศึกษา พร้อมแนะวิธีสังเกต เทคนิคป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและการแก้ไข

            นายไรวินทร์  วรวงษ์สถิตย์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานควบคุมงานปฏิบัติการและปฏิบัติการร้านค้า “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่าเคทีซีให้ความสำคัญกับการศึกษาและพัฒนาระบบบริหารการป้องกันภัยทุจริตให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นสถาบันการเงินรายแรกในเอเชีย แปซิฟิก ที่ได้รับมาตรฐานสากลด้านความปลอดภัยของข้อมูลบัตรเครดิต (PCI DSS) จากสถาบันรับรองมาตรฐานแห่งชาติของประเทศอังกฤษ BSI (British Standards Institution) และพร้อมจะสนับสนุนให้สมาชิกและผู้บริโภคได้รับความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อร่วมป้องกันภัยไซเบอร์ในเบื้องต้นไปด้วยกัน เราจึงได้ร่วมมือกับองค์กรหน่วยงานต่างๆ จัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งนี้ได้ร่วมกับสกมช. เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และอัพเดทภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับคนไทย นอกเหนือจากการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเคทีซีครอบคลุมทั้งระบบ”

“โดยปัจจุบันแนวโน้มการทุจริตจากธุรกรรมที่ไม่ใช้บัตร (card not present) หรือใช้โปรแกรมสุ่มเลขบัตรไปทำธุรกรรมการเงิน (Bin Attack) และการที่ข้อมูลรั่วไหล (Data Compromise) ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซีจึงได้ออกผลิตภัณฑ์ “บัตรเครดิตเคทีซี ดิจิทัล” (KTC Digital Credit Card) เพื่อยกระดับความปลอดภัยขั้นกว่าในการใช้บัตรเครดิตให้กับสมาชิกเคทีซี ซึ่งเป็นการป้องกันการทุจริตประเภท card not present หรือ Data Compromise”

“ภัยไซเบอร์เป็นภัยใกล้ตัวและลุกลามเข้าถึงกลุ่มเปราะบางมากขึ้น โดยใช้ความหวาดกลัวในการล่อลวง การเตรียมตัวและการป้องกันภัยด้านไซเบอร์ในวันนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนทุกกลุ่มต้องเรียนรู้อย่างเท่าทัน เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อตนเองและคนรอบข้าง โดยรูปแบบของภัยไซเบอร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันคือ Social Engineering รูปแบบต่างๆ  และ Remote Control ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้าถึงระบบไอโอเอส (iOS) ได้เช่นเดียวกับแอนดรอยด์ (Android)  และแนวโน้มในการหลอกโอนเงินมีความเสียหายที่สูงกว่าเคส Remote Control โดยมิจฉาชีพจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุ”

“ภัยจาก Social Engineering มีหลายรูปแบบ เป็นวิธีการโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งหวังให้เหยื่อทำตามคำสั่งของผู้โจมตี โดยใช้เทคนิคการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างของเทคนิค Social Engineering ที่พบมากที่สุดในปัจจุบันคือ 1) Phishing คือการส่งอีเมลปลอมเพื่อหลอกให้ผู้รับกดลิงค์ ใช้เทคนิคหลอกลวงเหยื่อเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน เลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป้าหมายของการโจมตีด้วย Phishing คือให้กรอกข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต หรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ง่ายๆ คือ ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัวผ่านทางอีเมลหรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบ URL หรือที่มาของข้อความนั้นๆ อยู่เสมอ  2) Vishing คือหนึ่งในเทคนิคการโจมตีทางไซเบอร์ที่ใช้เสียงในการสื่อสาร โดยมักจะติดต่อผ่านโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ให้ข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลบัญชีที่สำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิต รหัส OTP หรือข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ซึ่งนำไปสู่การถูก Remote Access เป็นต้น  3) Smishing คือการใช้ข้อความที่ถูกส่งผ่าน SMS (Short Message Service) เพื่อหลอกลวงเหยื่อให้ข้อมูลส่วนตัว หรือคลิกลิงก์ที่อาจสร้างความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ควรระวังไม่คลิกลิงค์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ ปัจจุบันธนาคารไม่มีนโยบายแนบลิงค์ผ่าน SMS หรือส่ง SMS ที่มีเนื้อหาให้กดแลกคะแนนด่วนเพื่อแลกของรางวัล เป็นต้น”

            นายนพรัตน์ สุริยา ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายป้องกันทุจริตบัตรเครดิตและร้านค้า “เคทีซี” กล่าวว่า “ปัจจุบันภัยไซเบอร์ที่เกิดจากการรีโมท คอนโทรล (Remote Control) ที่มิจฉาชีพหลอกให้กดลิงค์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน เริ่มมีแนวโน้มลดลง แต่การถูกแก๊งค์คอลเซ็นต์เตอร์หลอกให้โอนเงินโดยตรง กลับมีแนวโน้มที่สูงขึ้นและความเสียหายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเปราะบางและถูกหลอกได้ง่าย ใช้วิธีการล่อลวงเจ้าของบัญชีให้เกิดความหวาดกลัวว่ามีส่วนในการฟอกเงินโดยแอบอ้างมา

จากสถานีตำรวจภูธร (สภอ.) ต่างๆ หรือติดต่อจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และมีพัสดุต้องสงสัยหรือถูกนำชื่อไปเปิดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่พัวพันกับขบวนการฟอกเงิน เป็นต้น”

               “กรณีรีโมท คอนโทรล ที่ผ่านมา มิจฉาชีพมักจะหลอกผู้เสียหายให้คลิกลิงค์และดาวน์โหลดแอปฯ ในระบบแอนดรอยด์ (Android) เป็นหลัก เพื่อจะเข้าควบคุมมือถือ (Remote Control) ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ แต่ปัจจุบันมิจฉาชีพสามารถหลอกลวงเหยื่อในระบบ iOS ผ่านโทรศัพท์มือถือ iPhone ได้เช่นกัน”

               “การป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ยังคงต้องย้ำว่า ควรเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคนและสามารถป้องกันได้ง่ายๆ  ดังนี้ 1) หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันของบริษัทหรือหน่วยงานใดๆ  ให้ติดตั้งเองผ่าน Official Store เท่านั้น ห้ามกดผ่านลิงค์เด็ดขาด เพราะแอปฯ ปลอมเหมือนจริงมาก  2) หากมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาให้กดลิงค์ดาวน์โหลดหรือติดตั้งแอปฯ และแจ้งว่าต้องทำตามขั้นตอน หรือแจ้งว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฟอกเงินใดๆ  ให้สงสัยว่าเป็นมิจฉาชีพ รวมถึงให้ติดต่อกลับไปยังหน่วยงานต้นสังกัดที่ติดต่อมาจากเบอร์โทรศัพท์หน้าเว็บไซต์ของหน่วยงานนั้นๆ  เพื่อตรวจสอบและยืนยัน  3) หากผิดสังเกตว่าถูกรีโมท (Remote)  หรือมีการลงแอปฯ ที่ต้องสงสัย ให้ตัดการเชื่อมต่อ พยายามปิดแอปฯ (Force Shutdown) และดำเนินการล้างเครื่องทันที (Factory Reset) เนื่องจากมีมัลแวร์ (Malware) แฝงอยู่ในเครื่อง ซึ่งผู้ทุจริตจะยังสามารถรีโมทต่อเมื่อไหร่ก็ได้  4) การตั้งรหัสแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ควรตั้งค่าให้แตกต่างกัน และแยกจากแอปฯ ประเภทอื่น”

“สำหรับสมาชิกเคทีซี เราให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า เพื่อให้สมาชิกทำธุรกรรมการเงินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และแน่นอนว่าการป้องกันภัยจากการทุจริตต่างๆ จะเกิดประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ถ้าสมาชิกสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกับเคทีซี แนะนำให้สมาชิกเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล ด้วยการดาวน์โหลดและใช้แอปฯ “KTC Mobile” ซึ่งมีฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ความสะดวกในการใช้งานและฟังก์ชันป้องกันความปลอดภัย อาทิ ระบบตั้งเตือนการใช้จ่ายผ่านบัตรทุกรายการ  กำหนดยอดใช้จ่ายที่ต้องการ ตั้งเตือนก่อนวันชำระ รวมทั้งบริการที่ลูกค้าสามารถตั้งค่าทำรายการได้ด้วยตนเอง เช่น การอายัดบัตรชั่วคราว การกำหนดวงเงินและการขอวงเงินชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอยากย้ำเตือนให้สมาชิกระมัดระวังการแจ้งรหัสให้กับบุคคลอื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการทุจริตเข้าถึงบัญชี”

พลอากาศตรี จเด็ด  คูหะก้องกิจ  ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัย      ไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เผยว่า “สกมช. ในฐานะหน่วยงานหลักในการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในภาพรวมให้กับประเทศไทย ได้มีการติดตามสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับประเทศ โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ และกลุ่มที่ 2 ได้แก่ คนไทยที่มีการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศในชีวิตประจำวัน”

“โดยในกลุ่มที่ 1 พบว่าพ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา มีการโจมตีทางไซเบอร์ต่อข้อมูลและระบบสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ รวมถึงหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,808 เหตุการณ์ โดยอันดับ 1 ได้แก่ การแฮ็คเข้าเว็บไซต์ (Hacked Websites) คิดเป็น 59 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2 ได้แก่ เว็บไซต์ปลอม (Fake Websites) คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 3 ได้แก่ การหลอกลวงการเงิน (Finance-related gambling) คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการขาดความเข้าใจในการออกแบบระบบสารสนเทศอย่างมั่นคงปลอดภัย (Secure software development) รวมถึงการขาดการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Protection and incident response) อย่างถูกต้อง”

“ในกลุ่มที่ 2 พบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มิจฉาชีพมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงคนไทยอย่างต่อเนี่อง โดย สกมช. ได้มีการติดตามกลุ่มมิจฉาชีพที่มีการใช้โซเชียล มีเดีย เป็นสื่อกลางในการหลอกลวงคนไทย ได้แก่ การหลอกให้ลงทุน หลอกให้แจ้งความออนไลน์ การชักจูงให้เล่นการพนันออนไลน์ รวมถึงการหลอกลวงโดยอ้างว่าเป็นหน่วยงานหรือสถาบันการเงินด้วย ทั้งนี้ สกมช. ได้มีการทำงานเชิงรุกร่วมกับแพลทฟอร์มโซเชียล มีเดียหลายราย รวมถึงได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้ให้บริการโทรคมนาคมมาโดยตลอด ทำให้สามารถปิดกั้นกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ”

“ในส่วนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสถาบันการเงินนั้น ตลอดปีที่ผ่านมา สกมช. ได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับสถาบันการเงินหลายแห่ง โดยได้แจ้งเตือนเกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์ปลอมเป็นสถาบันการเงินเพื่อหลอกลวงคนไทย ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ให้บริการโดเมนเนม เพื่อจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าว มิให้สามารถใช้หลอกลวงคนไทยได้อีกต่อไป ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ทำให้สามารถดำเนินการกับเว็บไซต์ปลอมได้มากกว่า 749 รายการ เนื่องจากมิจฉาชีพสามารถสร้างเว็บไซต์ปลอมขึ้นมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นงานที่เราจะต้องติดตามและจัดการกับเว็บไซต์ปลอมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ควบคู่ไปกับการยกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัย     ไซเบอร์ตาม พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 ให้กับสถาบันการเงิน โดยทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สมาคมธนาคารไทย Thailand Banking Sector CERT และ Thailand Telecommunication Sector CERT โดย สกมช. จะเป็นหน่วยงานกลางที่จัดทำข้อกำหนดขั้นต่ำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (National Cybersecurity Baseline) และหน่วยงานควบคุมหรือกำกับดูแล (Regulator) จะกำกับดูแลให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดำเนินการตามข้อกำหนดขั้นต่ำดังกล่าว รวมถึงมีการฝึกซ้อมและตรวจประเมินทุกปี ให้กับหน่วยงานเหล่านั้นด้วย”

“สุดท้ายนี้อยากฝากถึงคนไทยทุกคนในการป้องกันตนเองจากมิจฉาชีพและภัยไซเบอร์ ด้วยหลัก 3 ไม่ คือ ไม่เชื่อ ไม่ทำ        ไม่โดน โดยเฉพาะในส่วนแรกคือ ต้องไม่เชื่อใครง่ายๆ เช่น ไม่เชื่อเรื่องการซื้อขายออนไลน์ที่ดีเกินจริงหรือถูกกว่าราคาตลาด ไม่เชื่อว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนที่สูงเกินจริง และไม่เชื่อว่าจะมีหน่วยงานใดติดต่อไปหาทางโทรศัพท์หรือแอดไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ หากตกเป็นเหยื่อแล้ว ขอให้รีบติดต่อธนาคารเพื่ออายัดเงินเป็นลำดับแรก ก่อนจะติดต่อไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) หรือ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 รวมทั้งหากพบการหลอกลวงออนไลน์ดังที่กล่าวมาแล้ว สามารถติดต่อ สกมช. ผ่านช่องทางต่างๆ ในเว็บไซต์ ncsa.or.th เพื่อร่วมกันจัดการกับมิจฉาชีพต่อไป”

‘อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์’ นักธุรกิจยุคใหม่ ยึดแฟรนไชส์ ‘ห้าดาว’ สร้างอาชีพ สร้างรายได้มั่นคง

อาชีพอิสระกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ หลายคนไม่อยากทำงานบริษัท ไม่อยากทำงานประจำ และอยากมีอาชีพที่เป็นนายตัวเอง เฟิร์น – อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ภายหลังเรียนจบจาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เธอตัดสินใจไม่สมัครงานกับบริษัทเหมือนกับเพื่อนๆในรุ่นเดียวกัน

เฟิร์นเลือกทำ “แฟรนไชส์ห้าดาว” ธุรกิจที่เธอเห็นความสำเร็จจากคุณแม่ ที่เป็นแฟรนไชส์ห้าดาวเปิดสาขาที่บิ๊กซีราชบุรี อาชีพนี้ทำให้มีรายได้พอเลี้ยงดูครอบครัวมาโดยตลอด ประกอบกับตนเองมีโอกาสได้ช่วยคุณแม่ขายของมาตั้งแต่ต้น ทำให้ชอบงานด้านนี้ และต้องการมีร้านของตัวเองบ้าง เธอปรึกษากับพ่อแม่เพื่อขอเปิดร้านแห่งใหม่ที่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในตัวเมืองราชบุรี เมื่อปี 2564 ทำร้านในรูปแบบกลาสเฮ้าส์ กิจการเป็นไปได้ด้วยดี จากนั้นเธอเห็นว่ามีทำเลใหม่ในเขตกรุงเทพฯ ที่ตลาดวังหลัง ศิริราช ซึ่งเป็นทำเลที่ดีมาก บริเวณนั้นมีทั้งวัด โรงพยาบาล ท่าเรือ และชุมชนขนาดใหญ่ จึงทำร้านสาขาใหม่ยอดขายที่สาขานี้เป็นไปได้ดี และเมื่อทีมงานห้าดาวเสนอทำเลใหม่ที่โรงพยาบาลศาลายา จ.นครปฐม เฟิร์นเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจ จึงเริ่มทำร้านสาขาล่าสุดเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

คุณเฟิร์น – อัญชิสา ธนโชติจิรวณิชย์

“ปัจจุบันมีแฟรนไชส์มากมายให้เลือก เราเลือก “ห้าดาว” เพราะตอบโจทย์ความต้องการของเรา เป็นแบรนด์อันดับต้นๆที่คนคิดจะลงทุน เนื่องจากห้าดาวอยู่คู่คนไทยมานานถึง 40 ปี แล้ว แบรนด์เป็นที่รู้จัก มีฐานลูกค้าที่ชื่นชอบในตัวแบรนด์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องโฆษณามาก สินค้าก็มีคุณภาพ มีมาตรฐาน รสชาติอร่อย และหลากหลาย สินค้าห้าดาวแม้จะไม่ใช่ช่วงโปรโมชันผู้บริโภคยังรู้สึกถึงความค่าคุ้มราคา คือมีความ ‘คุ้มค่าเป็นปกติ’ ตัวเราเองก็รู้จักกับห้าดาวมาตั้งแต่ก่อนที่แม่จะทำแฟรนไชส์นี้ ยิ่งแม่ทำร้านก็ยิ่งรู้จักแบรนด์มากขึ้น รู้ขั้นตอน วิธีการ กระบวนการบริหารจัดการทั้งหมดเป็นอย่างดี จึงตัดสินใจยึดแฟรนไชส์ห้าดาวเป็นธุรกิจสร้างอาชีพ” เฟิร์นกล่าว

เฟิร์นบอกว่าก่อนที่จะเริ่มทำร้าน เธอต้องเข้าฝึกอบรมเป็นเวลา 5 วัน เรียนรู้ทั้งเรื่องเทคนิค วิธีการ กระบวนการจัดการ ขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์ตามหลักที่บริษัทกำหนด จนถึงวิธีการจำหน่าย ซึ่งทั้งหมดเธอมีพื้นฐานจากการช่วยแม่ทำร้านตั้งแต่แรก ทุกอย่างที่ได้ฝึกอบรมเหมือนกับที่แม่เคยสอนไว้ จึงสามารถเรียนรู้ได้อย่างเร็วและถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง ขณะเดียวกัน หลังเปิดร้านยังมีทีมงานห้าดาวที่เป็นเสมือนเพื่อนสนับสนุนหลังบ้านที่ดีมาก คอยเข้ามาดูแลสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบมาตรฐานและแนะนำเทคนิคต่างๆ เพื่อพัฒนาร้านให้ดียิ่งขึ้น

“ที่ตัดสินใจทำแฟรนไชส์ก็เพราะเป็นแบรนด์นี้ โดยมองในมุมมองของลูกค้าก่อน ว่าเขาขายอะไร มีสินค้าอะไร จึงเลือกที่จะลงทุน จากนั้นพวกบริการหลังการขาย และทีมงานหลังบ้านเป็นส่วนซัพพอร์ตเพิ่มเติม ห้าดาวถือเป็นธุรกิจที่ช่วยสร้างอาชีพจริงๆ เมื่อลงทุนแล้วสามารถเลี้ยงตัวเองได้ เป็นอาชีพมั่งคงได้ ยิ่งทางห้าดาวมี แคมเปญ ‘ลดรายจ่ายคนซื้อ เพิ่มรายได้คนขาย’ แม้จะเป็นช่วงโปรโมชั่นลดราคาสินค้าให้ผู้บริโภค แต่ตัวแฟรนไชส์เองยังได้กำไรเท่ากับช่วงปกติ ทำให้คนขายอยู่ได้ คนซื้อก็มีกำลังซื้อ ซึ่งเหมาะกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน เรียกว่า 3 ประโยชน์ คือประโยชน์ของผู้บริโภค ประโยชน์ของแฟรนไชส์ และเป็นประโยชน์ต่อบริษัท นอกจากนี้ ทีมงานของเราก็มีอาชีพที่ดี มีรายได้เลี้ยงตัวเองและสามารถจุนเจือครอบครัวได้” เฟิร์นกล่าวด้วยความภูมิใจ

แฟรนไชส์ห้าดาว ถือเป็นเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สนับสนุนให้คนไทยได้เป็นเถ้าแก่ ด้วยการมีกิจการเป็นของตนเอง ด้วยการลงทุนไม่สูง เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษกิจฐานรากด้วยการสร้างงานสร้างอาชีพที่มั่นคง สำหรับผู้ที่สนใจร่วมสร้างงานสร้างอาชีพ ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://www.fivestars-allfranchises.com หรือสอบถามที่ โทร. 02-800-8000