Home Blog

CPF กวาด 4 รางวัลเวที MAT Award 2024 แคมเปญ ‘ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ คว้า CMO’s TOP CHOICE ชนะโหวตสูงสุดจากนักการตลาด

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ คว้า 4 รางวัล เวที Marketing Award of Thailand 2024 (MAT Award 2024) จัดโดย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย โดยแคมเปญ ‘ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ จากแบรนด์ CP ได้รับรางวัลสุดยอดแคมเปญการตลาดแห่งปี CMO’s TOP CHOICE Award จากคะแนนโหวตของคณะผู้บริหารระดับสูงด้านการตลาดของบริษัทชั้นนำของหลากหลายกลุ่มธุรกิจ กว่า 100 ท่าน และยังคว้ารางวัลระดับ Silver สูงสุดแห่งปี ประเภทการตลาดที่ถ่ายทอดจุดยืนของแบรนด์แก่ กลุ่มเป้าหมายผ่านการสร้างประสบการณ์และการสื่อสารต่างๆ (Brand Experince & Communication) สู่ผู้บริโภค ด้วยการแปลงโฉมใจกลางสยามสแควร์ ให้เป็นสถานีอวกาศ จนขึ้นอันดับ 1 Trend X ประเทศไทย และอันดับ 3 ของโลก ส่งผลให้ยอดขายในประเทศเติบโตขึ้น 11% และขยายผลต่อธุรกิจสู่ระดับนานาชาติ

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า ขอขอบคุณทางสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ที่เล็งเห็นศักยภาพของแบรนด์ CP และ CMO’s TOP CHOICE Award เป็นรางวัลที่เราภาคภูมิใจมากที่สุด เพราะแคมเปญ ‘ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ ที่ได้คะแนนโหวตของนักการตลาดชั้นนำในประเทศไทย สะท้อนถึงความตั้งใจของซีพีเอฟในการยกระดับอุตสาหกรรมเนื้อไก่ไทย ก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) สามารถรับประทานได้ตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทยมีความปลอดภัยสูงสุดในระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศรับประทานได้

“ความสำเร็จของรางวัลนี้ เกิดขึ้นจากหลายๆ ภาคส่วนของซีพีเอฟตั้งแต่ระบบการเลี้ยง กระบวนผลิตและแปรรูป ส่งผลให้แคมเปญนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งไทยและทั่วโลกได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะอยู่ภูมิภาคใดก็รับประทานไก่ซีพีที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเหมือนกัน พร้อมทั้งมีส่วนช่วยสนับสนุนให้มูลค่าการส่งออกไก่เนื้อของซีพีเอฟและพันธมิตรเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การตลาดที่ประสบความสำเร็จ ต้องมาจากผลิตภัณฑ์ที่ดี ฉะนั้นเราจึงยึดมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพใส่ใจต่อผู้บริโภคทุกท่าน” นางสาวอนรรฆวี กล่าว

สำหรับ แคมเปญ ‘Egg-Perience’ พักซอฟต์ใจ กับไข่ตุ๋น ซีพี โดยร่วมมือ กับ ZEPETO ผ่านบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น สร้างเกมบน Virtual World สามารถคว้ารางวัล Certificate Shortlist ประเภทการตลาดที่มีความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี สร้างผลลัพธ์ใหม่ให้แก่ธุรกิจ (Innovations & Martech) ด้วยแอปพลิเคชั่นขวัญใจ Gen Z ที่มีฟีเจอร์แบบ Community ชวนผู้เล่นแต่ละคนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ผ่านรูปถ่ายที่สามารถโพสต์ท่าได้หลายอิริยาบถ แถมยังเชื่อมโยงกับผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาพูดคุยกันได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย

ด้าน แบรนด์ห้าดาว ในกลุ่ม บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ได้รับรางวัลระดับ Silver ประเภทการตลาดที่ถ่ายทอดจุดยืนของแบรนด์แก่กลุ่มเป้าหมายผ่านการสร้างประสบการณ์และการสื่อสารต่างๆ (Brand Experince & Communication) จากหนังโฆษณา ‘”My Parent is a Tiktoker” เมื่อพ่อแม่ฉันเป็นติ๊กต๊อกเกอร์’ นำพฤติกรรมการใช้แอปพลิเคชั่นติ๊กต๊อกของคนรุ่นใหม่ มาเชื่อมกับรุ่นพ่อแม่ ปูย่าตายาย ในการสื่อสารข้อความแทนใจ โดยมีเมนูห้าดาวเป็นมื้อพิเศษ ให้หวนกลับมาใช้เวลาแห่งความสุขกับครอบครัวอีกครั้ง

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย อร่อย และดีต่อสุขภาพ ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ใส่ใจทุกขั้นตอน ผ่านกระบวนการผลิตที่ประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล พร้อมทั้งสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์ รวมถึงหาโอกาสใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชัน .

AIS จับมือ ภาครัฐ ใช้ 5G ยกระดับสาธารณสุขไทย หนุนรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน

AIS ร่วมกับ กสทช., คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เดินหน้ายกระดับวงการแพทย์และระบบสาธารณสุขไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ
“รถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ” ล่าสุดขยายความร่วมมือไปยังพื้นที่จังหวัดน่าน หน่วยปฏิบัติการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว โดยนำระบบดิจิทัลเสริมประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองทั้งระบบ ตอกย้ำการทำงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรง สามารถเชื่อมต่อการทำงานได้กับทุกภาคส่วน อีกทั้งยังช่วยสร้างประโยชน์ ลดความเหลื่อมล้ำและเติมเต็มโอกาสให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์และงานสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพได้อย่างทันท่วงที อันนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยในทุกมิติ

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแกร่งครอบคลุมทุกพื้นที่การใช้งานแล้ว วันนี้ AIS ยังมีความพร้อมเป็นอย่างมากต่อการนำศักยภาพของ 5G มาเชื่อมต่อการทำงานกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้าและคนไทย

โดยตั้งแต่ปี 2561 ได้ร่วมพัฒนารถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่หรือรถ Mobile Stroke Unit-Stroke One Stop (MSU-SOS) ซึ่งเป็นรถพยาบาลเคลื่อนที่ที่มีความสามารถในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองโดยเฉพาะ เปรียบเสมือนการนำโรงพยาบาลไปสู่ชุมชน ที่ต้องอาศัยศักยภาพของเครือข่ายความเร็วสูงที่มีเสถียรภาพ เพื่อให้การเชื่อมต่อข้อมูลผู้ป่วยและการแสดงภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองเพื่อการวินิจฉัยระหว่างทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นไปอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ไม่มีสะดุด เป็นการนำนวัตกรรมทางการแพทย์ ผ่านเทคโนโลยีโครงข่ายมาสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ห่างไกล ที่ในปัจจุบันมีจำนวน 7 คันทั่วประเทศ”

แม้ว่าภาคเหนือจะมีความท้าทายอย่างมากในการขยายโครงข่ายสัญญาณ ด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาและพื้นที่สูง การเข้าถึงของแหล่งพลังงานไฟฟ้า แต่ทีม AIS ก็ยังคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำนวัตกรรมโครงข่ายมาผสมผสานเพื่อขยายความครอบคลุม ทำให้สามารถส่งมอบบริการดิจิทัลและโซลูชันที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ 5G CPE ที่สามารถรองรับการกระจายสัญญาณภายใน Mobile Stroke Unit-Stroke One Stop (MSU-SOS) ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการแจ้งเหตุ การให้คำปรึกษาของทีมแพทย์และบุคลากร การส่งภาพ CT Scan ของสมองและสัญญาณชีพจรของผู้ป่วยขึ้น Cloud ให้ทีมแพทย์แบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัย การรักษาในเบื้องต้นได้ทันเวลา แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล

รศ.นพ.ยงชัย นิละนนท์ ประธานศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โครงการ “รถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ” ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย แม้จะมีความท้าทายในบางด้าน เช่น การขยายเครือข่ายสัญญาณในพื้นที่ห่างไกล หรือการเพิ่มจำนวนบุคลากรเฉพาะทาง แต่ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โครงการนี้มีความหวังที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล และกลายเป็นต้นแบบที่สำคัญสำหรับการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพในอนาคตอย่างยั่งยืน

โครงการ “รถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ” จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา ตามลงนามบันทึกข้อตกลงของ 4 กระทรวง 2 หน่วยงาน กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, กระทรวงมหาดไทย, มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้วยการนำศักยภาพของโครงข่าย 5G เข้าเชื่อมต่อการทำงานกับรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่หรือรถ Mobile Stroke Unit-Stroke One Stop (MSU-SOS) 

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “KICK OFF 2025” รวมพลังตัวแทนทั่วประเทศสุดยิ่งใหญ่

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นประธาน จัดงาน  “KICK OFF 2025”  บานเย็น…บานสะพรั่งทั่วประเทศ รวมพลังผู้บริหารและตัวแทนฝ่ายขายทั่วประเทศอย่างยิ่งใหญ่ ปลุกพลังชาวสีบานเย็นในการก้าวสู่เส้นชัยของเป้าหมายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนไปด้วยกัน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

พร้อมมอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงาน ตามแผนยุทธศาสตร์ของปี 2568 ที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ลูกค้าคนสำคัญ ด้วยการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ พร้อมอยู่เคียงข้างดูแลในทุกช่วงของชีวิต โดยมีนายภูมิชาย  ล่ำซำ  ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ร่วมในงาน   โดยงานจัดขึ้น ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม  อิมแพ็ค เมืองทองธานี.

ส่อง 2 SME ไอเดียแจ๋วในร้านเซเว่นฯ “แฮร์โทนิคลดผมร่วง เขาค้อทะเลภู – สับปะรดกวนกะทิสด นายจอม” ต่อยอดภูมิปัญญาไทย

กระแสอุดหนุนสินค้าภูมิปัญญาไทย ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง การนำเอาของดี ของเด็ด วัตถุดิบของไทยมาพัฒนาและต่อยอด เติมไอเดียใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำเอางานวิจัยและเทคโนโลยี เข้ามาช่วยส่งเสริมกระบวนการผลิต ก็สามารถช่วยส่งเสริมภูมิปัญญาไทยให้มัดใจผู้บริโภค

ล่าสุด มี 2 SME เด่นในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่นำเทคโนโลยีมาต่อยอดภูมิปัญญาไทยได้อย่างโดดเด่น เริ่มจากสินค้าสายบิวตี้ แบรนด์ไทยอย่าง เขาค้อทะเลภู ที่นำเอาสมุนไพรไทยอย่างมะกรูดและใบบัวบก มาพัฒนาเป็นแฮร์โทนิค สูตรออร์แกนิค ที่ช่วยลดผมขาดหลุดร่วง เปิดตัวในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

นครินทร์ นฤหล้า 

นครินทร์ นฤหล้า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์ ธรรมชาติ ทะเลภู จำกัด  เล่าว่า มะกรูดและใบบัวบก ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์รากผมและเร่งให้เกิดการสร้างผมใหม่ และเพิ่มการผลิต Collagen ที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผม และเป็นส่วนผสมจากธรรมชาติที่สามารถนำมาใช้ทดแทนสารเคมีอันตราย บริษัทจึงได้นำมะกรูดและใบบัวบกมาพัฒนาเป็น แฮร์โทนิค สูตรออร์แกนิค โดยนำงานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะของเขาค้อทะเลภู มาต่อยอด เช่น Hair Fluence Tripeptides ที่มีผลวิจัยว่าสามารถช่วยฟื้นบำรุงและมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์รากผมและเร่งให้เกิดการสร้างผมใหม่ ผสมกับ Biotin Nutrients ที่รวมสารอาหารจำเป็นสำหรับเส้นผม และมีส่วนช่วยเติมเต็มให้เส้นผมและหนังศีรษะสุขภาพดี 

“ปัจจุบันผู้บริโภคหันมาสนใจสินค้าภูมิปัญญาไทยและใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะการบำรุงเส้นผมสวยด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติและออร์แกนิคเป็นเทรนด์มาแรงมาตั้งแต่ปี 2566 เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับสารเคมีที่ผสมอยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม เช่น สารกลุ่ม ซิลิโคน SLS/SLES พาราเบน ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้ สินค้าออร์แกนิค จึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในทุกเจเนอเรชั่น ช่วยให้สุขภาพดี สวย ดูดีแบบเป็นธรรมชาติ

นอกจากวงการบิวตี้แล้ว วงการขนมไทยเองก็นับเป็นอีกวงการหนึ่งที่โดดเด่นด้านการนำภูมิปัญญามาต่อยอดสู่สินค้า แบรนด์นายจอม แบรนด์ขนมไทยประยุกต์เข้าถึงง่าย เจ้าของวลีเด็ด “คิดถึงขนมไทย คิดถึง    แบรนด์นายจอม” ซึ่งมีขนมให้เลือกสรรมากมายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ไม่ว่าจะเป็น ขนมขาไก่ มะขามคลุกทรงเครื่อง กล้วยกวนกะทิสด ถั่วกรอบแก้วเคลือบโกโก้ ABC บิสกิต ฯ ถือเป็น SME อีกรายที่โดดเด่นด้านต่อยอดภูมิปัญญา และล่าสุด ได้นำภูมิปัญญาการใช้กะทิในการเพิ่มรสชาติทั้งอาหารคาวและหวานให้รสชาติละมุน มาต่อยอดเป็นสับปะรดกวนกะทิสด ที่ใครได้ลองเป็นต้องติดใจ

เมื่อถามว่าทำไมต้องมีกะทิสด?  คำตอบ คือเป็นสูตรโบราณ ที่ได้เคล็ดลับมาจากชาววังที่ทำงานอยู่ในห้องเครื่องทำขนมในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำสูตรมาประยุกต์เข้ากับยุคสมัยใหม่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้จักว่า ขนมกวนคืออะไร แล้วก็เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น จนกลายมาเป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์อีกด้วย

เจเนอเรชั่น 2 ของแบรนด์ ณัชชา จันทร์แก้วแร่ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดออนไลน์ เล่าว่า การดึงภูมิปัญญาชาวบ้าน มาประยุกต์ใช้กับสินค้า ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เป็นโจทย์ที่แบรนด์ “นายจอม” ตั้งเป็นเป้าหมายหลักมาตลอด เพราะคุณแม่เติบโตมาในครอบครัวขายขนมทั้งชีวิต และเป็นคนที่ชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ จนส่งต่อสูตรมาสู่รุ่นลูก

ณัชชา จันทร์แก้วแร่

สำหรับ สับปะรดกวนกะทิสด เป็นสินค้าใหม่ในรอบ 2 ปีของแบรนด์ นายจอม จึงใส่ใจในการเลือกใช้วัตถุดิบอย่าง สับปะรด โดยเลือกรับจาก อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งปลูกสับปะรดอร่อยที่สุด ปัจจุบันรับซื้อในปริมาณ 40 ตันต่อเดือน ที่สำคัญเป็นการส่งเสริมเกษตรกรไทย สร้างงาน สร้างอาชีพอีกด้วย สำหรับเคล็ดลับความอร่อย คือเน้นใช้เนื้อสับปะรด 100%  แล้วเพิ่มความหอม มัน ด้วย กะทิ ลงไปเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับขนมนายจอม ด้านแพ็กเก็จจิ้งก็ออกแบบให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น

ณัชชา มองว่า ขนมไทยประยุกต์ เป็นขนมที่มีมาตั้งแต่โบราณ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนไทย อยากให้เด็กและวัยรุ่นเข้าถึงได้ง่าย อยากให้มองว่าขนมไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก และแบรนด์นายจอม จะมุ่งมั่นพัฒนาสินค้าให้อยู่คู่คนไทยไปตราบนานเท่านาน

สินค้าอุปโภค บริโภค ที่เพิ่มมูลค่าจากภูมิปัญญาไทย ด้วยเทคนิค เทคโนโลยี เป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมอีกรูปแบบหนึ่ง ออกสู่สายตาชาวโลก ผู้ประกอบการ SME พร้อมแล้วที่จะส่งมอบความภาคภูมิใจนี้ให้ชาวไทยและต่างชาติได้สัมผัส

ซีพี ออลล์-เซเว่นฯ สร้าง “ผู้ประกอบการจิ๋ว” ยกระดับโรงเรียน CONNEXT ED วิชาการควบคู่วิชาชีพ สร้างรายได้สู่ชุมชน

ซีพี ออลล์-เซเว่น อีเลฟเว่น เดินหน้าพลิกโฉมโรงเรียน CONNEXT ED เฟสที่ 6 ผ่านโมเดล “ผู้ประกอบการจิ๋ว” ต่อเนื่อง ดึงผู้บริหาร-ครู-นักเรียน 6 โรงเรียนเจ้าของผลิตภัณฑ์ชุมชนเด่นจาก 6 ภูมิภาค ผ้ามัดย้อมดาวเรือง-กระเป๋าจากกระจูด-ไซรัปอ้อย-กรอบรูปถมทอง-ยาดมสมุนไพรไม้หอม-ข้าวพื้นเมือง ร่วมเวิร์คช็อปพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ เพิ่มโอกาสต่อยอดสินค้า บูรณาการหลักสูตรพัฒนาทักษะวิชาการควบคู่วิชาชีพ หวังสร้างต้นแบบก่อนขยายผลสู่โรงเรียน CONNEXT ED ทั่วประเทศ ด้านโรงเรียน-นักเรียนปลื้ม เพิ่มรายได้กลับสู่โรงเรียน-ครอบครัว-ชุมชน สร้างแรงบันดาลใจประกอบอาชีพของเยาวชนในอนาคต

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า การสร้างคนผ่านการศึกษา ถือเป็นหนึ่งในกรอบกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ที่บริษัทยังคงมุ่งหน้าขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด จึงได้เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาโรงเรียนภายใต้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED) เฟสที่ 6 จัดงานสัมมนา “โครงการปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว 6 ภูมิภาค” คัดเลือกโรงเรียนนำร่องจากแต่ละภูมิภาค ที่สามารถบูรณาการหลักสูตรการเรียนการสอนที่ช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างโดดเด่น และนำผู้บริหาร ครู นักเรียน จากโรงเรียนแต่ละแห่ง มาร่วมพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการเพิ่มเติม เพื่อสร้างโอกาส สร้างอาชีพ ให้โรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง เกิดความยั่งยืน

“ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะวิชาการและวิชาชีพควบคู่กัน เรามองว่าทักษะการเป็นผู้ประกอบการ คือรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่วิชาชีพ และเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะช่วยให้เยาวชน ชุมชน โรงเรียน สามารถปรับตัวได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ประยุกต์โอกาส นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่มีอยู่รอบตัวในชุมชน มาสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ เราคาดหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้กลุ่มโรงเรียนนำร่องประสบความสำเร็จในการสร้างเยาวชนให้เป็นผู้ประกอบการจิ๋ว เกิดสินค้าที่สร้างรายได้คืนสู่ชุมชนอย่างยั่งยืน และกลายเป็นต้นแบบสู่การขยายผลไปยังโรงเรียน CONNEXT ED ที่เราดูแลอยู่กว่า 610 โรงเรียน” นายยุทธศักดิ์ กล่าว

สำหรับโรงเรียนนำร่องจาก 6 ภูมิภาค ได้แก่ 1.โรงเรียนวังไพรวิทยาคม ตัวแทนภาคตะวันออก เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง 2.โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) ตัวแทนภาคใต้ เจ้าของผลิตภัณฑ์ กระเป๋าจากกระจูด 3.โรงเรียนโคกงามวิทยาคาร ตัวแทนภาคตะวันตก เจ้าของผลิตภัณฑ์น้ำตาลอ้อยก้อนและไซรัปอ้อย 4.โรงเรียนอนุบาลบ้านท่าพระยาจักร ตัวแทนภาคกลาง เจ้าของผลิตภัณฑ์กรอบรูปถมทอง 5.โรงเรียนบ้านสันป่าสัก ตัวแทนภาคเหนือ เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพรไม้หอม และ 6.โรงเรียนบ้านหนองคันนา ตัวแทนภาคอีสาน เจ้าของผลิตภัณฑ์ข้าวพื้นเมือง

นางวรรณวนา พิทักษ์สงคราม ผู้อำนวยการโรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว ผู้บริหารโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากดอกดาวเรือง กล่าวว่า ชุมชนใกล้เคียงโรงเรียนปลูกดอกดาวเรืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อได้รับการสนับสนุนจากซีพี ออลล์ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ จึงได้ทยอยบูรณาการทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองไปจนถึงทักษะการทำผลิตภัณฑ์จากสีดอกดาวเรืองอย่างผ้ามัดย้อม เข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อาทิ การเลือกดินเพาะปลูกดาวเรือง วิธีการปลูก การแปรรูป เวชสำอาง การตลาด บัญชี พร้อมทั้งนำความรู้จากปราชญ์ชาวบ้าน ตลอดจนครูในโรงเรียนที่จบด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และด้านศิลปะ มาถ่ายทอดให้กับนักเรียน จนเด็กนักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองและใบไม้ในท้องถิ่น ฝีมือเยาวชนและคนในชุมชน

“เราเริ่มขายมาได้ราว 2 ปี มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ผ้าคลุมไหล่ เสื้อ ชุดสูท ชุดแซค ลูกค้าหลักในปัจจุบันเป็นคุณครู แพทย์ พยาบาล มียอดสั่งซื้อสูงในช่วงงานเกษียณ งานปีใหม่ สร้างรายได้กลับสู่นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การบูรณาการให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะวิชาชีพควบคู่ไปกับทักษะวิชาการ ช่วยให้เด็กๆ หลายคนที่มีฐานะไม่ดี มีองค์ความรู้ไปต่อยอดอาชีพของที่บ้าน รวมถึงมาทำงานด้านดาวเรืองเป็นอาชีพเสริมได้ ยิ่งในวันนี้โรงเรียนได้รับเลือกเป็นโรงเรียนนำร่อง มาร่วมสัมมนาปั้นผู้ประกอบการจิ๋ว เชื่อว่าจะช่วยให้โรงเรียน เยาวชน ชุมชน สามารถพัฒนาและขายผ้ามัดย้อมจากสีดอกดาวเรืองได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น” นางวรรณวนา กล่าว

น.ส. กัญญารัตน์ โหมดตาด หรือ โฟร์ท นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวังไพรวิทยาคม จ.สระแก้ว กล่าวว่า ได้เข้าร่วมพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการปลูกดอกดาวเรืองตั้งแต่ชั้น ม.1 ได้เรียนรู้ทั้งวิธีการปลูก วิธีการคัดเลือกพันธุ์ ทักษะวิชาชีพที่สามารถไปต่อยอดวิชาชีพอื่นได้ โดยตัวเธอเองมีความฝันอยากประกอบธุรกิจของตัวเอง โดยสนใจงานด้านแฟชั่นเสื้อผ้า ซึ่งต่อยอดจากการผลิตผ้ามัดย้อมในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน อยากให้โมเดลผู้ประกอบการจิ๋วเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง ต่อยอดไปถึงน้องๆ รุ่นต่อไป เนื่องจากผู้ปกครองเองก็ชอบกิจกรรมนี้ เพราะเกิดรายได้เสริม ลดภาระผู้ปกครอง เด็กๆ เองก็ได้รับความรู้ สนุกสนาน เกิดการสานสัมพันธ์ในโรงเรียน

นายอับดุลเลาะ อูเซ็ง คุณครูโรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง คุณครูโรงเรียนนำร่องโมเดลผู้ประกอบการจิ๋ว เจ้าของผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากกระจูด กล่าวว่า การสานกระจูดถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น หลายครอบครัวให้ความสำคัญกับการสานกระจูดควบคู่ไปกับการทำประมง โรงเรียนจึงได้ร่วมกับซีพี ออลล์ ภายใต้ CONNEXT ED เฟสแรกๆ บูรณาการการสานกระจูดและเส้นกกเข้ากับหลักสูตรการเรียนการสอน จนได้รับการคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบ (School Model) มีผลิตภัณฑ์หลักคือหูหิ้วถ้วยกาแฟจากเส้นกก ที่นำไปใช้ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น หลายสาขาในพัทลุง และกระเป๋ากระจูดสานมือ วันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่โรงเรียนได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนนำร่องโครงการผู้ประกอบการจิ๋ว จึงมีความมุ่งหวังจะได้รับความรู้ด้านต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ ด้านการตลาด เพื่อให้สามารถสร้างรายได้กลับสู่โรงเรียน นักเรียน ชุมชน พร้อมทั้งพาผลิตภัณฑ์กระจูดให้เป็นที่รู้จักทั้งระดับในประเทศและนานาประเทศ

นายอัศม์เดช รักษ์จันทร์ หรือ ช้ะชิ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดประดู่หอม (สุขประชาสรรค์) จ.พัทลุง กล่าวว่า จากการสนับสนุนล่าสุดของซีพี ออลล์ จึงทำให้มีห้องไลฟ์สดในโรงเรียน และได้มีส่วนร่วมเป็นคนขายกระเป๋ากระจูดผ่านไลฟ์ รวมถึงการสานกระเป๋ากระจูดทั้งที่บ้าน และที่โรงเรียน ทั้งในรายวิชา อาทิ วิชาแปรรูปกระจูด วิชาแปรรูปเส้นกก ความฝันในอนาคต อยากเป็นคุณครูสอนวิชาศิลปะ เนื่องจากชื่นชอบในการเพนท์กระเป๋ากระจูด ขณะเดียวกัน อาจประกอบอาชีพเสริมด้วยการเพนท์กระเป๋ากระจูดลายภาพเหมือน เป็นภาพบุคคลให้เจ้าของกระเป๋าได้สะพาย

สำหรับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี (CONNEXT ED) และเป็น 1 ใน 55 องค์กรเอกชนที่เล็งเห็นความสำคัญและตอบรับการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยขับเคลื่อนโครงการตามปณิธานองค์กร “Giving and sharing”  วางเป้าดูแลโรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED 6 เฟส จำนวนกว่า 610 แห่งทั่วประเทศ ร่วมสนับสนุนโรงเรียนให้สามารถดำเนินโครงการด้านต่างๆ ทั้งโครงการที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ โครงการพัฒนาคุณภาพคน โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โครงการส่งเสริมอาชีพ โครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้นำรุ่นใหม่ หรือ School Partner ซึ่งเป็นอาสาสมัครจากในองค์กรร่วมลงพื้นที่และคอยให้คำแนะนำในการพัฒนาโครงการของโรงเรียนต่างๆ อย่างใกล้ชิด

4 จังหวัดภาคใต้เดินหน้าควบคุมปลาหมอคางดำ ปล่อยปลานักล่าฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ

กรมประมงเดินหน้าบูรณาการควบคุมการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ โดยประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ด้วยการปล่อยพันธุ์ปลากะพงขาวซึ่งเป็นผู้ล่าตามธรรมชาติลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อลดจำนวนลูกปลาและจำกัดวงการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ มุ่งสร้างสมดุลและความยั่งยืนของทรัพยากรประมงในพื้นที่

นับตั้งแต่ สำนักงานประมงจังหวัดต่างๆ มีการดำเนินแผนปฏิบัติการเชิงรุกเร่งจับปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกจังหวัดจับเจอปลาหมอคางดำขนาดเล็กลง จำนวนปลาที่เป็นพ่อแม่พันธุ์ หรือปลาตัวใหญ่ลดลง กรมประมงจึงเดินหน้าปล่อยปลานักล่าลงแหล่งน้ำ โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมสนับสนุนลูกพันธุ์ปลากะพงขาว ตามเป้าหมายสนับสนุนปลานักล่า 200,000 ตัวให้กรมประมงเพื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติในจังหวัดต่างๆ

นายธัชชัย อุบลไพศาล ประมงจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า สถานการณ์ของปลาหมอคางดำในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานียังสามารถควบคุมได้ ไม่ให้ปลาหมอคางดำขยายวงออกไปพื้นที่อื่นๆ ได้ การจัดกิจกรรม “ลงแขกลงคลอง” ครั้งหลังๆ ปลาหมอคางดำจับได้น้อยลง และปลามีขนาดเล็ก นอกจากนั้นยังสามารถพบปลาพื้นถิ่นหลายชนิด จึงประเมินได้ว่าระบบนิเวศมีความสมดุล

อย่างไรก็ตาม จังหวัดไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหา มีการปรับแผนปฏิบัติการในการป้องกันปลาหมอคางดำไม่ให้ระบาดไปมากกว่านี้ ได้แก่ ประมงจังหวัดเตรียมหาแนวทางขยายพันธุ์ปลานักล่าเองเพื่อจะช่วยเพิ่มปลานักล่าในแหล่งน้ำได้มากขึ้น ทั้งนี้ จังหวัดได้ร่วมกับซีพีเอฟ หน่วยงานในพื้นที่ ผู้นำชุมชน และประชาชนปล่อยปลานักล่าลงสู่แหล่งน้ำ 2 ครั้งรวม 10,000 ตัว ร่วมกันปล่อยลูกปลากะพงขาว 5,000 ตัวสู่แหล่งน้ำในพื้นที่อำเภอท่าชนะ อำเภอไชยา อำเภอท่าฉาง

ด้าน นายกอบศักดิ์ เกตุเหมือน ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชน ชุมชน และเกษตรกรในการกำจัดปลาหมอคางดำ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการบริโภคปลาหมอคางดำมากขึ้น ผ่านการนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นอาหารหลากหลายเมนู ขณะนี้ความหนาแน่นของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำลดลง โดยในแหล่งน้ำธรรมชาติพบลูกปลาหมอคางดำ และปลาชนิดอื่นร่วมด้วย จึงร่วมมือกับซีพีเอฟนำปลากะพงขาวปล่อยลงสู่แหล่งน้ำที่พบการแพร่ระบาด เพื่อควบคุมและลดการแพร่ระบาดในพื้นที่อำเภอปากพนัง อำเภอหัวไทร

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังสนับสนุนปลากะพงขาวแก่ประมงจังหวัดพัทลุง 8,000 ตัวเพื่อในแหล่งน้ำธรรมชาติ 5 จุดในพื้นที่อำเภอเมือง อำเภอชัยสน และอำเภอปากพะยูน รวมทั้งสนับสนุนประมงจังหวัดสงขลาปล่อยปลานักล่า 10,000 ตัว และประมงจังหวัดจันทบุรีอีก 2,000 ตัว เพื่อเป็นแนวกันชนป้องกันปลาหมอคางดำ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับแหล่งน้ำในธรรมชาติควบคู่กัน

AIS จับมือ OPPO มอบประสบการณ์การใช้งาน OPPO Find X8 Series บนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ที่ดีที่สุด กับความพิเศษเริ่มต้นเพียง 18,999 บาท พร้อมสัมผัสความบันเทิงระดับโลกจาก Max

AIS นำโดย คุณศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ร่วมกับพันธมิตร คุณชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย มอบโปรโมชันสุดพิเศษเมื่อสั่งจอง OPPO Find X8 Series สมาร์ตโฟนแฟลกชิปรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมประสบการณ์ซูมเหนือระดับ ในราคาเริ่มต้นเพียง 18,999บาท พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะลูกค้า AIS เท่านั้น ที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงที่เหนือระดับจาก Max แพลตฟอร์มสตรีมมิงระดับโลก เมื่อซื้อ OPPO Find X8 Pro พร้อมแพ็กเกจ 699 บาทขึ้นไป รับแพ็กเกจ Max Ultimate ชมคอนเทนต์ชั้นนำที่หลากหลายที่สุดด้วยความละเอียด 4K UHD และ ระบบเสียง Dolby Atmos นาน 3 เดือน สำหรับลูกค้าที่สั่งจองและซื้อเครื่องตั้งแต่วันนี้ – 30 พฤศจิกายน 2567 และกดรับสิทธิ์ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2567 จำกัดจำนวนเพียง 300 สิทธิ์เท่านั้น นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้ AIS Points เพียง 10 คะแนน แลกรับส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท รับฟรี AIS Care+ แพ็กเกจดูแลเครื่องทุกกรณีนาน 1 เดือน และผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน

นอกจากนี้ AIS และ OPPO ยังได้ร่วมจัดกิจกรรมสุด Exclusive ในช่วงที่ผ่านมา สำหรับสาวก OPPO ชาว AIS ที่สั่งจองเครื่อง OPPO Find X8 Series และมารับเครื่องที่ AIS Shop Flagship เซ็นทรัลเวิลด์  ได้สัมผัสประสบการณ์ความเร็วแรง ของเทคโนโลยี 5G และสนุกกับฟังก์ชั่นสุดล้ำของ OPPO Find X8 Series พร้อมๆกับการแลกเปลี่ยนความล้ำกับ KOL สุดชิคอีกด้วย 

OPPO Find X8 Series สมาร์ตโฟนมาตราฐานแฟลกชิปที่เหนือกว่า พร้อมสัมผัสประสบการณ์ซูมที่ดีที่สุด

พร้อมวางจำหน่ายใน 2 รุ่น ได้แก่ OPPO Find X8 และ OPPO Find X8 Pro อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสามารถในด้านของการซูมที่ดีที่สุดด้วย AI Telescope Zoom ซูมด้วยพลัง AI ไกล 120 เท่า พร้อมเป็นที่สุดของสมาร์ตโฟนสำหรับคอนเสิร์ต พร้อม Hasselblad Portrait Mode ถ่ายภาพบุคคลได้คมชัด และแม่นยำมากขึ้น เสริมด้วย AI Photo Remaster ฟีเจอร์ AI ที่จะช่วยให้คุณแก้ไขภาพได้อย่างมืออาชีพ อัปเกรดประสบการณ์ที่เหนือกว่าอีกขั้น ด้วยระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นใหม่ ColorOS 15 และครั้งแรกของโลกกับกล้อง Periscope Telephoto คู่ ใน OPPO Find X8 Pro 

OPPO Find X8 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5630mAh รองรับชาร์จไว 80W SUPERVOOC และมาในดีไซน์หน้าจอแบนราบ พร้อมขนาดขอบหน้าจอที่บางที่สุดบนสมาร์ตโฟน OPPO พร้อมกับ 3 สีใหม่ได้แก่ สีเทา Star Grey, สีดำ Space Black และสีชมพู Shell Pink, OPPO Find X8 Pro แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5910mAh รองรับชาร์จไว 80W SUPERVOOC และมาในดีไซน์ Infinite View หน้าจอขอบโค้งสี่ด้าน มอบการจับถือที่สะดวกสบาย มาใน 2 สี ได้แก่ สีดำ Space Black และ สีขาว Pearl White

โดย OPPO Find X8 Series สมาร์ตโฟนมาตราฐานแฟลกชิปที่เหนือกว่า พร้อมยกประสบการณ์การถ่ายภาพของคุณให้เหนือไปอีกขั้นด้วยราคาสุดพิเศษจาก AIS เริ่มต้นเพียง 18,999 บาท ได้แล้ววันนี้ ที่เอไอเอสช็อปและร้านเทเลวิซทุกสาขา หรือ AIS Online Store  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://m.ais.co.th/8yHEOexHO

กุ้ง อาหารทะเลยอดฮิต โปรตีนคุณภาพดี อร่อยด้วย ช่วยชาติได้

นักวิชาการ ชู “กุ้ง” สัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญของไทย มีโปรตีนสูง ไขมันน้อย มีโอเมก้า-3 ใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู รสชาติอร่อย อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เหมาะกับเทศกาลท่องเที่ยวสังสรรค์

ผศ.ดร.จุฑา มุกดาสนิท ภาควิชาผลิตภัณฑ์ประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ช่วงนี้เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวและเทศกาลเฉลิมฉลอง มีกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวและงานรื่นเริงสังสรรค์จัดเลี้ยงหลากหลาย ทำให้มีการบริโภคในหลายรูปแบบและรับประทานอาหารกันคึกคัก หนึ่งในวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมนำมาทำเป็นเมนูในช่วงเทศกาลปาร์ตี้ หรือ ต้อนรับแขกคนสำคัญ คือ “กุ้ง” เพราะรับประทานง่าย รสชาติหวานอร่อย จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่วโลก ที่สำคัญประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ของโลก ทำให้กุ้งมีเพียงพอต่อความต้องการไม่ขาดแคลน

ผศ.ดร.จุฑา มุกดาสนิท

“กุ้ง” เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย อาทิ แคลเซียม (Calcium) ฟอสฟอรัส (Phosphorus) แมกนีเซียม (Magnesium) และซีลีเนียม (Selenium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็น เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย มีไขมันน้อยกว่าสัตว์บก ไม่มีไขมันอิ่มตัว ส่วนหัวของกุ้งอุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดีในกลุ่มของโอเมก้า-3 ที่มีประโยชน์ ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม ตลอดจนลดการอักเสบของโรครูมาตอย

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่ของโลก อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งของไทยมีกุ้งสามชนิดเป็นหลัก ได้แก่ กุ้งกุลาดำ กุ้งขาวแวนนาไม และกุ้งก้ามกราม โดยมีผลผลิตไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ตัน สำหรับการบริโภคทั้งภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ ถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ

กุ้งสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ต้ม อบ นึ่ง ปิ้งย่าง หากคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลักแนะนำให้ใช้วิธีต้มหรือนึ่ง แต่หากต้องการรสชาติที่อร่อยแนะเป็นวิธีการย่าง ส่วนผู้ที่ชื่นชอบรับประทานกุ้งแบบดิบ เช่น กุ้งแช่น้ำปลา กุ้งดองซีอิ้ว ควรเลือกร้านที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ เชื่อถือได้ จะช่วยให้รับประทานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับวิธีการเลือกซื้อ กุ้งสด ให้เลือกที่หัวไม่เป็นสีดำและหัวติดแน่นกับลำตัว สีปกติตามธรรมชาติ เช่น กุ้งขาว เป็นสีขาวทั้งตัว และส่วนหัวบริเวณที่เป็นไขมันสีเหลืองไม่แตก อีกเคล็ดลับที่สำคัญให้ดูที่ด้านหลังของกุ้ง หากยังเห็นไส้สีดำทั้งเส้น แสดงว่ากุ้งมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงเพราะก่อนจับกุ้งยังกินอาหาร เนื้อจะแน่น รสชาติหวานอร่อย ส่วนกุ้งต้มสุก หรือ กุ้งแปรรูป ต้องมีสีส้มสวยตามธรรมชาติ เส้นสีดำตรงลำไส้กุ้งอยู่ครบ จะมีรสชาติดีและเนื้อแน่น เช่น เดียวกับกุ้งสด

การเก็บรักษากุ้งสดให้ใส่ภาชนะที่ป้องกันอากาศและนำเข้าช่องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ส่วนกุ้งสุกให้แกะส่วนหัวออก ใส่ในภาชนะที่ปิดสนิทไม่สัมผัสกับอากาศและหากเก็บไว้หลายวันให้เก็บในช่องแช่แข็ง

ทั้งนี้ ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกสินค้าสัตว์น้ำรายใหญ่ของโลก ตระหนักดีถึง “การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน” จึงให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่การผลิตอาหาร ให้ได้วัตถุดิบคุณภาพดี มีมาตรฐาน ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสนองตอบได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค.

ความอร่อยที่เป็นมากกว่ามื้ออาหาร! ‘ไก่ย่าง ห้าดาว’ Soft Power สัญชาติไทย สร้างกระแสไกล ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก

คุณเคยเดินผ่านร้านอาหารหรือรถเข็นที่มีควันโขมง กลิ่นเย้ายวนชวนหิว ที่ทำให้ท้องร้องโดยไม่รู้ตัวไหม ?

นั่นแหละคือ เสน่ห์ของ ‘ไก่ย่าง’ จะอยู่ตรอกซอกซอยไหน มักจะพบเห็นอาหารประจำถิ่นเมนูนี้ เช่นเดียวกับ ห้าดาว แบรนด์ธุรกิจอาหารแฟรนไชส์ที่เริ่มต้นจากเมนูง่ายๆ ชวนเตะจมูกอย่าง ‘ไก่ย่าง’ ด้วยรสชาติคุ้นเคย สะดวก หาซื้อง่าย คุ้มค่าทั้งราคาและคุณภาพ จึงยืนยัดมายาวนานกว่า 40 ปี และยังครองใจชาวต่างชาติทั่วโลกอีกด้วย

‘ไก่ย่าง ห้าดาว’ ถ่ายทอดความโดดเด่นได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยวัตถุดิบลหัก คือ กระเทียมและพริกไทยดำ ปรุงรสสูตรเฉพาะของห้าดาว หมักเข้าเนื้อไก่คุณภาพคัดพิเศษ ใส่ใจตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดของซีพีเอฟ นำมาย่างในเตาที่ควบคุมด้วยอุณหภูมิสม่ำเสมอ ทำให้เนื้อนุ่ม หนังกรอบ รสชาติที่กลมกล่อม หอมละมุนทุกคำ ชวนให้ทุกคำเป็นประสบการณ์พิเศษไม่เหมือนใคร

ความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของไก่ย่าง ห้าดาว โด่งดังจนกลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทย ส่งต่อคุณภาพสู่สากลครอบคลุมถึง 4,500 สาขาในต่างแดน ทั้งไก่ย่างสูตรต้นตำรับ ไก่ย่างพริกไทยดำ แซ่บเผ็ดร้อน หอมพริกไทยดำ ถูกใจคนชอบรสชาติเข้มข้น นอกจากนี้ยังมี ไก่กรอบห้าดาว กรอบนอกนุ่มใน หมักด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษ และไก่จ๊อห้าดาว เมนูคลาสสิก มีให้เลือกทั้งสูตรต้นตำรับและสูตรพริกสด คลุกเคล้ากับส่วนผสมที่คัดสรรอย่างดี

ร้านห้าดาว ไม่ได้มีเพียงจุดเด่นเรื่องไก่ย่างเท่านั้น แต่ยังเป็นแบรนด์อาหารที่มอบประสบการณ์น่าจดจำในทุกๆ คำ แก่ผู้บริโภคให้ได้อิ่มอร่อยในทุกที่ทุกเวลา ตลอดจนเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยออกสู่ชาวโลกอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น Soft Power ที่ทำให้ต่างชาติเข้าถึง และหลงรักวิถีชีวิต รวมถึงวัฒนธรรมของไทยมากขึ้น .

ก.ล.ต. และ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับเดิม เพื่อยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้กรอบกฎหมายและกฎเกณฑ์ของแต่ละองค์กร เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โดยการประสานความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ 2 องค์กรในการกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นธรรม น่าเชื่อถือ และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุน รวมทั้งพัฒนาตลาดทุนให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศต่อไป

บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีการปรับปรุงกรอบการทำงานร่วมกันของทั้ง 2 องค์กรในงานด้านกำกับดูแลให้มีความชัดเจน ลดความซ้ำซ้อน รวมถึงสอดรับกับระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนในปัจจุบัน ตลอดจนสามารถรองรับกับแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ได้แก่

  • การกำกับดูแลบริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน และการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน
  • การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ฯ
  • การติดตามดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย
  • การออกระเบียบข้อบังคับ หรือกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งจะเพิ่มการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูลการกำกับดูแลระหว่างกัน เพื่อให้การทำหน้าที่ของแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การร่วมกันพิจารณาคำขอกรณีการจดทะเบียนโดยอ้อม (Backdoor Listing) การขอย้ายกลับมาซื้อขายของบริษัทจดทะเบียนหลังแก้ไขเหตุอาจถูกเพิกถอน (Resume Trading) เพื่อให้กระบวนการพิจารณามีมาตรฐานเทียบเท่าการรับหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ และยังจะมีการร่วมกันกำหนดหรือปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง หากเห็นว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยสนับสนุน ป้องปราม หรือยับยั้งพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่เป็นธรรมในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นต้น

อีกทั้ง บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ยังครอบคลุมถึงแนวทางการทำงานและการประสานงานร่วมกัน ทั้งในระดับคณะกรรมการและฝ่ายจัดการของทั้ง 2 องค์กร เพื่อให้การขับเคลื่อนทิศทางนโยบายการพัฒนาตลาดทุน การส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันกับตลาดทุนอื่น และการกำกับดูแลตลาดทุนของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความสอดคล้องกันมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ทั้ง 2 องค์กรยังมีการหารือในประเด็นที่จะขับเคลื่อนร่วมกันที่สำคัญ ดังนี้

(1) การสร้างระบบนิเวศ (ecosystem) หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับการพัฒนาการลงทุนในรูปแบบใหม่ ที่อยู่ระหว่างปรับปรุงพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(2) การสนับสนุนการเพิ่มมูลค่า (value up) ของบริษัทจดทะเบียน เพื่อสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจ
ให้บริษัทจดทะเบียนมุ่งมั่นที่จะเสริมศักยภาพและมูลค่าของตัวเอง สื่อสารกับนักลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกเหนือจากที่รัฐบาลได้สนับสนุนการขยายรายชื่อหลักทรัพย์ที่กองทุน Thai ESG สามารถลงทุนได้

(3) การส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามมาตรฐาน International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่ง ก.ล.ต. อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมและขอความร่วมมือจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสนับสนุนและต่อยอดการดำเนินการ และการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียน

(4) การส่งเสริมผู้ลงทุนให้มีความรู้ (investor empowerment) ผ่าน Open Data ของภาคตลาดทุนและ
ภาคการเงิน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถใช้ข้อมูลของตนที่อยู่กับผู้ประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น