Home Blog

AIS จับมือ Apple ให้บริการ AIS Care+ with AppleCare Services รายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 AIS ยกระดับ AIS Care+ บริการเสริมที่ช่วยดูแลสมาร์ทโฟนของลูกค้าไปอีกขั้นกับบริการ AIS Care+ with AppleCare Services โดย AIS และ Apple เปิดให้บริการเป็นรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่เหนือกว่าด้วยความอุ่นใจสำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone กับ AIS เท่านั้นที่จะได้รับความพิเศษที่ดีที่สุด พร้อมดูแลปกป้องการใช้งาน iPhone ของลูกค้า ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลความเสียหายตัวเครื่องทั้งตก แตก เครื่องพัง แบตเตอรี่เสื่อม ทุกด้านได้ไม่จำกัด มั่นใจได้ในบริการด้วยอะไหล่แท้ตามมาตรฐานจากแบรนด์ผู้ผลิต สะดวกสบายด้วยบริการรับส่งเครื่องถึงบ้าน พร้อมสามารถเข้าใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการ Apple ทั่วโลก

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลผ่านการใช้งานบนโครงข่ายที่ดีที่สุดแล้ว AIS ยังให้ความสำคัญกับงานบริการและการดูแลลูกค้าแบบ End to End ที่ครบจบในที่เดียว อย่างการเปิดตัวนวัตกรรมการให้บริการลูกค้า AIS Care+ ที่เราได้ร่วมมือกับโบลท์เทค หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านบริการดูแลสมาร์ทโฟน (Device protection) ระดับโลก ในการให้บริการเครื่องรูปแบบใหม่ ทั้งการเปลี่ยนเครื่องหรือดูแลความเสียหายตัวเครื่อง ที่สร้างความแตกต่างเป็นรายแรกในประเทศไทย ซึ่งได้พลิกโฉมประสบการณ์ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกสบายและบริการที่ดีที่สุดจากการดูแลปกป้องการใช้งานสมาร์ทโฟน

สำหรับครั้งนี้เราตั้งใจยกระดับสุดยอดประสบการณ์ในการดูแลลูกค้า ผ่านการทำงานร่วมกับ Apple เปิดตัวบริการใหม่ AIS Care+ with AppleCare Services สำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone กับ AIS และสมัครบริการ จะได้รับการดูแลแบบคูณ 2 ทั้งจาก AIS Care+ และ AppleCare Services พร้อมแก้ Pain Point ของลูกค้าให้หมดความกังวลจากการใช้งานทั้งเรื่องเครื่องเสีย จอแตก ตกน้ำ และดูแลความเสียหายตัวเครื่องได้ไม่จำกัดครั้ง และสามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดครั้งเช่นกัน อีกทั้งยังสามารถรับความช่วยเหลือจากศูนย์บริการ Apple ทั่วโลก ด้วยราคาพิเศษสุดคุ้มที่สามารถเข้าถึงบริการที่ดีที่สุดของเราได้”

บัลเดฟ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โบลท์เทค กล่าวว่า “นับเป็นความร่วมมือที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราที่ได้เป็นส่วนหนึ่งเพราะ AIS และ Apple เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง เราหวังว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะช่วยขยายขีดความสามารถงานบริการเพื่อดูแลปกป้องการใช้งานมือถือและสมาร์ทโฟน ด้วยการนำเสนอทางเลือก ความสะดวกสบาย ที่ดีกว่าให้กับลูกค้า”

สำหรับบริการ AIS Care+ with AppleCare Services เป็นบริการที่รวมทุกการดูแลแบบคูณ 2 ทั้งจาก AIS Care+ และ AppleCare Services มาไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ความอุ่นใจและความสะดวกสบายให้ลูกค้ากับโปรแกรมที่ช่วยดูแล iPhone ที่ครอบคลุมครบวงจร ซึ่งความร่วมมือกับ Apple จะทำให้ลูกค้าได้รับความมั่นใจว่า iPhone ของลูกค้าจะได้รับการดูแล แก้ไข ซ่อมแซม ด้วยอะไหล่แท้จากช่างผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์บริการของ Apple หรือ เครื่องที่ให้บริการแลกเปลี่ยน หรือ รับเครื่องทดแทน ลูกค้าจะได้รับตัวเครื่องจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรง (Apple Manufactured Guaranteed Device) รวมถึงลูกค้าจะยังได้รับประสบการณ์ที่เหนือกว่า อาทิ

บริการดูแลตัวเครื่องที่ครอบคลุมความเสียหายทุกด้าน มากที่สุดเท่าที่ผู้ให้บริการด้านนี้มีในตลาด โดยไม่มีข้อจำกัด อาทิ จอแตก เครื่องตกน้ำ ลำโพงดับ ไมค์ไม่ได้ยิน เครื่องเสีย รวมถึงการดูแลแบตเตอรี่คุณภาพความจุต่ำกว่า 80%
บริการเปลี่ยนเครื่องเมื่อใดก็ได้ที่อยากเปลี่ยน หรือ เครื่องเสีย แต่ไม่อยากส่งซ่อม หรือ บริการรับเครื่องทดแทนแม้ไม่มีเครื่องเดิมมาเปลี่ยนสิทธิพิเศษในการติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญของ Apple ผ่านทางแชทหรือโทรศัพท์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

ลูกค้า AIS ที่ซื้อ iPhone ทุกรุ่น สามารถสมัครบริการ AIS Care+ with AppleCare Services เพื่อรับความพิเศษกว่าใครได้ทันทีหลังจากซื้อเครื่องใหม่ หรือภายใน 30 วัน นับจากวันที่ซื้อเครื่อง และไม่ต้องตรวจสอบตัวเครื่อง โดยบริการ AIS Care+ with AppleCare Services มีแพ็กเกจให้เลือกทั้งแบบรายเดือนหรือเหมาจ่าย 12 เดือน และดูแลต่อเนื่องนานสูงสุด 48 เดือน โดยลูกค้าสามารถสมัครบริการได้ที่ร้านเอไอเอสช้อป, ร้านเอไอเอส-เทเลวิซ, รวมถึงร้านพันธมิตรอย่าง Jaymart, TG Fone, iStudio จาก COPPERWIRED, SPVi และ UFicon หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ais.th/service/aiscare-applecare/

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่ซื้อ iPhone และสมัคร AIS Care+ ระหว่างวันที่ 22 กันยายน 2566 – 20 มีนาคม 2567 สามารถเปลี่ยนมาใช้บริการแพ็กเกจใหม่ AIS Care+ with AppleCare Services เพียงยืนยันสิทธิ์ด้วยตัวเอง โดยกด 5344# โทรออก ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567 – 30 เมษายน 2567

เมืองไทยประกันชีวิต พาคณะผู้สูงอายุเที่ยวงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” 

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย นางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ และนาวาโทหญิง ชูจิต จิตต์แก้ว หัวน้าสำนักงาน มูลนิธิอนุรักษ์พระราชวังพญาไท นำคณะผู้สูงอายุจากเขตห้วยขวาง และโรงเรียนผู้สูงอายุเขตดินแดง ร่วมกิจกรรม ชมงาน “101 ปี พระราชวังพญาไท” THE GLORY OF SIAM ถือเป็นมิติใหม่ของพระราชวังพญาไทในรูปแบบ “พิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน” (NIGHT MUSEUM) เป็นครั้งแรกในไทย  ตอกย้ำนโยบายการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงการสร้างสมดุลของมิติสังคม (Society) เพื่อการสร้างสังคมไทยที่ยั่งยืน โดยเฉพาะมิติสังคมผู้สูงวัยที่มีความสำคัญในปัจจุบัน

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าวได้แสดงถึงความมุ่งมั่นขององค์กร ในการให้ความสำคัญกับสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ตลอดจนเป็นกำลังใจและสนับสนุนการใส่ใจในการดูแลผู้สูงอายุผ่านกิจกรรมเพื่อสร้างความสุขและเสริมสร้างรอยยิ้มให้กับผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องในชุมชน  การเชื่อมโยงกับกิจกรรมที่มีความหมายและทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกเชื่อมต่อกับชุมชนและสังคมมีความสำคัญอย่างมากในการสร้างสังคมที่เป็นกันเองและร่วมมือกันให้เกิดความเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนและสังคม

Chester’s ท้าสายแรป! ชวนฟินเมนูแกะกล่อง ‘Toast Wrap’ 5 สไตล์

อินเทรนด์ไม่หยุด! เชสเตอร์ (Chester’s) ออกเมนูใหม่ เอาใจสายแรปตัวจริงให้ฟินกับ “Toast Wrap” มีให้เลือกถึง 5 สไตล์ ไม่ว่าจะเป็น ไก่กรอบ, ไก่เผ็ด, หมูคูโรบูตะ, ปลา และกุ้ง ประกบด้วยแผ่นแป้งตอร์ติยาที่ผ่านการโทสต์ร้อนๆ ทำให้รสสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน พร้อมสอดไส้ผักกาดแก้วกรอบสดใหม่ ราดด้วยซอสมาโยมัสตาร์ดสูตรลับ เผ็ดกำลังดี หอม อร่อยกลมกล่อม รับประทานง่าย ถือสะดวก สามารถ Grab&Go ได้เลย เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่รีบเร่งของคนในยุคนี้สุดๆ บอกเลยว่า สายแรปทั้งหลายไม่ควรพลาด! ราคาเริ่มต้นชิ้นละ 75 บาท เท่านั้น

นอกจากนี้ เชสเตอร์ ยังจัดชุดสุดคุ้มให้อิ่มอร่อยกับโทสต์แร็พแบบจุกๆ ได้แก่ ชุด Wrap 1 พิเศษเพียง 125 บาท (จากปกติ 164 บาท) ฟินกับโทสต์แรป ไก่กรอบ (เปลี่ยนเป็นไก่เผ็ดหรือหมูคูโรบูตะได้) คู่เฟรนช์ฟรายส์ (M) พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว หรือจะชุด Wrap 2 พิเศษเพียง 135 บาท (จากปกติ 174 บาท) อร่อยกับโทสต์แรป ปลา (เปลี่ยนเป็นกุ้งได้) คู่เฟรนช์ฟรายส์ (M) พร้อมเป๊ปซี่ 16 ออนซ์ 1 แก้ว ราคานี้เฉพาะรับประทานที่ร้านหรือนำกลับเท่านั้น หรือ สามารถสั่งผ่านเดลิเวอรี่ได้ทุกแอปพลิเคชัน พร้อมโปรโมชันพิเศษอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้ หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

เชสเตอร์ มุ่งมั่นและพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า พร้อมสร้างสรรค์เทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและโปรโมชันดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/

เมืองไทยประกันชีวิต รณรงค์ความปลอดภัยทางถนนช่วงสงกรานต์

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดยนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน ร่วมกิจกรรมและพิธีเปิด “โครงการรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567” จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย โดยมีนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธี เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้มีการเตรียมความพร้อมของทั้งรถยนต์และผู้ขับขี่ ก่อนออกเดินทางเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ  

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้ร่วมโครงการ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อมอบความอุ่นใจและส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น  อีกทั้งยังมอบหมวกกันน็อคและสิ่งของสนับสนุนเพื่อใช้ในกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน งานจัดขึ้น ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (เกาะพหลโยธิน)

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก AIS ส่งต่อความอุ่นใจช่วงเทศกาลสงกรานต์ มอบ“กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส โดย นางรพีพรรณ แนวบุญเนียร หัวหน้าส่วนงานบริหารบริการประกันภัยและสินเชื่อดิจิทัล ร่วมส่งมอบความห่วงใยพร้อมความอุ่นใจ ให้กับลูกค้าเอไอเอสทั้งมือถือและเน็ตบ้านได้มีความสุขอย่างเต็มที่ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี 2567  ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)”  ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาล อันเนื่องมากจากอุบัติเหตุ

นายสาระ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการขานรับกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัย เพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้าของเอไอเอสทั้งมือถือและเน็ตบ้านในช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ได้เป็นอย่างดี

ด้านนางรพีพรรณ  อธิบายว่า “AIS พร้อมอยู่เคียงลูกค้าในทุกเทศกาลสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่คนไทยนิยมเดินทางไปท่องเที่ยว ร่วมถึงเดินทางกลับภูมิลำเนา เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทางสำนักงานคปภ. และเมืองไทยประกันชีวิต เพื่อมอบของขวัญแทนความห่วงใยให้กับลูกค้า ด้วยการมอบกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุ ให้ลูกค้าอุ่นใจทุกทางเดินทางในช่วงวันหยุดยาวนี้ เพียงลูกค้าใช้  AIS Points 1 คะแนน ก็สามารถแลกรับสิทธิ์ “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มสงกรานต์คลายร้อน (ไมโครอินชัวรันส์)” ผ่านทางแอปพลิเคชัน myAIS หรือ กด *550*3374# ก็รับวงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท ได้ตั้งแต่วันที่ 5 – 30 เมษายน  2567 นี้ เพื่อให้ลูกค้าได้เอนจอยกับโมเมนต์ดีๆ ชุ่มฉ่ำความสุขตลอดเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้”

โดยลูกค้าสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มได้ที่แอปพลิเคชัน myAIS และ https://www.ais.th/consumers/promotions/special-promotions/songkran-2024  ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่  15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย สำหรับข้อตกลงความคุ้มครองที่ลูกค้าและ ประชาชนทั่วไปจะได้รับ ประกอบด้วย

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท

– ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 

– ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งประกันสุขภาพเหมาจ่าย Health จุใจ IPD+OPD จัดแคมเปญ “Summer So Strong” รับลมร้อน

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งประกันสุขภาพเหมาจ่ายสุดฮอต “Health จุใจ IPD+OPD” จัดแคมเปญ Summer So Strong ช่วยเพิ่มความอุ่นใจ หายห่วงเรื่องค่ารักษา พร้อมสิทธิพิเศษสุดคุ้มถึง 2 ต่อ เพียงกรอกโค้ด “JUJAI10” และเลือกผ่อนได้ 0% นานสูงสุดถึง 6 เดือน พร้อมรับความสุขและความอุ่นใจได้แล้วตั้งแต่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2567

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้ารุกตลาดประกันออนไลน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมตอกย้ำกระแส ความแรงของ โครงการ “Health จุใจ IPD+OPD” ครบ คุ้ม สุขภาพที่เต็มอิ่ม โดดเด่นด้วยความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่ายแบบผู้ป่วยใน (IPD) และเลือกคุ้มครองสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) ที่คุ้มครองตั้งแต่โรคเล็ก โรคร้ายแรง โรคทั่วไป อุบัติเหตุ แอดมิตก็เหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรกในวงเงินเดียวสูงสุด 200,000 บาทต่อครั้ง ไม่จำกัดครั้ง(1) นอนห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และดูแลค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) เหมาจ่ายสูงสุด 50,000 บาทต่อปี(2) พร้อมดูแลยาวถึงอายุ 99 ปี มีให้เลือกได้จุใจถึง 4 แพ็ค คือ S M L และ XL เบี้ยประกันภัยแพ็คเล็กเริ่มต้นเพียงเดือนละไม่ถึง 1,056 บาท(3)

พร้อมส่งแคมเปญรับลมร้อน “Summer So Strong” สำหรับผู้สนใจ โครงการ “Health จุใจ IPD+OPD” โดยมอบความคุ้มให้อีกถึง 2 ต่อ โดยต่อที่ 1 เมื่อเลือกซื้อแพ็ค M L หรือ XL แล้วเลือกชำระเบี้ยประกันภัยแบบรายปี รับส่วนลดเบี้ยปีแรก 10% เพียงกรอกโค้ด JUJAI10(4) และต่อที่ 2 รับโปรโมชันผ่อน 0% นานสูงสุด 6 เดือน(5) เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยขั้นต่ำ 10,000 บาท ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือรับโปรโมชันผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน(5) ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารยูโอบี ธนาคารซิตี้แบงก์ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงไทย (เฉพาะการชำระเบี้ยประกันภัยต่อกรมธรรม์ ในปีแรกเท่านั้นและสำหรับการซื้อแบบประกันใหม่เท่านั้น) โดยสิทธิพิเศษเริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม – 30 เมษายน 2567

“เมืองไทยประกันชีวิต เรามีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคนในสังคม(Democratizing Insurance) พร้อมเดินหน้าออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้เหมาะสมกับความต้องการที่แตกต่างกันได้อย่างเข้าใจและเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ตามแนวนโยบายสำคัญของบริษัทฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรด้วยการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นมิติสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติสังคม (Social) และมิติบรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (Governance and Economy) หรือ ESG เพื่อสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย” นายสาระ กล่าว

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถเลือกซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ “Health จุใจ IPD+OPD” จากเมืองไทยประกันชีวิต หรือศึกษารายละเอียดแบบประกันภัย โปรโมชัน และสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ https://webmtl.co/49RB19i ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ทรีนีตี้” แจกคู่มือลงทุนหุ้นไตรมาส 2 ฟันธง ! ความผันผวนจะกลับมา

“ทรีนีตี้” ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไตรมาส 2 จะขึ้นอยู่กับเงื่อนเวลาของปัจจัยสำคัญ เช่น การใช้นโยบายการเงินทั่วโลกผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก การใช้นโยบายการคลังของไทย และพัฒนาการของตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆทั่วโลก ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเริ่มเห็นสินทรัพย์ต่างๆ แกว่งตัวผันผวนมากขึ้น ส่วนทางด้านสภาพคล่องภายใน แม้จะยังไม่กลับมามากนัก แต่ประเมินผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมแจกคู่มือลงทุนหุ้นไตรมาส 2 ใช้กลยุทธ์ “Stock selection” คัด 5 ธีม 10 หุ้นลงทุนที่น่าสนใจลงทุน AOT, AWC, BH, BJC, STEC ,GLOBAL, STGT, XO, IVL และ SCGP ส่วนเมษาหน้าร้อนคัดหุ้น ICHI, SAPPE

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 โดยประเมินว่า  SET Index ในไตรมาสนี้จะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตามปัจจัยทางด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งในแง่ของการลดดอกเบี้ยครั้งแรก และความคาดหวังของตลาด ที่สามารถปันแปรได้ตลอดทั้งไตรมาส ซึ่งในส่วนมุมมองของทาง “ทรีนีตี้” นั้น คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงแน่นอนในปีนี้ได้ราว 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 2.0%  จึงได้มีการ Update สมมติฐานใหม่นี้เข้าไปใน Valuation Model  เป็นผลทำให้ระดับ PE ที่เหมาะสมของ SET ในแต่ละกรณีขยายตัวได้ราว 6% มาอยู่ที่ 14.2x, 13.2x และ 12.3x ในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมของเราถูกปรับขึ้น เนื่องจากในรอบนี้ เราได้ทำการปรับลดคาดการณ์ EPS ประจำปี 2025 ลงจากเดิมที่ 113 บาท เหลือเป็น 107 บาท เพื่อให้เข้าใกล้กับคาดการณ์ของ Consensus ณ ปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้สุทธิแล้ว จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีจะอยู่ที่ 1520, 1415 และ1315 จุดในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ ซึ่งเป็นกรอบที่ใกล้เคียงกับที่เราให้ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

“ การลดดอกเบี้ยของธปท.ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่กำหนดทิศทางดัชนี SET รวมถึงการเคลื่อนไหวของ Sector ต่างๆได้ แต่การลดดอกเบี้ยที่ดีต่อภาพตลาดหุ้นไทย ควรจะต้องเป็นการลดดอกเบี้ยที่ไม่ได้สร้าง Surprise ให้กับตลาดมากนัก เพราะการลดแบบ Surprise อาจเป็นการชี้นำถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ระดับที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น และยังเป็นการกดดัน Fund flow จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่จะกว้างขึ้นอีกครั้ง ไม่นับรวมกับการตีความโดยตลาดว่าการลดดอกเบี้ยนี้เกิดจากแรงกดดันจากทางภาคการเมือง ซึ่งในอดีตมักเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยชื่นชอบมากนัก” นายณัฐชาตกล่าว

                สถิติในอดีตการปรับลดดอกเบี้ยของไทย 3 ครั้ง เมื่อ ปี 2007, 2011 และปี 2019  มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้  คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกของ Cycle นั้น นำมาสู่การปรับตัวขึ้นของ SET Index หลังจากนั้นจริง โดยเฉพาะหากไม่รวมปี 2019 ซึ่งมีผลกระทบของเหตุการณ์ Covid-19 เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งนี้ หากดูเป็นราย Sector จะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะได้แก่ HELTH, COMM, ICT และ FOOD ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม Domestic play แทบทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีภายหลังจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นแล้วจะได้แก่ COMM, HELTH, ETRON, ICT, TRANS ซึ่งจะเห็นได้ว่ามี Sector ที่คาบเกี่ยวกันอยู่แล้วสามารถปรับตัว Outperform ได้ทั้ง 2 ช่วงก็คือ COMM, HELTH และ ICT เราแนะนำให้นักลงทุนพยายามหาจังหวะสร้าง Exposure ไปยัง 3 Sector นี้เพื่อรองรับการเตรียมเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงถัดไป     

นายณัฐชาต กล่าวว่า  ด้วยมุมมองภาพรวมของ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะแกว่งตัว Sideways  ทำให้กลยุทธ์ Stock selection ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยคัดเลือกธีมการลงทุนที่น่าสนใจมาทั้งสิ้น 5 ธีม ดังต่อไปนี้ 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยว เลือก AOT ที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน และเลือก AWC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่มโรงแรม และเป็นตัวที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการขึ้นในตลาด 2.หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ภาคบริการในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนนี้ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เลือก BH เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงพยาบาล  และเลือก BJC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่ม Consumer staple 3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงถัดไป หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ถูกบังคับใช้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นไตรมาส 2 นี้ เลือก STEC เป็นตัวแทนของกลุ่มรับเหมาฯ และ GLOBAL เป็นตัวแทนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4. หุ้นกลุ่มส่งออกที่พบว่ามีสินค้าบางสินค้าที่ขยายตัวได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ถุงมือยางและเครื่องปรุงรสอาหาร STGT และ XO 5.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เลือก IVL และ SCGP เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนในระดับสูง

สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายน 2567 คาดตลาดหุ้นจะจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อไป ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางจากเทศกาลหยุดยาว แต่จะมีปัจจัยชี้ชะตาที่สำคัญคือการประชุมกนง.ที่รออยู่ในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งถ้าหากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินจะเป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนี SET ได้ ผ่านการปรับตัวกว้างขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีเดือนนี้ที่ระดับ 1350-1410 จุด

กลยุทธ์ลงทุนเดือนเมษายน แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป หลังจากที่ได้มีการเพิ่มน้ำหนักบางส่วนไปที่ระดับดัชนี SET 1370 จุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ อาทิ CK, STEC, GLOBAL DOHOME 2 .กลุ่ม Consumer staple ตามพัฒนาการของมาตรการ Digital Wallet อาทิ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มเครื่องดื่ม ตามสภาวะอากาศที่เข้าสู่ช่วงร้อนจัด ได้แก่ ICHI, SAPPE 4.กลุ่มส่งออกที่เห็นการขยายตัวดี ได้แก่ AAI, ITC, STGT, TU, XO

โรคอ้วน ภัยคุกคามคนไทย สูญเสียเศรษฐกิจ 8.52 แสนล้านบาท

‘โรคอ้วน’ ต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันเกาะตับ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง โดยโรคกลุ่มนี้ยังคุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน คิดเป็นอันดับสองของเอเชีย จากคลังข้อมูลสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (HDC) พบว่าเป็นโรคอ้วนหรือผู้ที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป มากถึง 45.6% ในปี 2563 และเพิ่มเป็น 46.2% ในปี 2564 และ 46.6% ในปี 2565

โดยงานวิจัย British Medical Journal (BMJ) รายงานว่าหากอุบัติการณ์ของโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จะทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจถึง 4.9% ของ GDP หรือประมาณ 8.52 แสนล้านบาท จะหมดกับค่ารักษาทางการแพทย์ ค่าใช้จ่ายทางอ้อม และการสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย

ปัญหาคนไทยอ้วนและน้ำหนักเกิน จึงเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสุขภาพที่ดี เศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสังคมไทยที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนด้วย ขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักว่า ‘อ้วน คือโรคที่ต้องรักษา’ เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว แต่กลับมองเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งทุกฝ่ายต้องสร้างความรู้ความเข้าใจถึงภัยอันตรายจากโรคอ้วนที่ก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ได้มากกว่า 200 โรค โดยพบความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป พบว่าร้อยละ 50 มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม และโรคความดันโลหิตสูง, ร้อยละ 40 พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ส่วนโรคอื่น ๆ ที่พบ เช่น โรคกรดไหลย้อน ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด รวมทั้งโรคซึมเศร้า อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น และมีปัญหาสุขภาพจิต

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทนวัตกรรมเวชภัณฑ์ชั้นนำที่มุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมการรักษาโรคอ้วน ได้ต้อนรับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะที่ให้ความสนใจเยี่ยมชมบูธรณรงค์เรื่องโรคอ้วนของ Novo Nordisk ในงาน Pharmathon Run 2024 ฉลองครบรอบ 30 ปีสภาเภสัชกรรม ณ กระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมา โดย นพ.ชลน่าน ได้รับฟังสถานการณ์ปัญหาโรคอ้วนในปัจจุบันและให้ความสนใจตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายด้วยเครื่อง In-body พบว่าน้ำหนัก มวลกล้ามเนื้อ และปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐาน Basal Metabolic Rate (BMR) เทียบเท่าคนหนุ่ม โดยได้เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพด้วยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายด้วยการเตะฟุตบอล

ตลอด 40 ปีนับตั้งแต่ Novo Nordisk ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นในการนำผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่คิดค้นมาช่วยปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ในประเทศไทย พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร รวมถึงภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลความยั่งยืนของสุขภาพให้คนไทยและคนรุ่นต่อไปมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

ซีพี ออลล์ ผนึก ตร.ท่องเที่ยว เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 จุดที่ร้านเซเว่นฯ ทั่วไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินหน้ายกระดับการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยร่วมมือกับ ซีพี ออลล์ เปิดจุดรับแจ้งเหตุให้กับนักท่องเที่ยว  ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว รวมถึงการปรับเงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงได้นำโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ยึดหลักแนวทาง Smart Safety Zone มาประยุกต์ใช้ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 แห่ง ใน 18 จังหวัด และได้ร่วมมือกับซีพี ออลล์ ดำเนินโครงการ “ตำรวจท่องเที่ยว X 7-Eleven เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 แหล่งท่องเที่ยว” ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นนั้น สืบเนื่องจากเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อที่ประชาชนทั่วไปรู้จัก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และขยายสาขามากมายทั่วประเทศ จึงเหมาะสมต่อการเป็นจุดที่จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ โดยเบื้องต้นกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเริ่มจัดให้มีการอบรมอาสาสมัครตามโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ไปแล้ว จำนวน 1,516 ราย ประกอบด้วย 1. อาสาสมัครทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 586 ราย 2. พนักงานรักษาความปลอดภัยสถานบริการ 623 ราย และ 3. พนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 307 ราย

ด้าน นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากว่า 14,000 สาขาทั่วประเทศ และมีพนักงานกว่า 200,000 คน ซึ่งพนักงานทุกคนได้รับการอบรมให้มีใจบริการ ได้รับการปลูกฝัง DNA ในการช่วยเหลือสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตามโครงการ“แสนคนแสนความดี” และที่สำคัญร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศและเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง การเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จึงเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของตำรวจท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการผนึกกำลังโดยใช้จุดแข็งของ 3 ส่วนคือ ตำรวจท่องเที่ยว ชุมชนแหล่งท่องเที่ยว และเซเว่น อีเลฟเว่น โดยเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงบริการของตำรวจได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินการในระยะแรก ได้มีการคัดเลือกร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 156 สาขา ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และใกล้เคียง 20 พื้นที่ ใน 18 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ พนักงานจากสาขาเหล่านี้ กว่า 300 คน จะได้รับการอบรมให้มีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตำรวจท่องเที่ยวที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรับแจ้งเหตุ ให้ข้อมูล และประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ ให้เข้าช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วและทันท่วงที พร้อมทั้งสื่อสารให้พนักงานทุกสาขารับทราบเรื่องความร่วมมือในครั้งนี้ และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น รวมถึงสื่อ Onlineเพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับและประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 พื้นที่ ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เข้าร่วมโครงการในเฟสแรก ได้แก่ 1. ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ 2. ซอยคาวบอย กรุงเทพฯ 3. วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ 4. วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา 5. พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี 6. ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ 7. ชุมชนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี 8. ตลาดโต้รุ่งหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 9. ถนนคนเดินบางลา  จ.ภูเก็ต 10. ชุมชนพิชเชอร์แมน เกาะสมุย 11. อ่าวนาง แลนด์มาร์ค จ.กระบี่ 12. ถนนเสน่หานุสรณ์ จ.สงขลา   13. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 14. ถนนคนเดินประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ 15. เชียงรายไนท์บาซาร์  จ.เชียงราย 16. ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น 17. ถนนคนเดินเชียงคาน จ.เลย 18. ชุนชนเขาใหญ่  จ.นครราชสีมา 19. ถนนคนเดินนครพนม จ.นครพนม 20. ถนนคนเดินพัทยา จ.ชลบุรี

ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากบริษัทจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยและความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโต สร้างรายได้เข้าประเทศด้วย เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะภาคเอกชนที่อยู่เคียงข้างสังคม ชุมชม และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยว จึงเชื่อมั่นว่าการเข้ามาร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวก และมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับปณิธาน “Giving and Sharing” อันเป็นปณิธานขององค์กรที่เรายึดถือมาโดยตลอด

เซเว่น อีเลฟเว่น X เนะ อโณทัย เปิดตัวกระเป๋าสุดเลิฟ ดีไซน์เก๋ ทันสมัย พร้อมรับแต้มออลล์ เมมเบอร์ จัดหนัก 100 คะแนน!!!

เซเว่น อีเลฟเว่น  เปิดตัวกระเป๋าผ้าสุดเลิฟ  ดีไซน์ บายด์ เนะ –อโณทัย เชิญชวนลูกค้ารักษ์โลก ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ภายใต้นโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง ง่าย ๆ เพียง นำแต้มออลล์ เมมเบอร์ แลกกระเป๋าสุดเลิฟ โดยซื้อสินค้าครบ 100 บาท รับ 1 สิทธิ์จอง ท้ายใบเสร็จ ซึ่งมีให้สะสมทั้งหมด 2 แบบ จองได้ตั้งแต่วันนี้ – 23 มีนาคม 2567 เท่านั้น และพิเศษสำหรับสมาชิก ALL member  เมื่อนำกระเป๋าสุดเลิฟกลับมาใช้ซ้ำภายในร้าน รับแต้มเพิ่มอีก 100 คะแนน ไปเล้ยยย!!!

รายละเอียดแคมเปญ

  • ใช้คะแนน ALL member 1,000 คะแนน + เงิน 79.- หรือใช้เงิน 99.-
  • สั่งจองที่ร้านหรือ 7Delivery ได้ตั้งแต่วันนี้ – 23 มี.ค. 2567 (รอรับสินค้าภายใน 5-8 วัน)

พิเศษเมื่อนำกลับมาใช้! เพียงแสกนบาร์โค้ดด้านในถุงผ้า รับแต้มเพิ่มอีก 100 คะแนน พลาดไม่ได้แล้วงานนี้