Home Blog Page 45

เงาหุ้น : หุ้นดี STA–RATCH

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 เม.ย.63 ปิด 1,261.81 จุด บวก 8.89 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 76,817.44 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,755.84 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 39 บาท บวก 2.50 บาท,BAM ปิด 22.70 บาท บวก 0.90 บาท, PTT ปิด 33.25 บาท ลบ 0.75 บาท, GPSC ปิด 71.75 บาท บวก 5.75 บาท, KBANK ปิด 90.25 บาท ลบ 6.75 บาท

บล.เอเซียพลัสระบุว่า หุ้นไทยขณะนี้ปรับตัวขึ้นมาแรงหากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดของดัชนี ณ 13 มี.ค.63 ให้ผลตอบแทนสูงราว 30% แต่ต่อจากนี้เชื่อว่าตลาดจะมีอุปสรรคที่ต้องเผชิญ คือ

1.ดัชนีปัจจุบันเข้าใกล้เป้าหมายปี 63 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 1,264 จุด

2.ปัจจัยกดดันปกคลุมรอบด้าน ทั้งราคาน้ำมันที่ผันผวนมากและอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 21 ปี, การขยายเวลาการ Lock Down เมือง รวมถึงการรายงานงบงวด Q1/63 เริ่มต้นจากกลุ่ม ธ.พ.ที่ไม่สดใสนัก และอาจชะลอต่อเนื่องในงวด Q2/63 ต้องรอดูการรายงานงบในกลุ่ม Real Sector ต่อ

3.ต่างชาติยังขายหุ้นไทยหนัก กองทุนเป็นผู้พยุงหลัก ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องกว่า 1.5 แสนล้านบาทนับจากต้นปี และช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด ต่างชาติขายสุทธิกว่า 8 หมื่นล้านบาท 4.หากวิเคราะห์ต้นทุนของกองทุนหรือสถาบันฯ เฉลี่ยจากจุดต่ำสุดของ SET ปีนี้ถึงปัจจุบัน พบว่ามีต้นทุนเฉลี่ยถูกมากอยู่ที่ 1,140 จุด มีกำไรสูงถึง 10% ทำให้มีโอกาสสูงที่จะทยอยขายทำกำไรออกมา

เอเซียพลัสแนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี เสริมด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะ 2 บริษัท คือ STA (ให้ราคาตามพื้นฐานที่ 14 บาท) แนวโน้มกำไรสุทธิปี 63 ฟื้นตัวโดดเด่นอยู่ที่ 813 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุนสุทธิ 149 ล้านบาทในปี 62

มีปัจจัยหนุนจาก 1.ธุรกิจถุงมือยาง (20% ของรายได้รวม) โตชัดเจน ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 40.7% yoy 2.ธุรกิจยางพารา (80% ของรายได้รวม) ฟื้นตัวจากโรงงานแปรรูปยางหลายแห่งหยุดผลิตชั่วคราว ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อจาก STA เพิ่มขึ้น และได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่าหนุนกำไรดีขึ้น

อีกตัว หุ้น RATCH (ให้ราคาพื้นฐานที่ 75 บาท) เป็นหุ้นผันผวนต่ำ ปันผลสูงกว่า 4% ต่อปี และได้ Sentiment บวกจากความต้องการใช้ไฟที่มากขึ้นจากการเข้าสู่หน้าร้อน รวมถึงการ Work From Home และยังไม่มีผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าของรัฐบาล เนื่องจาก สัดส่วนรายได้มาจาก IPP (โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่) มากกว่า 90%

ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงจนมี upside กว่า 25% จากมูลค่าพื้นฐานเป็นโอกาสเข้าสะสม!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น อินเด็กซ์51 นสพ.ไทยรัฐ

โออาร์ ร่วมกับ ธ.ก.ส. เปิด “พื้นที่ปันสุข” ให้เกษตรกรจำหน่ายมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ พีทีที สเตชั่น

พร้อมเชิญชวนประชาชน ร่วมอุดหนุนเกษตรกร เลือกซื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ในราคาพิเศษ

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)(โออาร์) และ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ร่วมประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทย ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศ เปิด “พื้นที่ปันสุข” ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เพื่อให้เกษตรกรไทยนำผลิตผลทางการเกษตรมาจำหน่าย โดยจำหน่ายมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ราคาพิเศษ กล่องละ 150 บาท (บรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม) ภายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลา 08:00 – 15:00 น. โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมโครงการและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1365 Contact Center หรือ www.pttor.com 

ทั้งนี้ โออาร์ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยที่ประสบปัญหาในการหาช่องทางจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร ซึ่งมะม่วงน้ำดอกไม้ถือเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดยเกษตรกรไม่สามารถส่งมะม่วงน้ำดอกไม้ไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ ทำให้ปัจจุบันมีผลผลิตล้นตลาด โออาร์ จึงได้ร่วมกับ ธ.ก.ส. เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรจากจังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา และเชียงใหม่ นำมะม่วงน้ำดอกไม้มาจำหน่ายที่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมโครงการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสวนมะม่วงได้ระบายสินค้า อีกทั้งยังทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อมะม่วงเกรดดีได้ในราคาพิเศษ อันถือเป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อให้คนไทยทุกคนสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยกัน 

กลุ่มศรีสวัสดิ์ตอบรับจม.นายกฯ เสนอตัวแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ พร้อมช่วยแก้วิกฤติประเทศ

กลุ่มศรีสวัสดิ์ พร้อมมีส่วนร่วมให้ประเทศผ่านพ้นโควิด-19 หลังได้รับหนังสือเชิญจากนายกรัฐมนตรี เสนอช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ใช้ 4 พันสาขาทั่วประเทศ เป็นคลินิกแก้หนี้นอกระบบ

ธิดา แก้วบุตตา

ธิดา แก้วบุตตา ตัวแทนกลุ่มบริษัทศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า นายฉัตรชัย แก้วบุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทและกลุ่มศรีสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในบุคคล ที่ ได้รับหนังสือเชิญจากท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มศรีสวัสดิ์ และนายฉัตรชัย พร้อมที่จะช่วยเหลือให้ประเทศสามารถฝ่าวิกฤติในครั้งนี้

ทางกลุ่มศรีสวัสดิ์เสนอเข้าไปมีส่วนร่วมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โดยใช้สาขาของศรีสวัสดิ์ กว่า 4 พันสาขาทั่วประเทศ เป็นคลินิกแก้หนี้นอกระบบ ซึ่งทางกลุ่มศรีสวัสดิ์มีความพร้อมด้านบุคลากรและการบริหารจัดการ เชื่อว่ามีประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดงานหรือเลิกจ้างในช่วงนี้เป็นจำนวนมากที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้นอกระบบ ดังนั้น จึงเห็นว่าการเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ จะเป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระภาครัฐและดูแลประชาชนในช่วงวิกฤติ และเป็นผลดีในระยะยาวต่อเศรษฐกิจต่อไป

ทั้งนี้ กลุ่มศรีสวัสดิ์กำลังจัดทำแผนการทำงานเต็มรูปแบบเพื่อให้การร่วมมือกับรัฐบาลแก้ปัญหาในครั้งนี้สำเร็จด้วยดี เพื่อประโยชน์ของประเทศต่อไปในระยะยาว

EIC มองแรงงานน่าเป็นห่วง โควิด-19ทำคนตกงานเป็นประวัติการณ์ กระทบภาคครัวเรือน

อีไอซี หรือ Economic Intelligence Center (EIC) หน่วยงานกลยุทธ์ของธนาคารไทยพาณิชย์ มอง เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤติที่ยังไม่รู้จุดจบแน่ชัด จากผลของการแพร่ระบาดของ Covid-19 ซึ่งส่งผลกระทบในเกือบทุกสาขาธุรกิจ โดยมีความรุนแรงเป็นพิเศษในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว วิกฤติดังกล่าวเป็นความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานซึ่งมีสัญญาณความอ่อนแอมาตั้งแต่ในช่วงก่อนหน้า โดยกลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราว  ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และลูกจ้าง SMEs ซึ่งถือเป็นคนส่วนมากถึง 62% ของกำลังแรงงานไทย และมีความอ่อนไหวสูงต่อสภาวะเศรษฐกิจ

EIC ประเมินว่า จำนวนผู้ว่างงานจะเพิ่มขึ้นสูงถึงราว 3-5 ล้านคน ถือเป็นระดับที่สูงกว่าทุกวิกฤติการณ์ในอดีตของไทย ทั้งนี้เพราะผลกระทบครั้งนี้กินวงกว้างกว่าและมีการหยุดชะงักฉับพลัน (sudden stop) ของหลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคเกษตรอาจไม่สามารถทำหน้าที่ดูดซับคนตกงานจากภาคอื่น ๆ ได้เหมือนในอดีตจากปัญหาภัยแล้ง 

EIC มองว่า จะมีแรงงานอีกจำนวนมากที่แม้จะไม่ตกงาน แต่จำนวนชั่วโมงทำงานและรายได้จะลดลงอย่างมากหรือกระทั่งไม่มีรายได้เลยในบางช่วง ทั้งนี้คาดว่าการฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ตามเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวแบบ U-shaped และผลจาก Covid-19 ที่จะยังมีอยู่ตราบใดที่ยังไม่มียารักษาและวัคซีน ความเสี่ยงในตลาดแรงงานมีแนวโน้มส่งผลต่อเนื่องไปยังคุณภาพชีวิตของภาคครัวเรือนที่มีความเปราะบางอยู่แล้วเป็นทุนเดิม โดยครัวเรือนไทยประมาณ 60% มีสินทรัพย์ทางการเงินไม่เพียงพอใช้จ่ายเกิน 3 เดือน

เงาหุ้น : ซื้อหุ้นอุปโภคบริโภค

ดัชนีหุ้นไทยวันที่  21 เม.ย. 63  ปิดที่ 1,252.92 จุด  ลดลง  13.48 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 58,676.75 ล้านบาท     ต่างชาติขายสุทธิ 6,103.20 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิด 34  บาท ลบ 1.25 บาท,GULF ปิด  36.50 บาท  บวก  0.50 บาท, AOT ปิด 60.50 บาท ลบ 1.50 บาท,CPALL ปิด  65.50 บาท ลบ 0.50 บาท  และ PTTEP ปิด  76.25 บาท ลบ 2.75 บาท 

หุ้นไทยย่อตัวลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังราคาน้ำมันดิ่งลงอย่างรุนแรง กดหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มแบงก์ผสมโรงกดดันตลาด หลังมองทิศทางผลประกอบการแบงก์ไม่ดีนัก

ครม. มีมติเห็นชอบระเบียบในการจัดหาเงินและตั้งคณะกรรมการตาม พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และเห็นชอบ พ.ร.ก. ของ ธปท. ทั้ง 2 ฉบับ ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสผ่อนปรนมาตรการ Lockdown แต่ยังไม่ปลด Lockdown ทั้งหมด และยังไม่มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยหากภาคส่วนไหนต้องการเปิด ต้องเสนอมาตรการป้องกันให้พิจารณาเป็นรายกรณี

ขณะที่ ครม. เห็นชอบขยายวงเงินเยียว 5,000 บาท/คน/เดือน จาก 9 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน โดยกำหนดกรอบเวลา 3 เดือน คิดเป็นวงเงิน 2.1 แสนล้านบาท บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)มองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค  หุ้นเด่น CPF- CPALL- BJC-TACC-CBG- ADVANC และDTAC 

นอกจากนี้ยังได้  Update หุ้น STA  พบว่า ล่าสุดออเดอร์ถุงมือยางแน่นไปถึงเดือน ก.พ. 64 แล้ว ด้วยราคาขายที่เพิ่มขึ้น YoY อย่างมีนัยสำคัญ และยังได้ประโยชน์จากบาทอ่อน เพราะส่งออก 90%  แนะนำซื้อทางเทคนิคมีแนวต้านที่ 12.50 บาท หากผ่านไปได้แนวถัดไป 13.00 บาท

ส่วนประเด็นที่ เยอรมัน เดินหน้าทยอยปลด lockdown เพิ่มเติม หลังอนุญาตให้ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก, ผู้ผลิตรถยนต์, ร้านจักรยาน, และร้านหนังสือเปิดทำการไปแล้ว ส่วนโรงเรียนจะเริ่มเปิด 4 พ.ค. 63 แต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ โรงหนัง และร้านอาหารยังปิดทำการ  ซึ่งเยอรมันถือเป็นประเทศที่คุม COVID-19 ได้ดีสุดในยุโรป 

การกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเยอรมัน เป็น Sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA-KCE !!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์51 นสพ.ไทยรัฐ

แอลกอฮอล์ทางการแพทย์ กับ แก๊สโซฮอล์ แอลกอฮอล์เหมือนกัน แต่คุณสมบัติไม่เหมือนกัน

ความแตกต่าง ระหว่าง แอลกอฮอล์ที่ผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง และ แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ อย่างที่ทราบกันนั้น มีคุณสมบัติ สารประกอบ และการนำไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน ไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้ รวมไปถึงต้นทุนในการผลิตไม่เท่ากันด้วย สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ ดังนี้

สำหรับแอลกอฮอล์ที่นำไปใช้สำหรับล้างมือป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีความเข้มข้น 70-90% โดยปริมาตร มีน้ำเป็นส่วนผสม 10-30% แล้วแต่สูตร เพื่อให้เจือจางไม่ระคายผิว และมีระยะเวลาการระเหยที่ไม่เร็วเกินไป มีประสิทธิภาพ ในการฆ่าเชื้อโรค โดยต้องผ่านกระบวนการกลั่นหลายขั้นตอนเพื่อดึงเอาสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ออก เพื่อให้ได้ค่าความบริสุทธิ์ ที่สูงเพียงพอสำหรับมาตรฐานที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ที่เรียกว่า Food Grade หรือ สำหรับอุตสาหกรรมยา Pharmaceutical Grade เรียกง่ายๆ ว่าเป็นแอลกอฮอล์เกรดดี จึงมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเกรดที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาก

ส่วนแอลกอฮอล์ที่ผสมในน้ำมันเชื้อเพลิง นั้น จะมีความเข้มข้นมากถึง 99.5% คือมีน้ำเป็นส่วนประกอบเพียง 0.5% เพราะหากมากกว่านี้ อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ แต่ความบริสุทธิ์มีไม่มากเท่ากับแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาดมือเรียกว่าบริสุทธิ์น้อยกว่ามาก เพราะเป็นเกรดเชื้อเพลิง ไม่ใช่ Food Grade หรือ Pharmaceutical Grade จึงอาจยังมีสารปนเปื้อน สารตกค้าง โลหะ หรือ สารพิษเจือปน ซึ่งอาจเป็นอันตราย หรือ เกิดการระคายเคืองหากนำมาใช้กับคน

ซึ่งจะเห็นได้แล้วว่าแอลกอฮอล์ทั้ง 2 ชนิด มีความแตกต่าง ทั้งกระบวนการผลิต คุณสมบัติที่เหมาะสม และวัตถุประสงค์การนำไปใช้จึงไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้

ที่มา กระทรวงพลังงาน

ออมสิน ขยายเวลาพักหนี้เป็น 6 เดือน ช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤตโควิด-19

ธนาคารออมสิน ขยายเวลาพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติเพิ่มจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน เริ่ม 1 เม.ย.-30 ก.ย.63 ช่วยลูกค้าเผชิญภัยไวรัสโควิด-19

ลูกค้าสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเคหะ และสินเชื่อผู้ประกอบการSMEs สถานะปกติจนถึงค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน ณ 31 มีนาคม 2563

ไม่ต้องลงทะเบียน หากไม่ต้องการเข้าร่วมสามารถชำระได้ตามปกติ

ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เดิมธนาคารออมสิน จะช่วยลูกค้าเงินกู้เคหะที่มียอดเงินต้นคงเหลือไม่เกิน 3 ล้านบาท แต่เห็นว่าลูกค้าเดือดร้อนเหมือนกัน จึงพิจารณาให้เข้าร่วมโครงการได้ทั้งหมด

แต่ถ้าลูกค้าไม่ต้องการพักชำระก็สามารถแจ้งกับธนาคารได้ หรือต้องการชำระเป็นบางเดือนที่ลูกค้าคิดว่าสามารถจ่ายได้ โดยธนาคารฯ ผ่อนปรนให้ถือว่าเป็นสถานะลูกค้าปกติ ไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระ

ส่วนลูกหนี้ที่ถูกฟ้องอยู่ในสถานะหลังจากมีการพิพากษาแล้วจะได้รับการช่วยเหลือด้วย แต่จะพิจารณาเป็นกรณีเฉพาะราย

สำหรับดอกเบี้ยของเงินงวดในช่วงพักชำระหนี้ 6 เดือนให้ชำระในงวดสุดท้ายของสัญญา หรือเลือกเฉลี่ยจ่ายหลังพ้นจากช่วงพักชำระไปแล้วก็ได้

ทั้งนี้ หลังจากครบกำหนดระยะเวลาการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว ให้ลูกค้าชำระงวดค้างเดิมก่อนเข้ามาตรการ (ถ้ามี) แล้วจึงผ่อนชำระเงินงวดในเงื่อนไขเดิมตามสัญญาปกติหรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ก่อนหน้าเข้ามาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนข้างต้นนี้

หากไม่สามารถชำระได้ ให้เข้าร่วมมาตรการพักชำระเงินต้นได้อีก 2 ปีที่ธนาคารได้ประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งเป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผล กระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

ครม.อนุมัติขยายจำนวนผู้เข้าโครงการเยียวยา 5000 บาท จาก 9 ล้านคนเป็น 14 ล้านคน วงเงินเพิ่มเป็น 2.1 แสนล้านบาท

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (21 เม.ย.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ขยายจำนวนผู้รับเงินชดเชยเยียวยาจากรัฐบาลเนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 จาก 9 ล้านคน เป็น 14 ล้านคน เนื่องจากจำนวนของผู้ที่ได้รับผลกระทบที่มาลงทะเบียนมีเป็นจำนวนมาก และเมื่อตรวจสอบสิทธิ์ตามที่ได้มีการอุทรณ์เข้ามาพบว่ามีจำนวนที่เพิ่มกว่าเป้าหมายเดิมอย่างมาก

กระทรวงการคลังจึงขอขยายจำนวนคนที่เข้าโครงการซึ่งจะได้รับเงินจากภาครัฐ เดือนละ 5000 บาทเป็นระยะเวลา 3 เดือน ทำให้ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 1.35 แสนล้านบาท เป็น 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายงบประมาณจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินวงเงิน 1 ล้านล้านบาท รวมทั้งจากการโอนงบประมาณปี 2563 

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สาธารณสุข ร่าง 5 ข้อเสนอแนวทางผ่อนปรน ม.ควบคุม โควิด-19

ทยอยเริ่มต้นจากกลุ่มจังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

กระทรวงสาธารณสุข ระดมผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ คณบดีจากคณะแพทย์ จัดทำร่างข้อเสนอแนวทางผ่อนปรนมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ด้านสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชน และผู้ประกอบการ สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติและมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิต โดยเตรียมเสนอต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) พิจารณา โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 5 แนวทาง คือ

1. หน่วยงานด้านสาธารณสุข ต้องเพิ่มความเข้มข้นมาตรการตรวจคัดกรองคนติดเชื้อในประเทศเข้มงวดกับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ มีการกักเฝ้าสังเกตอาการ 14 วันในสถานที่ที่กำหนด การค้นหาผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น ในชุมชนแออัด

2. คนไทยทุกคน ทุกชุมชน ทุกสังคม ต้องร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการสุขลักษณะ ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อออกจากบ้าน การมีระยะห่างทางกาย งดการชุมนุม กลุ่มเสี่ยงยังควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน

3. ภาคธุรกิจ ต้องประเมินความเสี่ยง และปรับการดำเนินการให้มีความเสี่ยงต่ำ เช่น มาตรการตรวจวัดไข้ เว้นระยะห่างทางกาย การทำความสะอาดมือ การลดจำนวนผู้คนที่มาติดต่อใช้บริการ

4. ปิดบริการหรือกิจการที่มีความเสี่ยงสูง เป็นแหล่งแพร่ระบาดได้แก่ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ สถานบริการทางเพศทั้งตรงและแฝง สนามการพนัน ต้องปิดในระยะยาว สำหรับการปิดกิจการในอนาคต ควรใช้วิธีปิดแบบจำเพาะที่เป็นปัญหา และคงความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

5. เฝ้าระวังตรวจจับและคาดการณ์ความรวดเร็วของการแพร่ระบาดในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เป็นการเตือน และเพิ่มหรือผ่อนคลายมาตรการตามแต่ละจังหวัด และมีการเฝ้าระวังโดยภาคประชาชน อสม.

หากสามารถดำเนินการได้ทั้ง 5 แนวทาง จะผ่อนปรนให้กลับมาดำเนินการได้ โดยใช้ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขดูจังหวัดที่มีการติดเชื้อต่ำเริ่มจากกลุ่มจังหวัดที่ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา (ประมาณ 32 จังหวัด) สามารถเริ่มได้ในต้นเดือนพฤษภาคม หรืออาจนำร่องทดลองปลายเดือนเมษายน

ระยะต่อไปจะเริ่มในกลุ่มที่สอง คือ จังหวัดที่พบผู้ป่วยติดเชื้อในพื้นที่แบบประปราย (ประมาณ 38 จังหวัด) ประมาณกลางเดือนพฤษภาคม

สำหรับกลุ่มที่สาม คือ จังหวัดที่มีการระบาดอย่างต่อเนื่อง (ประมาณ 7 จังหวัด) หากสามารถลดการระบาดและไม่มีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ สามารถผ่อนปรนเปิดได้ต้นเดือนมิถุนายน นี้

รัฐบาลจัดให้ จับมือเอกชน โทรมือถือฟรีทุกค่าย 100 นาที กดรับสิทธิ 1 – 15 พ.ค.นี้

รัฐบาลร่วมกับ กสทช.สนับสนุนมาตรการโทรฟรี 100 นาที รองรับ “Work – Learn” from Home ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซึ่งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย ได้แก่ เอไอเอส ทรู ดีแทค ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม (แคท) จะให้สิทธิ์ โทร.ฟรี 100 นาที ทุกเครือข่าย 45 วัน
.

ลงทะเบียนรับสิทธิ์โทรฟรี โดยประชาชนสามารถกดรับสิทธิ์ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 15 พ.ค. 63 ด้วยการ กด * 170 * ตามด้วยหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักที่ใช้ลงทะเบียนซิม จากนั้น กด # แล้วกดโทรออก เมื่อได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้วจะสามารถใช้งานได้ 45 วัน

นอกจากนี้ ผู้ได้รับสิทธิ์จะต้องลงทะเบียนซิมในนามของบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย เท่านั้น 1 สิทธิ์ ต่อ 1 ค่าย โดยได้รับทุกค่าย เช่น ถ้ามีมือถือทั้ง 3 ค่าย ๆ ละเบอร์ จะได้รับสิทธิ์ทั้ง 3 เบอร์ เป็นต้น