Home Blog Page 25

เงาหุ้น : เลือกหุ้น Defensive

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 14 ก.ค. 63 ปิดที่ 1,341.07 จุด ลดลง 1.30 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 63,991.66 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 229.37 ล้านบาท ขณะที่กองทุนในประเทศขายสุทธินำตลาด 1,910.47 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าการซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 84 บาท บวก 2.25 บาท, STA ปิด 29.50 บาท ลบ 0.75 บาท, CPF ปิด 33.50 บาท ลบ 0.25 บาท, EA ปิดที่ 48.50 บาท บวก 2.75 บาท และ PTL ปิด 22.50 บาท บวก 1.10 บาท

ตลาดหุ้นปรับตัวลง กังวลโอกาสเกิดการแพร่ระบาดรอบ 2 ในประเทศ หลังมาตรการควบคุมโรคสำหรับผู้เดินทางมาจากต่างประเทศของคณะวีไอพีที่ได้รับการยกเว้นจากภาครัฐไม่เข้มงวดทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังการลงทุน เลือกหุ้นที่มีความปลอดภัยปลอดโควิด-19 มากขึ้น

บล.โกลเบล็ก แนะลงทุนในหุ้น Defensive Stock เช่น ADVANC-INTUCH-DIF-TTW-BEM-BTS-CHG และ BCH รวมทั้งหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี เช่น WICE- TASCO และ CPF

รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากแพ็กเกจ “เราเที่ยวด้วยกัน” เช่น ERW-CENTEL-BA และ ASAP

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส คัดกรองหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่มีโอกาส Upside เกิน 10% และเป็นหุ้น Outperform ตลาดได้ดีตอนที่เกิดการระบาดรอบแรก และเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นโควิด-19 แนะนำ STGT-STA การกลับมาตระหนัก (ยกการ์ดสูง) ถึงการป้องกันไวรัส ช่วยหนุนความต้องการใช้ถุงมือยางเพิ่มขึ้น

ส่วนหุ้นที่ปรับตัวได้ดีในตอนเกิดโควิด-19 ในระยะแรก กลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการบริโภค อย่าง CPF-CPALL กลุ่มสื่อสารได้ประโยชน์จากปรับตัวตาม Social Distancing อย่าง ADVANC-INTUCH-DIF

และหุ้นที่มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับผลกระทบ COVID-19 อย่าง DCC

ปิดท้ายมีข่าวจาก บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์ เนชั่นแนล (MINT) แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทได้พิจารณาปรับลดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม (Rights Offering) จาก 18.90 บาท เหลือ 17.50 บาท หรือลดลง 7.4%

เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้นแต่ยังคงอัตราส่วนการเสนอขายที่ 8.2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนจากการที่บริษัทได้จัดสรรหุ้นสามัญที่ออกใหม่ 563,293,276 หุ้น เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เงาหุ้น : มุมมองไทยพาณิชย์

        ดัชนีหุ้นไทยวันที่  13 ก.ค. 63  ปิดที่ 1,342.37 จุด  ลดลง  8.13 จุด  มีมูลค่าซื้อขาย 62,374.16 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 422.87 ล้านบาท

                หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด CPF ปิด 33.75 บาท บวก 2 บาท ,STGT ปิด  81.75 บาท บวก  7.25 บาท มู,STA ปิด  30.25 บาท บวก  2.25 บาท ,PTT ปิด  37.50 บาท ลบ 0.75 บาทและ AOT ปิด  54.50 บาท ลบ 0.50 บาท

                “สุกิจ อุดมศิริกุล” กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์   มองหุ้นไทยมี upside จำกัด หลัง  valuation มูลค่าหรือราคาหุ้นไม่สมเหตุสมผล แม้ความเสี่ยงระยะสั้นลดลง แต่ความไม่แน่นอนระยะยาวยังมีอยู่ 

                ยังคงมุมมองการลงทุนระมัดระวังต่อภาคบริการเนื่องจาก 3 ปัจจัย  คือการฟื้นตัวช้า,อัตราการผิดนัดชำระหนี้สูงขึ้นของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง และ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ 

                กลยุทธ์ลงทุนไตรมาส 3 สำหรับพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว แนะให้เข้าซื้อหุ้น defensive คุณภาพสูง เช่น กลุ่มสินค้าจำเป็นและกลุ่มการแพทย์ แม้การ rotation ไปยังกลุ่มหุ้น cyclical ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป น่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่แนะนำกลุ่มที่มีความคาดหวังต่ำ เช่น พลังงาน ปิโตรเคมี และแบงก์

                ทั้งนี้ หุ้นรายตัวให้ความสำคัญกับมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและ story เกี่ยวกับการเติบโตรอบใหม่มากกว่าการปรับเพิ่ม valuation  ดังนี้ พอร์ตลงทุนแบบ defensive ซึ่งประกอบด้วย top picks จากไตรมาส2 คือหุ้น  BDMS -BEM-BTS และ CPF และหุ้น defensive ใหม่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ ADVANC -BCH

                ส่วนพอร์ตลงทุนเชิงกลยุทธ์  เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น BBL- ERW- IVL และ HAN

                สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต แม้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยจะทำจุดต่ำสุดในไตรมาส2  แต่ต่อไปอาจมีความเสี่ยง downside บางอย่าง ที่จะส่งผลกระทบทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงมากกว่าที่คาดไว้

                มีปัจจัยเสี่ยง 3 ประการ คือ 1. การลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงของสหรัฐฯ  2.การระบาดรอบ 2 ของไวรัสโควิด-19     3.ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่อาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต !!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

CP Freshmart ผนึกกำลัง Five Star และ STAR coffee เปิดร้านใหม่สไตล์ “มอลล์” กลางเมืองลำพูน

นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดร้าน CP FreshMart สาขาใหม่ ในสาขาลำพูน-รอบเมืองใน อ.เมือง จ.ลำพูน โดยมี นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจห้าดาว และ นายชลากร อัศวอิทธิฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางสาวสุพัตรา นันทะยานนท์ เจ้าของร้าน Five Star – STAR coffee ที่เปิดสาขาในพื้นที่เดียวกันตามแนวคิดใหม่ในสไตล์ “มอลล์”

สำหรับร้าน Five Star เป็นสาขาที่ 314 ของธุรกิจห้าดาว เปิดให้บริการอาหารพร้อมรับประทานมากกว่า 30 เมนู อาทิ ไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว ไก่จ๊อห้าดาว เป็นต้น ส่วนร้านกาแฟ STAR coffee เป็นสาขาที่ 124 ในรูปแบบร้านที่ทันสมัย ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแก้วไบโอพลาสติกและหลอดไบโอพลาสติกที่ทำจากพืช ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชื่นชอบกาแฟและใส่ใจสิ่งแวดล้อม นับอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับพี่น้องชาวลำพูนและคนไทยรุ่นใหม่หัวใจสีเขียวที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ ในบริเวณเดียวกันยังเปิดร้านซีพี เฟรชมาร์ท รูปโฉมใหม่สไตล์ล้านนา ประดับด้วยไม้ฉลุ และการสร้างสรรค์ศิลปะบนกำแพงที่มีความสวยงามเข้ากับวัฒนธรรมทางภาคเหนือ และตอบไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด “สดทุกวัน คุ้มทุกวัน” เพิ่มความสะดวกในทุกมื้อดีๆ ในทุกๆ วัน ให้กับผู้บริโภคชาวลำพูน โดยมีสินค้าหลากหลายให้เลือกสรรความอร่อยแบบครบครัน ทั้งของสด เช่น กุ้งสดพรีเมียม ผลิตภัณฑ์เนื้อไก่สด, หมูดำ ซีพี คูโรบูตะ, ไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection Cage Free Egg ผักและผลไม้ เครื่องปรุงรส อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน และอาหารแห้ง รวมถึงเมนูสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพ แบรนด์ Smart Meal, Smart Soup เมนูขนมหวาน และเครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น

สำหรับสาขาดังกล่าว เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-21.00 น. หรือสั่งซื้อสินค้าจากร้านซีพี เฟรชมาร์ท ได้ง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น CP FreshMart ซึ่งดาวน์โหลดได้จากมือถือทุกระบบ รวมถึงสามารถสั่งผ่านฮอตไลน์ โทร.1788 และเว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com

เปิดเมกะดีล เอไอเอส ผนึกสหพัฒน์ฯ ตั้งบริษัทร่วมทุน สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค

สานต่อแผนความร่วมมือพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ นำพลานุภาพ AIS 5G ปูพรมเต็มพื้นที่ EEC
พัฒนาสู่ Smart Industrial ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก ผสานพลังฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศไทย

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า  เอไอเอส ร่วมมือกับบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI  บริษัทในเครือสหพัฒน์ จัดตั้ง บริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค หรือ SAN  ให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic) และ ICT Infrastructure ภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ทั้ง 4 แห่ง คือ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี, อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี, อ.เมือง จ.ลำพูน และ อ.แม่สอด จ.ตาก รวมพื้นที่ประมาณ 7,255 ไร่ ซึ่งมีโรงงานตั้งอยู่กว่า 112 แห่ง พร้อมเตรียมนำ ICT Infrastructure และเทคโนโลยี 5G ทั้ง  5G Stand Alone (5G SA) เครือข่าย 5 โดยเฉพาะ ที่มีความเร็วสูงและความหน่วงต่ำ และ 5G Network Slicing  ที่เอไอเอส เป็นรายแรกรายเดียวในไทย ที่สามารถออกแบบเครือข่ายได้อย่างสอดคล้องและยืดหยุ่น ตอบโจทย์ลักษณะของอุตสาหกรรมแต่ละรูปแบบ แต่ละพื้นที่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพไปให้บริการในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มผลผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC ทั้งยังเป็นต้นแบบของการนำเอาเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในนิคมอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนายวิชัย กุลสมภพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง มีความตั้งใจที่จะพัฒนาสวนอุตสาหกรรมไปสู่มาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามายกระดับการบริหารและพัฒนาพื้นที่ภายในสวนอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ยกระดับกระบวนการผลิตสู่การเป็นโรงงานอัจฉริยะ และนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0  บริษัทยินดีที่ได้ร่วมกับเอไอเอส นำโครงข่าย Fiber Optic มาให้บริการภายในสวนอุตสาหกรรมของ SPI ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการต่อยอดบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูง และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับองค์กร อีกทั้งยังเป็นการรองรับการเติบโตของบริการ 5G สำหรับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในอนาคต

ทั้งนี้  เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของ สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ที่เป็นผู้นำด้านสินค้าอุปโภคและบริโภค และมีความแข็งแกร่งด้านการดำเนินธุรกิจพัฒนาที่ดินเพื่อการอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน เมื่อผนวกกับจุดแข็งของเอไอเอส ในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่แข็งแกร่งด้วยเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และครอบคลุมทั่วประเทศ จะช่วยให้ผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC สามารถผลิตสินค้าและดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนจากทั่วทุกมุมโลกสนใจมาลงทุนตั้งฐานการผลิตที่ในพื้นที่ EEC มากยิ่งขึ้น อันจะเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้กลับมาแข็งแกร่ง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยได้อย่างยั่งยืน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค หรือ SAN จัดตั้งขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 300,000 หุ้น เป็นเงิน 30,000,000 บาท โดย บริษัท แอดวานซ์ บรอดแบรนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด (ABN) ถือหุ้น 70% คิดเป็นเงินลงทุน 21 ล้านบาท และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (SPI) ถือหุ้น 30% คิดเป็นเงินลงทุน 9 ล้านบาท

FIVE STAR และ Star coffee ฉลองเปิดสาขาใหม่ รพ.กระทุ่มแบน

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส พร้อมด้วยนายศุภฤกษ์ หอมสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหาร ธุรกิจห้าดาว บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมแสดงความยินดีกับ นางวรวรรณ จั่นทิม เจ้าของร้าน FIVE STAR และ Star coffee ฉลองเปิดสาขาใหม่โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.

นายสุนทร กล่าวว่า การเปิดสาขาพื้นที่โรงพยาบาลถือเป็นทำเลใหม่ที่ธุรกิจห้าดาวให้ความสำคัญ และขยายสาขาในช่องทางนี้อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการหาทำเลที่เหมาะสมแล้ว อีก 3 เรื่องที่ปีนี้ทางห้าดาวให้ความสําคัญคือ การเพิ่มเมนูข้าวกล่อง ซึ่งลูกค้าบางคนมีเวลาจำกัดจึงซื้อเพียงอาหารกล่อง ทำให้ธุรกิจห้าดาวต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เพิ่มเติม นอกจากนี้คือการทำ delivery ซึ่งเราทำเองใช้ชื่อว่า Star delivery โดยตั้งเป้าหมายว่าจะดำเนินการให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการเปิดร้านแบบคู่ คือ Five STAR และ Star coffee ก็ยังเป็นสิ่งที่เราให้ความสําคัญ

ร้าน FIVE STAR สาขาโรงพยาบาลกระทุ่มแบน เป็นสาขาที่ 320 มีการตกแต่งแบบทันสมัย กว้างขวาง สามารถนั่งทานในร้านได้ บริการอาหารพร้อมทานมากกว่า 30 เมนู อาทิ ไก่ย่างห้าดาว ไก่ทอดห้าดาว ไก่จ๊อห้าดาว และเมนูข้าว FIVE STAR รวมถึงอาหารอื่นๆ อีกมากมายไว้คอยบริการให้ลูกค้าเลือกอร่อย และเข้าถึงได้ในราคาที่คุ้มค่า

นอกจากนี้ ยังมีร้านกาแฟ Star coffee ที่เปิดร่วมกัน มีบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงาม นั่งสบาย มีเมนูเครื่องดื่มร้อน เย็น และปั่น ในราคามิตรภาพ การันตีด้วยมาตรฐานจาก CPF ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมชูนโยบาย “รักษ์โลก” ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแก้วไบโอพลาสติกและหลอดไบโอพลาสติกที่ทำจากพืช ย่อยสลายในธรรมชาติได้ 100% ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้ชื่นชอบกาแฟและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

สำหรับโปรโมชั่นของร้าน FIVE STAR มีหลายรายการด้วยกัน เช่น ไก่กรอบ ชิ้นละ 20 บาท อกไก่อบชานอ้อย ชิ้นละ 45 บาท ไก่ทอดเกลือ ครึ่งตัว 55 บาท และเป็ดทอดเยอรมัน ครึ่งตัว 99 บาท ส่วนร้าน Star coffee มาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษฉลองเปิดร้าน เพียงซื้อเครื่องดื่ม 1 แก้ว ลุ้นจับไข่รางวัล 1 สิทธิ์ทันที

ธุรกิจร้าน FIVE STAR และ Star coffee นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมั่นคงและยั่งยืน สนใจธุรกิจห้าดาว ติดต่อได้ที่ 02-800-8000 และธุรกิจร้านกาแฟ ติดต่อได้ที่ www.starcoffee.in.th

วุฒิศักดิ์คลีนิก ยื่นศาลล้มละลาย ขอฟื้นฟูกิจการ หลังแบกหนี้หลักสิบล้านบาท

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เฟสบุ็คทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้โพสข้อความเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา มีเนื้อหาว่า

“วุฒิศักดิ์คลีนิค คลีนิคเสริมความงามระดับประเทศ ยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลาง ขอฟื้นฟูกิจการ ตามกฎหมายล้มละลาย

ศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวน วันที่ 31 สิงหาคม 2563

ใครซื้อคอร์สเสริมความงามไว้ และ บรรดาเจ้าหนี้ โปรดติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป”

พร้อมกันนี้ได้โพสรูปภาพประกอบ เป็นหนังสือประกาศศาลล้มละลายกลาง เรื่องขอฟื้นฟูกิจการ บริษัท วุฒิศักด์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด โดยมีใจความสรุปว่า ด้วยคดีนี้ บริษัท วุุฒิศักดิ์ มีหนี้สินล้นพ้นตัวเป็นหนี้เจ้าหนี้ไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท แต่กิจการของลูกหนี้ยังมีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้ตามพรบ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/3, 90/4 ขอให้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ

โดยศาลได้มีคำสั่งรับคำร้อง เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 63 และกำหนดนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 31 ส.ค. 63 เวลา 9.00 น. จึงแจ้งให้เจ้าหนี้หรือผู้มีส่วนได้ส่่วนเสียทราบผู้ใดจะคัดค้านคำร้องเรื่องนี้ประการใด ให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่าสามวัน

เงาหุ้น : โควิด–19 ยังกดดัน

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 10 ก.ค.63 ปิดที่ 1,350.50 จุด ลดลง 15.31 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 64,196.73 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,157.76 ล้านบาท

ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ ดัชนีหุ้นไทยลดลง 21 จุด นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 261 ล้านบาท ขณะที่สถาบันขายสุทธิ 6,465 ล้านบาท พอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 583 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยซื้อสุทธิ 6,788 ล้านบาท

หลังเผชิญแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ โดยความคาดหวังในปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นในภาคการท่องเที่ยวกับประเด็น Travel bubble ได้ถูกเลื่อนออกไป

ขณะที่การเมืองภายในประเทศกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง คาดว่าจะมีการปรับ ครม.ในเร็วๆนี้ หลังกลุ่ม 4 กุมารถอนตัวออกจากพรรคพลังประชารัฐ

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองทิศทางตลาดสัปดาห์หน้าคาดดัชนีจะยังแกว่งตัวในทิศทางขาลง หรือ Sideway down หลังสัญญาณทางเทคนิคออกมาไม่ค่อยดี โดยดัชนีหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุด หากจะรักษาภาพขาขึ้น ในระยะกลางดัชนีไม่ควรหลุด 1,360 จุด และหากลงต่อก็มีความเสี่ยงที่จะลงลึกได้ เนื่องจากวิกฤติ COVID-19 ยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก

ขณะที่ต้องติดตามท่าทีของนายกรัฐมนตรีต่อการสรรหาทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ หลังการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งประเด็นการเมืองจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะโฉมหน้ารัฐมนตรีเศรษฐกิจคนใหม่

ส่วนผลประกอบการหุ้นกลุ่มแบงก์ที่จะเริ่มทยอยประกาศงบ Q2/63 ออกมา ซึ่งตลาดคาดว่าจะย่ำแย่ แม้จะออกมาแย่ตามที่คาดไว้จริง มุมมอง (Outlook) ในอนาคต นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่เด่นชัด โดยเป็นภาพกลางๆ (Neutral) มากกว่า

แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้เปลี่ยนกลุ่มเล่น ไปยังหุ้น Defensive แนะหุ้น RATCH หรือธีม Earning play มีหุ้น MTC-BCH เด่น

ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 1,320 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,390 จุด!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เงาหุ้น : หุ้น AOT ปีกหัก

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 9 ก.ค.63 ปิดที่ 1,365.81 จุด เพิ่มขึ้น 3.35 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 72,680.06 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,241.42 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิดที่ 74.75 บาท บวก 6.25 บาท, AOT ปิด 56.25 บาท ลบ 1.25 บาท, PTT ปิดที่ 39.25 บาท ลบ 0.25 บาท, STA ปิด 29 บาท บวก 0.50 บาท และ PTL ปิด 20.70 บาท บวก 1.90 บาท

หุ้น AOT ปรับตัวลงแรง หลังนักวิเคราะห์ประเมินไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่แย่ที่สุดของบริษัท แม้จะดีขึ้นหลังจากนั้น นอกจากนี้นักลงทุนยังกังวลว่า อาจมีความเสี่ยงต้องตั้งสำรอง 3 พันล้านบาท กรณี THAI ขอ AOT ยกเลิกหรือลดหนี้ 3 พันล้านบาท บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ กรณี THAI ขอให้ AOT ยกเลิกหรือลดหนี้ ว่า AOT มี Exposure กับการบินไทยราว 3 พันล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้การค้า 800 ล้านบาท และข้อพิพาททางแพ่งราว 2 พันล้านบาท หากมีการยกหนี้จะเป็น Sentiment ลบต่อราคาหุ้น จากงบครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะขาดทุนอยู่แล้ว

นอกจากนี้ ต้องติดตามศาลล้มละลายกลางนัดไต่สวนการบินไทยจะเข้าแผนฟื้นฟูหรือไม่ในวันที่ 17 ส.ค.63 หากเข้าสู่แผนฟื้นฟู AOT อาจจำเป็นต้องเข้าไปร่วมแก้ไขธุรกิจครัวการบิน, ศูนย์ซ่อมเครื่องบิน, Cargo และ Ground Service โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาศักยภาพของประเทศ

ทั้งนี้ คงราคาเหมาะสม AOT ที่ 54 บาท แนะแค่ TRADING และให้นักลงทุนรอสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว จากการขาด Catalyst หนุนในระยะสั้น โดย AOT จะฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มโรงแรมเนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลักและต้องดูแล Airline ให้ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปให้ได้ก่อน จึงจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง

ส่วน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองกรณี THAI เข้าสู่แผนฟื้นฟู จะทำให้ THAI ขอเจรจายกเลิกหนี้หรือลดหนี้ทำให้ AOT มีความเสี่ยงตั้งสำรองรวม 3 พันล้านบาท โดยประเมินว่า AOT จะมีการตั้งสำรองในงบปี 64

ทั้งนี้ ประเมินผลการดำเนินงาน AOT งวดปี 64 ว่าจะขาดทุน 3 พันล้านบาท ลดลงจากปี 63 ที่ประเมินว่าจะมีกำไร 4.5 พันล้านบาท ขณะที่มีผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF เล็กน้อย 0.20 บาท/หุ้น

แนะแค่ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 59 บาท โดยระยะสั้นมองราคาหุ้นจะลดลงจากการระบาดของโควิด–19 ระลอก 2 ในหลายประเทศ ทำให้แนวโน้มการเปิดเที่ยวบินระหว่างประเทศยังต้องเลื่อนออกไปก่อน รวมทั้งแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3-4 ปีนี้จะขาดทุนมาก!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS Fibre อัปเกรดเน็ตบ้านเพื่อคนไทยยุค New Normal

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานบริหารธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ เอไอเอส เปิดเผยว่า กว่า 3 เดือนที่ผ่านมาในช่วงสถานการณ์โควิด คนไทยปรับตัวเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่อย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลแบบฉับพลัน เน็ตบ้านกลายเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับไฟฟ้าและประปา ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทั้ง  Work From Home, Learn from Home, การรับชมคอนเทนต์สาระบันเทิงต่างๆ รวมถึง การสร้างสรรค์คอนเทนต์ และการเรียนรู้รูปแบบใหม่ๆ ฯลฯ ที่ผ่านมา ทำให้เราได้เห็นและเข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้งานเน็ตบ้านของคนไทย วันนี้ เอไอเอสจึงได้พัฒนานวัตกรรมและบริการไปอีกขั้น เพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งานเน็ตบ้านที่ดียิ่งกว่าให้กับคนไทย

เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ ที่ใช้สมาร์ทดีไวซ์ที่รองรับ Wi-Fi 6 ให้ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีใหม่นี้อย่างเต็มประสิทธิภาพของอุปกรณ์  เอไอเอสจึงคิดค้นและพัฒนาอุปกรณ์เสริม “AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit” ช่วยอัปเกรดเครือข่าย Wi-Fi ในบ้านให้สปีดสูงขึ้น ใช้งานไม่มีสะดุด และช่วยลดสัญญาณรบกวน โดยลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ สามารถอัปเกรดเราเตอร์เป็น Wi-Fi 6 ได้ง่ายๆ เพียงชำระค่าอุปกรณ์เสริม 1,490 บาท พร้อมรับเงินคืนเต็มจำนวน (โดยลูกค้าจะได้รับเงินค่าสินค้าคืนเป็นส่วนลดค่าบริการรายเดือน จำนวน 100 บาท นาน 15 รอบบิล) 

AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit

ทั้งนี้ เมื่อใช้อุปกรณ์เสริม “AIS Fibre WiFi6 Upgrade Kit” คู่กับเราเตอร์ AIS Fibre SuperMESH WiFi จะมอบคุณสมบัติโดดเด่นยิ่งกว่า ได้แก่ 1. ให้สปีดเร็วแรงถึง 1 Gbps บน WiFi เมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับ 2. สามารถทำสปีด Wi-Fi ได้ดีขึ้น เมื่อใช้กับอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโนโลยีใหม่ Wi-Fi 6 3. รองรับเทคโนโลยี Mesh Wi-Fi และ 4. รองรับเทคโนโลยี 4×4 MU-MIMO ซึ่งจะช่วยกระจายสัญญาณให้เร็วแรง และครอบคลุมสม่ำเสมอทั่วทุกมุมในบ้าน 

นอกจากนี้ เอไอเอสยังให้ความสำคัญด้านคอนเทนต์บันเทิงที่ดีที่สุด โดยร่วมมือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์กับ Apple TV เปิดมิติใหม่ของการรับชมคอนเทนต์ของ AIS PLAY บน Apple TV 4K   โดยจัดโปรแรง ลูกค้าเอไอเอส ไฟเบอร์ รับสิทธิ์ซื้อ Apple TV 4K ราคาพิเศษ ลด 30% สำหรับลูกค้าที่ใช้แพ็กเกจ AIS Fibre ขั้นต่ำ 699 บาท โดยจะได้รับเพิ่มส่วนลดค่าบริการรายเดือน เดือนละ 150 บาท นาน 12 เดือน รวมมูลค่า 1,800 บาท  

และยังสามารถดู AIS PLAY ผ่าน Samsung Smart TV  แบบไม่ต้องมีกล่องเพิ่มเติม  โดยลูกค้าสามารถดาวน์โหลดแอป AIS PLAY ได้ที่ Samsung App Store บนหน้าจอทีวี  โดยอัปเกรดพร้อมใช้งานได้ สำหรับสมาร์ททีวี รุ่นปี 2017 เป็นต้นไป

พรัอมทั้งสามารถรับชมคอนเทนต์กีฬาระดับโลก จาก beIN Sports ไม่ว่าจะเป็นศึกเอฟเอคัพ อังกฤษ รอบ 4 ทีมสุดท้าย และรอบชิงชนะเลิศ, ลา ลีกา สเปน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี และตุรกี ซุปเปอร์ลีก รวมถึง ไฮไลท์ช่องใหม่จาก AIS PLAY กับสารคดียอดนิยมจากช่อง Discovery และ Animal Planet สำหรับแพ็กเกจ PLAY Premium และ PLAY Premium Plus

เอไอเอส เห็นความสำคัญเรื่องบริการ ทั้งนวัตกรรม ฟีเจอร์ และงานบริการรูปแบบใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ด้านคุณภาพสัญญาน WiFi ต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ลูกค้าต้องการใช้งาน ตั้งแต่วันแรกที่ติดตั้ง โดยเอไอเอสตั้งใจออกแบบบริการ การเข้าติดตั้งของช่าง รวมถึง ออกแบบอุปกรณ์เราเตอร์ให้เป็นรุ่นเดียวกันเพื่อให้ง่ายต่อการ Pairing อุปกรณ์ Mesh Wi-Fi ตัวแม่กับตัวลูก เพียงแค่กดปุ่มก็ต่อเชื่อมได้อย่างสะดวก ง่าย และรวดเร็วในการติดตั้ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเพิ่มบริการติดตั้ง SuperMESH WiFi Router ได้ทันที ตอกย้ำมาตรฐานงานบริการที่เหนือระดับยิ่งกว่า โดยการดูแลของช่างมืออาชีพแบบ One Stop Service

เอไอเอส ไฟเบอร์ ในฐานะผู้นำนวัตกรรมเน็ตบ้าน เราเน้นย้ำความสำคัญของการสร้างสรรค์นวัตกรรมเครือข่าย และงานบริการ ตลอดจนการนำเสนอแพ็กเกจที่มีคุณภาพและคุ้มค่าที่สุด รวมถึง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ด้วยคอนเทนต์ความบันเทิงระดับโลก จากความร่วมมือจากพาร์ทเนอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่พร้อมอัปเกรดประสบการณ์ใช้งานเน็ตบ้านที่แตกต่างและดีที่สุดให้กับคนไทยเสมอ” นายศรัณย์ กล่าว

เงาหุ้น : มุมมองเอเซียพลัส

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 8 ก.ค.63 ปิดที่ 1,362.46 จุด ลดลง 10.76 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 66,274.72 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 1,211.06 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 68.50 บาท ลบ 0.50 บาท, AOT ปิด 57.50 บาท ลบ 2 บาท, PTT ปิด 39.50 บาท ลบ 0.75 บาท, STA ปิด 28.50 บาท ลบ 1.75 บาท และ EA ปิด 45.50 บาท ลบ 2.50 บาท

หุ้นไทยและหุ้นทั่วโลกยังถูกกดดันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด–19 ที่ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ

“เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” รองกรรมการผู้อำนวยการ บล.เอเซียพลัส เผยในงาน “นักวิเคราะห์พบสื่อไตรมาส 3 ปี 63” ว่า เอเซียพลัสประเมินกรอบดัชนีไตรมาส 3 ไว้ที่ 1,250-1,420 จุด

แนะกลยุทธ์ลงทุน เน้นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และกลุ่มหุ้นที่อิงการประมูลโครงการลงทุนภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นการบริโภค เลือก BGRIM, CPF, CPALL, INTUCH, INSET และ SEAFCO เป็นหุ้นเด่น!!

ฝ่ายวิจัยมองว่า มีโอกาสปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 63 ลง จากเดิมที่คาดว่ากำไร บจ.จะทำได้ 6.88 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 64 บาทต่อหุ้น ซึ่งงวดไตรมาส 1 ปีนี้ ทำกำไรไว้ที่ 1.06 แสนล้านบาท

ส่วนไตรมาส 2 คาดว่ากำไร บจ.จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือทำได้ 1 แสนล้านบาท ดังนั้น ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 63 บจ.อาจทำกำไรได้เพียง 30-40% ของประมาณการ ทำให้ครึ่งหลังของปีจะต้องทำกำไรเกินกว่า 60-70% ซึ่งถือเป็นความท้าทายมาก!!

ขณะที่มองกระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียนมากกว่า เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ P/E 20.6 เท่า สูงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค และกำไร บจ.ปีนี้จะลดลง 27.5% ต่ำที่สุดในอาเซียน ประกอบกับ IMF คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวหนักสุด

ไตรมาส 3 มีหลายปัจจัยกดดัน คือคาดจีดีพีไทยจะติดลบ 15% จากมาตรการ Lock Down และระบาดของโควิด-19 ที่ยังเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกภาพรวม รวมถึงการค้าจีน-สหรัฐฯ แต่ไตรมาส 4 หุ้นจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากนโยบายกระตุ้นการลงทุนภาครัฐและโควิดคลี่คลาย จึงเชื่อว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทยในช่วงนั้น

ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 63 มีแนวรับ 1,350 และแนวต้านอยู่ที่ 1,440 จุด!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ