Home Blog Page 23

เงาหุ้น : โฟกัสหุ้นแบงก์!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 ก.ค.63 ปิดที่ 1,340.92 จุด ลดลง 18.73 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 46,529.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,904.65 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 34.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท, PTT ปิด 38.50 บาท ลบ 1.25 บาท, STA ปิด 24.60 บาท บวก 0.10 บาท, SAWAD ปิด 51.75 บาท ลบ 2.50 บาท, CPALL ปิด 67 บาท ลบ 0.50 บาท

ตลาดปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนและผลกระทบโควิด-19 ที่กระทบให้เศรษฐกิจโลก ชะลอตัว ขณะที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกไทยยังติดลบต่อเนื่องจากผลกระทบโควิด-19

มีบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มแบงก์น่าสนใจหลังผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาต่ำกว่าคาดโดย บล.บัวหลวง แนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มปลอดภัย ชอบ BBL และ TISCO

ระบุว่าผลประกอบการของ 8 ธนาคารสำหรับ 2Q20 โดยรวมออกมาที่ 29.6 พันล้านบาท ลดลง 42% YoY และ 33% QoQ ซึ่งกำไรที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ 7% จากการตั้งสำรองที่มากกว่าคาด อย่างไรก็ตาม BAY-SCB-TMB และ TISCO มีการรายงานกำไรออกมาดีกว่าที่คาด

สำหรับ NPLs ในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% QoQ 13% YTD และ 22% YoY โดยกลุ่มที่มี NPLs/สินเชื่อปรับตัวขึ้น ได้แก่ BBL-TISCO-KTB และ KBANK ในด้านของการตั้งสำรองปรับตัวขึ้น 76% QoQ และ 103% YoY อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการตั้งสำรองน่าจะปรับตัวลดลงใน 3Q20 หลังจากสถานการณ์ไวรัสดีขึ้น ยังคงแนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มปลอดภัยและ Valuation ถูก ซึ่งชอบ BBL และ TISCO ที่สุดในกลุ่ม

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน คงน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์เพียง Neutral โดยให้เหตุผลดังนี้ 1.กลุ่มธนาคารรายงานกำไร 2Q20 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท (-47% y-y และ -38% q-q) ต่ำกว่าที่เราคาดถึง -30% จากค่าใช้จ่ายสำรองที่มากกว่าคาด

2.ใน 2H20F คาดธนาคารส่วนใหญ่เผชิญปัญหา NPLs มากขึ้น หลังหมดมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. โดยธนาคารที่มี downside risk จำกัดคือ BBL, KBANK และ TISCO เพราะจัดชั้น NPLs เข้มงวด และเร่งตั้งสำรองไปล่วงหน้า

และ 3.ยังคงเลือกธนาคารที่ดูปลอดภัยอย่าง BBL (Buy, TP20/21F 130 บาท) และ TISCO (Buy, TP20/21F 80 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่ม!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เงาหุ้น : GULF เพิ่มทุน!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 23 ก.ค.63 ปิดที่ 1,359.65 จุด เพิ่มขึ้น 2.61 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 70,233.10 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,054.17 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 34.25 บาท ลบ 2.75 บาท, STA ปิด 24.50 บาท ลบ 0.50 บาท, CPALL ปิด 67.50 บาท บวก 2 บาท, CPF ปิด 33.50 บาท ลบ 0.75 บาท และ BGRIM ปิด 51.50 บาท ลบ 2.25 บาท

หุ้น GULF และ BGRIM ปรับตัวร่วงแรง หลังมีบิ๊กลอตหุ้น GULF 176 ล้านหุ้น หรือ 1.7% ในราคาเฉลี่ย 35.15 บาท รวมมูลค่า 6,186.40 ล้านบาท และ BGRIM 68 ล้านหุ้น หรือ 2.6% ราคาเฉลี่ย 50.80 บาท รวมมูลค่า 3,454.39 ล้านบาท โดยเป็นการขายปรับพอร์ตจาก Asian Development Bank หรือ ADB ซึ่งเป็นราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าราคาในกระดานวัน ส่งผลให้นักลงทุนเทขายกดราคา

ขณะที่ GULF ยังได้แจ้งตลาดเพิ่มทุน 1.06 พันล้านหุ้น เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาขายหุ้นละ 30 บาท คาดว่าจะได้เงินเพิ่มทุนราว 3.2 หมื่นล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมายผู้ถือหุ้นไม่ได้รับสิทธิเพิ่มทุน (XR) วันที่ 6 ส.ค.63 และจองซื้อ-ชำระเงินค่าหุ้นวันที่ 14-18 ก.ย.63

โดยบริษัทแจ้งว่า มีแผนนำเงินเพิ่มทุนไปลงทุนในโครงการที่อยู่ในแผนงาน และขยายธุรกิจในอนาคต บางส่วนจะนำไปชำระคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเป็นทุนหมุนเวียน รวมทั้งยังทำให้โครงสร้างการเงินแข็งแกร่งขึ้น

บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า การเพิ่มทุนของ GULF ถือว่าสร้าง surprise ให้ตลาด ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้น GULF ในระยะสั้น โดยจากการประเมินทางทฤษฎีคาดว่าจะทำให้เกิด 1. EPS dilution -9.09% จากจำนวนหุ้นที่มากขึ้น 1,066 ล้านหุ้น 2. Price dilution -1.3% และ 3.ROE ลดลง

แต่ระยะยาว มีมุมมองบวกเพราะการสร้างความแข็งแกร่งให้ GULF เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนของ GULF จากนี้ไปจะเป็นเชิงรุก ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลจากฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น 3.2 หมื่นล้าน มาอยู่ที่ 63,552 ล้านบาท และ D/E ลดลงเหลือ 1.74 เท่า จาก ณ สิ้นงวด 1Q63 มี D/E 3.5 เท่า

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและ FV เพื่อสะท้อนการเพิ่มทุนครั้งนี้ แต่คาดว่า FV ใหม่ที่จะเกิดขึ้น ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบัน ดังนั้นระยะสั้นจึงยังคงแนะ “Switch”


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วีจีไอ แจกกล่องปันน้ำใจ 1 หมื่นกล่อง บรรเทาความเดือดร้อนโควิด-19

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้จัดโครงการ “กล่องปันน้ำใจ เพื่อช่วยคนไทยอย่างต่อเนื่อง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดเชื้อ covid-19 โดยทางบริษัทได้เชิญกลุ่มลูกค้าของทางบริษัท ร่วมกันมอบผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เช่น ข้าวสาร ,น้ำดื่ม,และของใช้จำเป็นบรรจุในกล่อง kerry เพื่อส่งต่อให้กับผู้เดือดร้อน จำนวน 10,000 กล่อง

โดยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับบริจาค “กล่องปันน้ำใจ” ได้ในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 18.00 น. บริเวณลานกิจกรรมหน้าวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ภายในกล่องปันน้ำใจ ประกอบไปด้วย เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ อาทิ ข้าวสาร,น้ำดื่ม และของใช้จำเป็น เพื่อส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

สำหรับ ขั้นตอนในการรับ “กล่องปันน้ำใจ”

  • เข้าคิวตามลำดับ
  • สแกน QR Code หากไม่สามารถสแกนได้ ให้กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทร
  • ประทับลายนิ้วมือเพื่อยืนยัน
  • ยืนรับประจำจุดที่ได้จัดเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่จะนำกล่องมามอบให้

โดยจำกัด 1 กล่อง / 1 สิทธิ์ เท่านั้น

บริษัทขอความร่วมมือ ผู้มารับบริจาค สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับกล่องปันน้ำใจ

ราคาที่ดินเปล่าแนวรถไฟฟ้าคูคต-ลำลูกกา ครองแชมป์เพิ่มสูงสุด 5 ไตรมาสรวด

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (คูคต – ลำลูกกา) ที่ยังไม่ก่อสร้าง ครองแชมป์ราคาปรับเพิ่มสูงสุด 5 ไตรมาสติดต่อกัน

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2563 มีค่าดัชนีเท่ากับ 308.6 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 293.3 และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 236.9 จุด

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาสนี้ ทำเลที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าทำเลอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่ปลายสายรถไฟฟ้าที่เป็นส่วนต่อขยายและมีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ได้แก่

  • สายสีเขียวเหนือ (คูคต – ลำลูกกา) เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของสายสีเขียว ในไตรมาส 2 ปี 2563 เปิดให้บริการ 4 สถานี ได้แก่ สถานีกรมป่าไม้ สถานีบางบัว สถานีกรมทหารราบที่ 11 และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ส่งผลให้ราคาที่ดินในบริเวณตามแนวรถไฟฟ้านี้มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4 และเป็นทำเลที่มีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินมากที่สุดต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส
  • สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 57 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6
  • สายสีน้ำเงิน (บางแค – พุทธมณฑลสาย 4) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5
  • สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน – ศาลายา) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.5
  • สายสีเขียวใต้ (สมุทรปราการ – บางปู) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต และสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง – สมุทรปราการ) ซึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากันร้อยละ 23.1

เงาหุ้น : จ้องหุ้นจิ๋วแต่แจ๋วใน MAI

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 ก.ค.63 ปิดที่ 1,357.04 จุด ลดลง 19.96 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 63,863.05 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,108.40 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 25 บาท ลบ 3.25 บาท, BBL ปิด 102.50 บาท ลบ 6 บาท, CPF ปิด 34.25 บาท ลบ 0.25 บาท, PTT ปิด 39.50 บาท ลบ 0.75 บาท และ PTL ปิด 22.40 บาท ลบ 0.60 บาท

หุ้นไทยปรับตัวลงแรง ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะที่มีข่าวคาดการณ์ว่าประเทศไทยอาจถูกขึ้นบัญชี Watchlist จากสหรัฐฯ กรณีแทรกแซงค่าเงินบาท

ท่ามกลางตลาดหุ้นที่ผันผวน บล.หยวนต้าเผย 6 เหตุผลที่จะทำให้หุ้นในตลาด mai จะ Outperform กว่าหุ้นใน SET โดยระบุว่า นับตั้งแต่ มี.ค.63 ที่เป็นจุดต่ำสุดของตลาดในช่วงโควิด-19 ได้เห็นพัฒนาการเชิงบวกในดัชนีตลาด mai 6 ด้าน ทำให้คาดหวังได้ว่า mai มีโอกาสเติบโตสูงกว่าดัชนี SET ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า

จากการพิจารณาปริมาณเงินในระบบ เทียบมาร์เก็ตแคปของ SET และ mai พบว่า สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงปี 55 ที่เป็นจุดเริ่มต้นการปรับขึ้นครั้งใหญ่ของ mai ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กยังมีความน่าสนใจ

และถ้าอิงปริมาณเงินในระบบปัจจุบันที่ 22.5 ล้านล้านบาท และค่าเฉลี่ยของ 10 ปีย้อนหลังของอัตราส่วน ปริมาณเงินในระบบต่อมาร์เก็ตของ mai ที่ 90 เท่า คาดว่ามาร์เก็ตแคปของ mai จะปรับขึ้นได้อีก 15-20% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ทั้งนี้ ได้คัดเลือกหุ้นใน mai จากแนวโน้มผลประกอบการที่โตต่อเนื่องและมูลค่าที่ยังไม่แพง โดยกำไร Q1/63 ต้องมากกว่า 25% ของกำไรทั้งปี 62 และแนวโน้ม Q2/63 ยังมีการเติบโตเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ

โดยแนะ “ซื้อ” หุ้น STI ให้ราคาเหมาะสม 10–11 บาท, TACC ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 7.20 บาท, ARROW ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 10 บาท, JKN ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 6.90 บาท, SELIC ให้ราคาเหมาะสมปี 64 เท่ากับ 3 บาท ขณะที่แนะ “เก็งกำไร” หุ้น AMA และ 2S!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เปิดแล้ว “CP Fresh” ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งใหม่ กลางเมืองปากช่อง

CP Freshmart เปิดตัว “CP Fresh” ซูเปอร์มาร์เก็ต โมเดลใหม่ สาขาปากช่อง แหล่งรวมความสดรูปแบบใหม่ “สดทุกวัน…คุ้มทุกวัน” เอาใจผู้บริโภคยุคนิวนอร์มอล พร้อมหนุนผู้ประกอบการร้านอาหารในท้องถิ่นเติบโตด้วยกัน

โดยมีนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมเป็นประธานเปิดร้าน “CP Fresh”รวมทั้งมี ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานอาวุโส เครือซีพี, นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือซีพี, นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และ นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ซีพีเอฟ มาร่วมเปิดร้านด้วย

นายสุจริต มัยลาภ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร และผู้บริหารธุรกิจ ซีพีเฟรชมาร์ท เปิดเผยว่า “CP Fresh” ซูเปอร์มาร์เก็ต เป็นอีกโมเดลธุรกิจหนึ่งของร้านซีพีเฟรชมาร์ท ใช้พื้นที่ราว 500 ตรม. ซึ่งใหญ่กว่าร้านซีพีเฟรชมาร์ท เดิมถึง 5 เท่า นำเสนอสินค้าอาหารที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภค โดยเน้นการรวบรวมทุกความสดที่ลูกค้าต้องการมาไว้ในที่เดียว ภายใต้สโลแกน “สดทุกวัน…คุ้มทุกวัน” ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อวัวพรีเมี่ยม ไข่ไก่ รวมถึง ผักสด-ผลไม้สดจากฟาร์ม

“ที่พิเศษสุดคือการนำอาหารสด ส่งตรงจากแหล่งผลิต สู่ Live Seafood Tank เป็นแห่งแรกของอำเภอปากช่อง ซึ่งจะมีทั้ง กุ้งสดพรีเมียม ปู และปลา ไว้บริการ รวมทุกความสดที่ลูกค้าต้องการมาไว้ในที่เดียว โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อของสดและนำมาให้เชฟปรุงสุกพร้อมรับประทานได้ทันที ขณะเดียวกันยังมีพื้นที่นั่งทาน เป็นมิติใหม่ของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้อีกด้วย” นายสุจริตกล่าว

CP Fresh รับประกันคุณภาพความสด ปลอดภัย ปลอดสาร ด้วยการบริการที่เป็นเลิศ โดยมีแนวคิดการออกแบบร้านที่เน้นดีไซน์เรียบง่าย ทันสมัย โปร่งโล่ง สบายตา เป็นระเบียบ และหาสินค้าได้ง่าย มีการแบ่งสัดส่วนการวางสินค้าแต่ละโซนไว้ถึง 8 โซนอย่างชัดเจน ได้แก่ 1. โซนผักและผลไม้สด 2.โซนเนื้อสัตว์ 3.โซนซีฟู้ด 4.โซนเครื่องดื่ม 5.โซนมุมปรุงอร่อย Flavor Solution 6.โซน True 7.โซนกาแฟมวลชน และ 8.โซนสินค้าทั่วไป

ทั้งนี้ ร้าน CP Fresh สาขาปากช่อง เป็นอีกหนึ่งโมเดลธุรกิจที่จะช่วยผลักดันการขยายตัวของ CP Freshmart อนาคต ด้วยการจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายตรงสู่ผู้บริโภค ผู้ประกอบการและร้านอาหารต่างๆ ในเขาใหญ่ ตลอดจนในจังหวัดนครราชสีมาและใกล้เคียง เพื่อให้ทุกๆร้านอาหารสามารถปรุงเมนูรสเด็ด จากวัตถุดิบคุณภาพ ที่สด สะอาด ปลอดภัย อันจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เติบโตเคียงข้าง CP Fresh ไปด้วยกัน

เงาหุ้น : หุ้นท่องเที่ยววิ่ง

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 21 ก.ค.63 ปิดที่ 1,377.00 จุด เพิ่มขึ้น 18.71 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 64,234.77 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 688.24 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด MINT ปิด 20.30 บาท บวก 1.60 บาท, BAM ปิด 25.25 บาท บวก 0.55 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1.75 บาท, PTTGC ปิด 50.50 บาท บวก 2.75 บาท และ PTTEP ปิด 96.50 บาท บวก 2.75 บาท

หุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคตอบรับความคืบหน้าผลการทดลองวัคซีนต้านโควิด-19 รวมถึงข่าวที่สหภาพยุโรปบรรลุการเจรจาข้อตกลงจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 7.5 แสนล้านยูโร ดันหุ้นรายตัวบวกแรง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

ขณะที่หุ้น MINT โดดเด่นทั้งราคาที่ปรับขึ้นแรงและมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นคึกคัก จากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ และความคาดหวังวัคซีนที่จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ส่งผลให้ไม่เพียงแค่ MINT แต่รวมถึงหุ้น ERW-CENTEL-AAV และ AOT ที่ราคาเพิ่มขึ้นโดดเด่นด้วย!!

ส่วนหุ้นแบงก์ยังสวนทาง หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเฉพาะ KBANK ที่ผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ถึง 66%

โดย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี ระบุว่า KBANK รายงานกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ 66% โดย Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมาย 109.22 บาท ส่วน TMB กำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ 6% ขณะที่ Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.12 บาท

ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่าประเด็นที่ต้องให้น้ำหนักและติดตาม สำหรับงบการเงินกลุ่มแบงก์งวด Q2/63 ประกอบด้วย ตัวเลข NPL และสินเชื่อที่ถูกจัดชั้นเป็น Stage 2 ของแต่ละธนาคาร, ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ของแต่ละธนาคาร ตามด้วยมูลหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ของแต่ละธนาคาร

หากคิดเป็นสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับพอร์ตสินเชื่อและยังไม่ได้จัดชั้นตาม TFRS 9 อาจทำให้งบการเงินยังไม่สะท้อนความจริง รวมทั้งเป้าหมายทางการเงินปี 63 ของแต่ละธนาคาร รวมถึงผลกระทบต่ออัตราส่วนเงินกองทุน (CAR) และการจ่ายเงินปันผลในปี 63!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เปิดตัว “CP Delight” ไส้กรอกมิติใหม่ ค็อกเทลผัก 3 สี

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ล่าสุด ไส้กรอกไฟเบอร์สูง “CP Delight” ค็อกเทลผัก 3 สี

เป็นครั้งแรกของไส้กรอก มีส่วนผสมของผัก 3 ชนิด ผักโขม แครอท และเห็ดหูหนู รสชาติอร่อย ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพและระบบขับถ่าย

โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้ ซีอีโอของซีพีเอฟ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ลงทุนออกไอเดีย ครีเอทภาพถ่ายคู่กับ CP Delight ตามแนวคิด “อร่อยตัวเบา” วางจำหน่ายแล้วที่ 7-eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ

บีทีเอส ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 63

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และคณะกรรมกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ (BTS) จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563

โดยมีวาระสำคัญ เป็นการรับทราบผลดำเนินงานและอนุมัติงบการเงินสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 รวมทั้งมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวัน ที่ 31 มีนาคม 2563 จากกำไรสุทธิและกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ในอัตรา 0.48 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้นประมาณ 6,315.0 ล้านบาท โดยให้จ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นจำนวนเงินปันผลที่จะจ่ายอีกประมาณ 1,974.1 ล้านบาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 สิงหาคม 2563

เงาหุ้น : ผันผวน!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 17 ก.ค.63 ปิดที่ 1,359.58 จุด เพิ่มขึ้น11.72 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 41,354.56 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,457.37 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 85.50 บาท บวก 4.50 บาท, EA ปิด 49.25 บาท บวก 2 บาท, STA ปิด 29 บาท บวก 0.50 บาท, CPALL ปิด 66.75 บาท บวก 0.50 บาท และ PTT ปิด 38.75 บาท บวก 0.50 บาท

ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ หุ้นไทย เพิ่มขึ้น 9 จุด นักลงทุนต่างชาติจับมือกับสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,180 ล้านบาท และ 1,826 ล้านบาทตามลำดับ ขณะที่รายย่อยซื้อสุทธิ 1,725 ล้านบาทและพอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิ 1,282 ล้านบาท

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) มองตลาดสัปดาห์หน้า คาดว่าดัชนีจะยังแกว่งตัวผันผวนตามข่าว และวิกฤติโควิด-19 ในต่างประเทศยังเป็นปัจจัยกดดัน เพราะมีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลก และการท่องเที่ยวไทย ขณะที่ผลประกอบการงบ Q2 หุ้นกลุ่มแบงก์ ที่จะทยอยประกาศจนครบสัปดาห์หน้า ซึ่งงบกลุ่มแบงก์เป็นหนึ่งในตัวบ่งชี้ถึงทิศทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามการปรับ ครม.แทนทีมเศรษฐกิจ ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมทั้งกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน หลัง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ออกมาส่งสัญญาณแทรกแซงฮ่องกง ที่จะนำไปสู่สงครามการค้ารอบใหม่

แนะกลยุทธ์การลงทุน เน้นเก็งกำไรระยะสั้นในธีม Domestic play และหุ้นที่มี Earning ดี ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 1,320 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,370 จุด

บลจ.กสิกรไทย ประเมินตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลัง ให้เป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,400 จุด แต่ขึ้นกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง

ส่วนผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 คาดว่าส่วนใหญ่จะออกมาไม่ดีแต่เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว ขณะที่ต้องติดตามมุมมองผลประกอบการในครึ่งปีหลัง ซึ่งยังคาดการณ์ได้ลำบาก

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางทั่วโลกที่ทำให้สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ