Home Blog Page 3

“MC” พบนักลงทุน เผยไตรมาส 3 ปีบัญชี 67 มั่นใจโตต่อเนื่อง เปิดแผนครึ่งปีหลัง ผนึกพันธมิตรลุยขยายฐานลูกค้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC โดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์

MC แจ้งต่อนักลงทุนว่า ผลงานครึ่งปีหลังปีบัญชี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการเดินหน้าในการขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสาขา Mc Outlet และการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ Mc Resort 2024 รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำ “แม็คยีนส์ แบรนด์ยีนส์อันดับ 1 ของไทย” เพื่อสนับสนุนให้ผลดำเนินงานของบริษัท เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

รวมทั้งเชื่อมั่นผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 จะนิวไฮต่อจากไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2566) กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 129.08 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น14.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท หนุนงวดครึ่งปี ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. – 31 ธ.ค. 2566) มีกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท  และคณะกรรมการมีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.50 บาท จะจ่ายเป็นเงินสดในวันที่ 12 มี.ค.นี้

เมืองไทยประกันชีวิต สร้างผลงานโดดเด่นบนโซเชียล คว้า 2 รางวัลใหญ่เวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 2 รางวัลใหญ่ จากเวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12
Best Brand Performance on Social Media สาขา Insurance & Assurance
และ Best Brand Performance Campaign on TikTok

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับ 2 รางวัลใหญ่ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance (แบรนด์ที่ทำผลงาน ยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจประกันภัย (ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต) เป็นครั้งที่ 4 และรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ในงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย Thailand Social Awards ครั้งที่ 12 จัดขึ้นโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด งานนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลที่เป็น ส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ อีกทั้งยังร่วมส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ด้วยการมอบรางวัลเชิดชูผู้ใช้โซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในสาขาต่าง ๆ โดยงานดังกล่าว จัดขึ้น ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม

ทั้งนี้ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance ตัดสินจากค่าชี้วัด แบรนด์ (BRAND SCORE) ค่าชี้วัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยวัดประสิทธิภาพการสื่อสารจากช่องทางหลักของแบรนด์ (Own Chanel) และจากช่องทางที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ (Earn Channel) ผ่าน 5 ช่องทาง คือ Facebook, Instagram, TikTok, Twitter และ YouTube ทั้งประสิทธิภาพเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ (Sentiment Score) อีกด้วย

สำหรับรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกของการมอบรางวัลจากทาง TikTok Thailand โดยเป็นรางวัลให้กับแบรนด์ที่มีแคมเปญการโฆษณาและการตลาดผ่าน TikTok for Business อย่างสร้างสรรค์ และทำให้เกิดการรับรู้แบรนด์ การมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างสูงที่สุดในประเทศไทย

แมกซ์ โซลูชัน จับมือ gettgo เพิ่มทางเลือกให้กับสมาชิก Max Card เข้าถึงแผนประกันออนไลน์

บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี ตอกย้ำความเป็นผู้นำในเรื่องการสร้างประสบการณ์ใหม่ ทั้งเรื่องบันเทิง กิน เที่ยว ช้อป และเพื่อให้ครบเครื่องในเรื่องความเป็นแอปพลิเคชันที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิก Max Card ล่าสุดทางบริษัทฯ ได้จับมือกับ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo แพลตฟอร์มเปรียบเทียบและซื้อประกันออนไลน์ เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้การซื้อประกันออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Max Me ที่สามารถเลือกความคุ้มครองได้หลากหลาย จากบริษัทประกันภัยชั้นนำมากมาย และชำระค่าเบี้ยประกันง่าย ๆ ได้ด้วยแต้ม Max Point

นายพร้อมศักดิ์ จรัญญากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกซ์ โซลูชัน เซอร์วิส จำกัด บริษัทในเครือพีทีจี เปิดเผยว่า “ในปี 2024 นี้ เป็นอีกปีที่น่าติดตามของแอปพลิเคชัน Max Me ซึ่งเรายังคงมุ่งเดินหน้าสร้างสรรค์กิจกรรมและสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ ที่ตรงใจและครบครันทุกความต้องการแก่สมาชิก Max Card อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในครั้งนี้ เราร่วมกับบริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ในการซื้อประกันออนไลน์ผ่าน Max Me ด้วยแต้ม Max Point และในทางกลับกันก็เป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ของแต้ม Max Point ในการชำระค่าเบี้ยประกันภัยอีกด้วย

โดยสมาชิก Max Card สามารถซื้อประกันภัย อาทิ ประกันรถยนต์ ประกันเดินทางต่างประเทศ ประกันอุบัติเหตุ และประกันภัยประเภทอื่น ๆ ผ่านบริการ “ประกันออนไลน์” บน Max Me และเลือกชำระค่าเบี้ยประกันด้วยเงินใน Max Me Wallet ทั้งหมด หรือ แต้ม Max Point ทั้งหมด หรือ ชำระด้วย เงิน ใน Max Me Wallet + แต้ม Max Point ได้

นายวรวัฒน์ โรจน์รังษี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม gettgo กล่าวว่า “นับเป็นโอกาสดีรับปี 2024 ที่ได้ทำงานร่วมกับ Max Me และเป็นอีกก้าวที่สำคัญของ gettgo ในปีนี้ ที่จะช่วยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าเข้าถึงการซื้อประกันออนไลน์ได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว และมีโปรโมชันพิเศษที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้า Max Me อีกด้วย”

โดยสมาชิก Max Card ทุกท่านจะได้รับสิทธิพิเศษ ท่านที่ชำระเบี้ยประกันภัยทุก ๆ 50 บาท จะได้รับ Max Point 2 แต้ม ส่วนสมาชิก Max Card Plus ที่ชำระเบี้ยประกันภัยทุก ๆ 50 บาท จะได้รับ Max Point 4 แต้ม อีกทั้งเรายังมีสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกที่ซื้อประกันเดินทางต่างประเทศ, ประกันรถยนต์, พ.ร.บ. รถยนต์, ประกันรถยนต์ 2+ รายเดือน รับสูงสุดถึง 4 ต่อ

สมาชิก Max Card ทุกท่านสามารถซื้อประกันผ่าน Max Me ได้ง่าย ๆ โดยดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน Max Me และลงทะเบียน จากนั้นไปที่หน้าแรกของ Max Me และเลือก “ประกันออนไลน์” เลือกรายการส่งเสริมการขายที่ต้องการ อ่านข้อกำหนดและเงื่อนไข และกด “ซื้อประกัน” หลังจากนั้นระบบจะพาไปหน้าเลือกซื้อประกันของ บริษัท เมืองไทย โบรกเกอร์ จำกัด ท่านสามารถทำการเลือกซื้อประกันได้จนจบขั้นตอน

ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขโปรโมชันเพิ่มเติมได้ที่ https://s.gettgo.com/ggmaxme  สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก Max Card นี้เริ่มตั้งแต่ 1 มี.ค. – 30 มิ.ย. 67 นี้เท่านั้น และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Max Me ได้ทั้งจาก Play Store และ App Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1614 ทุกวัน เวลา 08.00-20.00 น.

ซีพีเอฟ – อบก. ร่วมเป็นองค์กรต้นแบบพัฒนาอุตฯ คาร์บอนต่ำ เพิ่มอาหารสีเขียวตามแนวทาง BCG ช่วยลดโลกร้อน

บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพี ได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจอาหาร ร่วม “โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ตามแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ BCG Model” ประจำปี 2567 เพื่อพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารธุรกิจตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ชูคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช จ.นครราชสีมา เป็นต้นแบบฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารสีเขียวสู่ผู้บริโภค หนุนซีพีเอฟก้าวสู่การเป็นองค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net-Zero ในปี 2050

นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการ อบก. กล่าวว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการต้นแบบของการพัฒนาการผลิตแบบคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยด้วยเศรษฐกิจ BCG และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (Thailand’s Long-Term Greenhouse Gas Emission Development Strategy: LT-LEDS) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ของไทย ในปี 2050 และเป้าหมาย Net-Zero GHG Emission ในปี 2065 ทั้งนี้ องค์กรภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 6 องค์กรจะได้รับการสนับสนุนการพัฒนาแผนการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ โดยนำแนวคิดของโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต และการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ ทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์แบบเดิม และผลิตภัณฑ์แบบใหม่ เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันทางการค้าขององค์กรภาคธุรกิจไทย และการเพิ่มมูลค่าในโครงสร้างทางเศรษฐกิจระดับมหภาค รวมถึง การพัฒนาคุณภาพชีวิตของภาคประชาสังคม

รศ. ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง ผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า โครงการฯ นี้ มีเป้าหมายส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยตระหนักและช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจากธุรกิจที่ประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น และการสร้างงานสีเขียว สำหรับโครงการนี้ ได้คัดเลือก 6 จาก 30 บริษัทเข้าร่วมโครงการ โดยพิจารณาจากความมุ่งมั่นและการมีเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างชัดเจน ในส่วนของซีพีเอฟ โดยคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช มีการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารที่โดดเด่น โดยเฉพาะการนำของเสียไปใช้ประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งสามารถนำมาเป็นตัวอย่างของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร

นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ซีพีเอฟ เป็นองค์กรเดียวในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่ได้รับคัดเลือกจาก อบก. และ VGREEN มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำฯ ซึ่งแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารธุรกิจโดยประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG สอดคล้องกับแนวทางของซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ และการแปรรูปอาหาร เพื่อปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโดยมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรและพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ตลอดจนลดของเสียจากการดำเนินธุรกิจ และการเปลี่ยนของเสียให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

“ซีพีเอฟได้นำแนวทางเศรษฐกิจ BCG เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตอย่างจริงจัง ปัจจุบันคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของ ซีพีเอฟ มีการใช้พลังงานหมุนเวียนในการดำเนินงานของฟาร์มร้อยละ 80-90 ของการใช้พลังงานทั้งหมด การเข้าร่วมโครงการฯ จะนำความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมาพัฒนาต่อยอดในการดำเนินธุรกิจในรูปแบบ BCG เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรและลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิต รวมถึงการนำของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบมาใช้ประโยชน์ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาหาร และเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมอาหารที่มีการดำเนินงานที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าไทยบนเวทีโลก” นายสมคิดกล่าว

ฟาร์มและโรงคัดไข่ไก่ทุกแห่งของซีพีเอฟนำระบบควบคุมคุณภาพไข่ไก่ให้มีความสด สะอาด ปลอดจากยาปฏิชีวนะ นำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาช่วยประหยัดพลังงาน เปลี่ยนของเสียเป็นพลังงานใช้ในฟาร์ม กากของเหลือจากระบบไบโอแก๊สใช้เป็นปุ๋ยบำรุงดิน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดของซีพีเอฟ เป็นผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มขึ้นกว่า 532,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ Cage Free แบรนด์ยูฟาร์ม อีก 2 รายการได้ขึ้นทะเบียน “ฉลากคาร์บอนนิวทรัล” กับ อบก. ถือเป็นผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ปลอดคาร์บอนของไทย และภูมิภาคเอเชีย

สำหรับคอมเพล็กซ์ไก่ไข่จักราช ซีพีเอฟได้ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในฟาร์ม จากการเปลี่ยนของเสียเป็นพลังงาน ได้รับรางวัลดีเด่น ด้านพลังงานทดแทน และยังเป็นตัวแทนระดับภูมิภาครับรางวัล ASEAN Energy Awards 2022 จากศูนย์พลังงานอาเซียน และอยู่ระหว่างการศึกษาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากแสงอาทิตย์เพิ่มเติม สู่การเป็นฟาร์ม RE100 ภายในปี 2567

AIS คว้าสุดยอดแบรนด์ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย THAILAND SOCIAL AWARDS 7 ปีซ้อน

AIS คว้ารางวัลสุดยอดแบรนด์ทำผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย หรือ Best Brand Performance on Social Media จากเวที THAILAND SOCIAL AWARDS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่มุ่งตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกแพลตฟอร์มบนโลกโซเชียลมีเดีย ด้วยการใช้ Data Analytic มาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ทำให้ AIS สามารถสร้าง Brand Love ด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่สามารถสื่อสารได้อย่างเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ

นางสาวพิมพ์นรี-น้อยธรรมราช หัวหน้าแผนกบริหารแบรนด์ AIS

นางสาวพิมพ์นรี น้อยธรรมราช หัวหน้าแผนกบริหารแบรนด์ AIS กล่าวว่า “ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลเราให้ความสำคัญในการเชื่อมต่อกับลูกค้าในทุกช่องทาง โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่วันนี้มีความหลากหลายของแพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้รูปแบบการนำเสนอของคอนเทนต์ต้องปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา เราจึงต้องทำความเข้าใจไลฟ์สไตล์ลูกค้าโดยใช้ Data Analytic เพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และแตกต่าง”

“ขอขอบคุณ ไวซ์ไซท์ ที่มอบรางวัล Best Brand Performance On Social Media ให้กับ AIS ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 นับเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นตัวจริงบนโลกโซเชียลในทุกมิติ สะท้อนถึงความสำเร็จในการทำงานบนโซเชียลมีเดียที่เราไม่มองเป็นเพียงช่องทางการสื่อสาร แต่ต้องเป็นช่องทางที่ทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้า สร้างความใกล้ชิด การดูแลรับฟัง และสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาสินค้าบริการได้อย่างตรงใจ เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายหลักด้านการสื่อสารและการสร้างแบรนด์ของ AIS ที่ต้องเข้าไปนั่งในใจของลูกค้าและนำไปสู่การเป็น Brand Love ในที่สุด” พิมพ์นรี กล่าวทิ้งท้าย

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ และส.ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver รุ่นที่ 3

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม จับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดอบรม “โครงการการอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver” รุ่นที่ 3   ซึ่งเป็นหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  ให้แก่สมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ให้มีความรู้และทักษะ ที่จำเป็น ในการดูแลผู้สูงอายุ ตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย  โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม พร้อมด้วยนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  นางพิตราภรณ์  บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม นายกฤษณะพงศ์ แสนยากร นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ     ร่วมในงาน โดยกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้การอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว จะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่รับการอบรมและสำหรับชุมชนและสังคมในระยะยาว ในด้านการเพิ่มความรู้และทักษะ โดยหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุจะช่วยเพิ่มความรู้และทักษะในการดูแลผู้สูงอายุที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติดูแลอย่างถูกต้องและสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของสุขและเพิ่มความปลอดภัย ตลอดจนยังเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ช่วยส่งเสริมให้ชุมชน สามารถดูแลผู้สูงอายุที่ดีขึ้น และมีการสนับสนุนต่อกันในการดูแล

“ทรีนีตี้” เพิ่มน้ำหนักลงทุนเหตุหุ้นไทยถูก เชียร์ซื้อ 4 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน

”ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือนมี.ค. สดใสขึ้น ให้กรอบแนวรับแรกอยู่ที่ 1370 จุด  ส่วนแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1340 จุด ในทางกลับกันประเมินแนวต้านแรกที่ 1410 จุด และแนวต้านสำคัญ 1440 จุด พร้อมเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นไทย หลัง Valuation  ลงมาอยู่ในโซนที่น่าสนใจ ประเมินการปรับลดประมาณการกำไรบจ.สิ้นสุดชั่วคราว คัด 4 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน กลุ่มโรงแรม เลือก MINT, CENTEL, ERW กลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC กลุ่มโรงพยาบาล  BDMS, BH, BCH, PR9 และกลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE

               นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด  เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคม 2567 ว่า  สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ได้ โดยมีปัจจัยหนุนอยู่หลายปัจจัยดังนี้ 1.การเริ่มต้นบังคับใช้มาตรการฟรีวีซ่าระหว่างไทย-จีน ซึ่งน่าจะทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย 2.ความคาดหวังต่อการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการลงทุน หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่มีโอกาสถูกประกาศใช้เร็วขึ้น โดยทั้งเดือนมีนาคมนี้ คาดว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกจากสภาล่างและสภาสูงอย่างต่อเนื่อง 3.ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนทั่วไปในประเทศ หลังตลท.เริ่มมีการปรับตัวที่ Active มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมาตรการจำกัดธุรกรรม Short selling หรือ Program trading รวมไปถึงการเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญต่างๆ 4.Fund flow ที่น่าจะเริ่มกลับเข้ามาเป็นบวกมากขึ้น หลังผ่านพ้นการปรับตะกร้าของดัชนี MSCI ในช่วงสิ้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งในรอบนี้ตลาดหุ้นไทยถูกลดน้ำหนักลงเล็กน้อยในตะกร้า MSCI EM 5.Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่ลงมาอยู่ในโซนที่น่าสนใจแล้ว สะท้อนผ่าน Earning yield gap ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง  และ Relative PE ระหว่างหุ้นไทยกับหุ้น ASEAN ที่ลงมาอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ 6.การปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยที่น่าจะสิ้นสุดลงชั่วคราว หลังผ่านพ้นเทศกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/66 ไปเป็นที่เรียบร้อย    

               ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในเดือนนี้จะมีแนวรับแรกอยู่ที่ 1370 จุด และแนวรับสำคัญอยู่ที่ 1340 จุด ในทางกลับกัน ประเมินแนวต้านแรกที่ 1410 จุด และแนวต้านสำคัญ 1440 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำนักลงทุนหาจังหวะเข้าสะสมหุ้นไทยที่บริเวณดัชนี 1370 จุดหรือต่ำกว่า

               สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจประจำเดือนนี้ ได้แก่ กลุ่มที่เห็นโมเมนตัมของการปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้อย่างแข็งแกร่งในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้ามาของชาวต่างชาติ และ Mobility ของผู้คนที่สูงขึ้น ได้แก่ 1.กลุ่มโรงแรม ได้แก่ MINT, CENTEL, ERW 2.กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH, BCH, PR9 และ 4.กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE ส่วนกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรไปตามปัจจัยแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ) และ กลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ (ตามวอลุ่มการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยที่สูงขึ้น)

KCC โชว์แกร่ง ผลประกอบการปี 66 รายได้โตทุกด้าน

“KCC” โชว์กำไรสุทธิปี 66 กว่า 88.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77% หลังลุยลงทุนซื้อหนี้ NPL เข้าพอร์ตกว่า 600 ล้าน ดันรายได้โตทุกด้าน

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทปี 2566 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 88.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.77% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากดอกเบี้ยสูงขึ้นจากการขยายพอร์ตลูกหนี้ NPL ของบริษัท รวมถึงรายได้จากการรับชำระหนี้ และรายได้จากการขาย NPA ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมทั้งบริษัทยังมีรายได้จากการให้บริการบริหารสินทรัพย์เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายจากการปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้ง จำนวน 6.7 ล้านบาท แต่จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นขณะที่งวดไตรมาส 4 ปี 2566 มีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิรวม 57.22 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ ปี 2566 บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ 191.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.15 % เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีรายได้จากทั้งดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้ กำไรจากการรับชำระหนี้ กำไรจากการขาย NPA และรายได้จากจากการให้บริการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น แม้ว่าในปี 2566 บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้นเพื่อนำเงินไปจัดหาและ ลงทุนในหนี้ NPL

“ในรอบปี 2566 มีประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้น คือ บริษัทได้รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพใหม่ จำนวน 606.82 ล้านบาท ซึ่งเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ โดยลูกหนี้ทั้งหมดเป็นลูกหนี้ที่มีหลักประกัน
และบริษัทได้ออกหุ้นกู้จำนวน 900 ล้านบาท เพื่อซื้อลูกหนี้พอร์ตใหม่, จ่ายคืนหุ้นกู้ และเพื่อเป็นเงินหมุนเวียนบางส่วน ขณะที่มีเงินรับจำนวน 305.91 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 8.53 %จากปีก่อน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าว

ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 2,305.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 579.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 33.56 % โดยมีสาเหตุหลักมาจาก เงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 บริษัทฯ มีส่วนของเจ้าของเท่ากับ 1,170.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 75.45 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงวดจำนวน 88.65 ล้านบาท

นายทวี กล่าวถึงความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างเป็นบริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง ว่าเมื่อเดือน ธ.ค. 2566 บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นคำขอให้แก่ ก.ล.ต. เรื่องการปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อขยายขอบเขตและเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจของบริษัทแล้วซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอน

เมืองไทยประกันชีวิต ยกทัพบริการใหม่ รุกประกันยูนิเวอร์แซลไลฟ์-ยูนิตลิงค์

เมืองไทยประกันชีวิต มอบทางเลือกในการวางแผนความมั่นคงในชีวิต ด้วย “เมืองไทยยูแอล พลัส” และ “เมืองไทยยูนิตลิงค์” มอบความคุ้มครองชีวิต เพื่อส่งต่อความมั่นคงให้คนข้างหลัง พร้อมเสริมความมั่นใจด้วยบริการระดับมืออาชีพ MTL Portfolio Management และ MTL Portfolio Consultants เพื่อสร้างแผนการเงินระยะยาว

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า   จากความท้าทายที่คนไทยต้องเผชิญ ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อัตราเงินเฟ้อคงตัวในระดับสูง ตลอดจนการอุบัติของโรคภัยใหม่ ๆ และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป (Global heating) ทำให้ลูกค้าเริ่มมองหาเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการให้ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ พร้อมสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม และมีความยืดหยุ่นมากพอในการปรับเปลี่ยนตามความต้องการในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต บริษัทฯ ได้ทุ่มเทพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์และยูนิตลิงค์ ตลอดจนบริการหลังการขายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตามแนวคิดในการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning) ที่เน้นตอบโจทย์ทุกความเป็นคุณ ในทุกช่วงของชีวิต

“แบบประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์และยูนิตลิงค์ สามารถนำมาใช้วางแผนการเงินให้เหมาะในทุกช่วงอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเกษียณ ด้วยลักษณะเด่นที่มีความยืดหยุ่น สามารถเลือกความคุ้มครองชีวิตได้สูง ออกแบบได้ทั้งเบี้ยประกันภัย วงเงินความคุ้มครองชีวิต และระยะเวลาในการชำระเบี้ยประกันภัย เหมาะกับการวางแผนการเงินระยะยาว เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งอย่างมั่นคง โดยบริษัทฯ ได้นำนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการโดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้คนไทยมีแผนการเงินที่เข้มแข็งพร้อมแผนสำรองที่ยืดหยุ่น ครอบคลุมความคุ้มครองพร้อมการลงทุนสำหรับการดำเนินชีวิตทั้งปัจจุบันและอนาคต”  นายสาระ กล่าว

ทั้งนี้ ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ในโครงการ “เมืองไทยยูแอล พลัส” เป็นประกันชีวิตที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกจังหวะชีวิต สามารถเลือกรับความคุ้มครองชีวิต มีการการันตีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำสำหรับมูลค่าการลงทุนพร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินเพื่อเก็บออมระยะยาว พร้อมกับเปิดโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อย รวมถึงได้รับความคุ้มครองชีวิตตลอดระยะเวลาที่ลงทุน ขณะเดียวกันก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีควบคู่กันไปด้วย จึงนับเป็นทางเลือกการบริหารเงินที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้หลากหลาย

สำหรับลูกค้าที่สามารถรับความเสี่ยงได้ และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากขึ้น สามารถเลือกประกันชีวิตควบการลงทุนในกลุ่ม “เมืองไทยยูนิตลิงค์” ได้แก่ mDesign mOne mOnePlus และ mGrow 615 ที่รวมประกันชีวิตและการลงทุนในกองทุนรวมเข้าไว้ด้วยกัน โดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นที่ให้ลูกค้าออกแบบชีวิตได้เอง เลือกแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพได้ เลือกความยืดหยุ่นได้มากกว่า เมื่อมีเหตุฉุกเฉินก็ปรับเปลี่ยนสัดส่วนความคุ้มครองชีวิตและส่วนการลงทุนได้ เลือกความคล่องตัวได้มากกว่า สามารถหยุดพักชำระเบี้ย รวมทั้งเพิ่มหรือถอนมูลค่าการลงทุนในกองทุนรวม เลือกความสะดวกสบายได้มากกว่า ด้วยบริการพิเศษจาก  MTL Click Application เพื่อช่วยให้การวางแผนการเงินในระยะยาวเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้า

“ด้วยประสบการณ์ในการดูแลลูกค้ากว่า 76 ปี และความพร้อมด้านระบบงาน บุคลากร ตลอดจนเครื่องมือบริหารการลงทุน บริษัทฯ ได้พัฒนา “MTL Portfolio Management” บริการบริหารพอร์ตการลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ด้วยการออกแบบพอร์ตการลงทุนแนะนำตามระดับความเสี่ยงสำหรับลูกค้าเมืองไทยยูนิตลิงค์ เป็นระยะเวลากว่า 7  ปี แม้จะผ่านช่วงผันผวน เช่น สงครามการค้า และการระบาดของไวรัส ผลตอบแทนระยะยาวของพอร์ตโฟลิโอแนะนำตามระดับความเสี่ยงทั้ง 5 พอร์ต ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.50%-3.40% ต่อปี (ข้อมูล ณ ธ.ค. 66) ภายใต้การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป้าหมายการวางแผนการเงินในระยะยาว” นายสาระกล่าว

สำหรับปี 2567 บริษัทฯ ได้ปรับพอร์ตแนะนำการลงทุนใหม่ จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้โลก โดยคาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวของตราสารหนี้โลกจะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าตราสารหนี้ไทย นอกจากนี้ ยังให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นโลกมากกว่าหุ้นไทย จากการคาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวปรับด้วยความเสี่ยงของหุ้นโลกดีกว่าหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม พอร์ตยังคงเน้นกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อลดความผันผวนของผลตอบแทนในระยะยาว

ลูกค้าเมืองไทยยูนิตลิงค์สามารถสมัครพร้อมใช้บริการ MTL Portfolio Management ผ่าน MTL Click Application เพื่อเข้าถึงบริการบริหารพอร์ตการลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ลูกค้าสามารถส่งคำสั่งจัดสรรเงินลงทุน และ/หรือชำระเบี้ย Top Up สับเปลี่ยนนโยบายพอร์ตการลงทุน รวมถึงยกเลิกการรับบริการได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิตยังตอกย้ำความเป็นผู้นำด้วยบริการสุดพิเศษ MTL Portfolio Consultant  บริการเข้าพบหลังการขายเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับพอร์ตการลงทุนโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.  ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  Call  Center  1766  กด  6  ในวันและเวลาทำการ หรือ ติดต่อตัวแทนประกันชีวิต หรือ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์

ซีพี ออลล์ – วิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก สปป.ลาว เซ็น MOU ความร่วมมือยกระดับการศึกษาด้านอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในอาเซียน 

วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ประเทศไทย ร่วมกับ วิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สุลิอุดง สุนดาลา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป.ลาว พร้อมด้วยท่านหนูพัน อุดสา อธิบดีกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและกีฬา สปป.ลาว และ นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน   

นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล ผู้รับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ ดร.สายสะหมอน งามสี ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก พร้อมด้วยนายวิเชียร เนียมน้อม ผู้แทนผู้รับใบอนุญาตและผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ ท่านดวงดี สิลิบาง รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปากป่าสัก ร่วมลงนามพยาน และคณะผู้บริหารทุกฝ่ายร่วมในพิธี ณ ห้องประชุมปัญญางาม ชั้น 5 วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์

ความร่วมมือดังกล่าวของทั้งสองฝ่าย เพื่อการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการจัดการศึกษาอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ให้แก่ผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจค้าปลีก สาขางานธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ และสาขาอื่น ๆ ที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ ตลอดจนการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ทักษะและประสบการณ์จริงจากการฝึกปฏิบัติ การฝึกอาชีพในสถานประกอบการ โดยวิทยาลัยฯ จะร่วมมือกันพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การฝึกอบรม ตามหลักสูตรอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี พร้อมทั้งประสานความร่วมมือในการฝึกอบรมและพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ทั้งด้านวิชาการ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการวิจัยและนวัตกรรม เพื่อมุ่งผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องยั่งยืนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและสถานประกอบการ ทั้งในและต่างประเทศ ตามเจตนารมณ์ของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้

เพราะการศึกษาคือโอกาสทั้งในปัจจุบันและอนาคตของเยาวชนและประเทศชาติ ซีพี ออลล์ มีนโยบายส่งเสริมการศึกษา พัฒนาเยาวชน โดยสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนค่าครองชีพ รูปแบบการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรที่ทันสมัยเรียนรู้ภาคทฤษฎีควบคู่การปฏิบัติจริง Work-based Education (WBE) เพื่อส่งเสริมความสามารถ พัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชนให้เป็น “คนเก่ง คนดี”