Home Blog Page 47

ธปท. เปิดช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” สะพานเชื่อมปรับโครงสร้างหนี้

รายงานข่าวจากศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน หรือ ศคง. ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 19 (COVID-19) ส่งผลให้รายได้ของประชาชนและภาคธุรกิจปรับลดลงอย่างมาก ในภาวะเช่นนี้การที่ผู้ให้บริการทางการเงิน (ผู้ให้บริการ) และลูกค้าสามารถตกลงร่วมกันปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงเปิดช่องทาง “ทางด่วนแก้หนี้” ขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ประชาชนหรือธุรกิจที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สามารถแจ้งความต้องการไปที่ผู้ให้บริการฯ โดยเป็นช่องทางเสริมในช่วงที่มาตรการเว้นระยะเพื่อลดการแพร่เชื้อ (Social distancing) อาจทำให้ติดต่อหรือเดินทางไม่สะดวก ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้รับผ่านช่องทางนี้ ธปท. จะส่งต่อไปยังผู้ให้บริการฯ ที่ระบุไว้ พิจารณาให้ความช่วยเหลือตามมาตรการที่ได้ประกาศแล้วทั่วไป หรือตามดุลพินิจของผู้ให้บริการ

กสิกรออกสินเชื่อ 0% ช่วยคนงานเอสเอ็มอี วงเงิน 1,000 ล. กับเบี้ยเลี้ยงพิเศษให้บุคคลากรทางแพทย์อีก 300 ล.

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกิตติคุณ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดตั้งโครงการ สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี เป็นเงินกู้สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กเพื่อให้สามารถจ้างพนักงานต่อไปได้ อัตราดอกเบี้ย 0%

สิ่งสำคัญของโครงการนี้ คือ การเข้าไปช่วยเหลือพนักงานให้ยังมีงานทำและมีเงินเดือนเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว โดยพนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ธนาคารได้เตรียมวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการนี้ไว้ 1,000ล้านบาท และทำให้เกิดการจ้างงานพนักงานกว่า 41,000 คน

“ธนาคารยอมสูญเสียรายได้เพื่อให้คนในสังคมส่วนหนึ่งอยู่รอด เพราะการที่ทุกคนจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ จะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คนที่มีต้องช่วยคนที่ไม่มี ถ้าทุกคนช่วยกันประเทศไทยก็จะสามารถฝ่าฟันและผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน”

โครงการ “สินเชื่อ 0% เพื่อรักษาคนงานเอสเอ็มอี” เป็นการเชิญลูกค้าเอสเอ็มอีรายเล็กที่มีพนักงานไม่เกิน 200 คน และมีการใช้บริการกับธนาคารมานานหลายปีเข้าร่วมโครงการเท่านั้น ซึ่งเจ้าของธุรกิจต้องเป็นคนดี เป็นนักสู้ที่พยายามต่อสู้เพื่อนำพาธุรกิจและพนักงานรอดไปด้วยกัน การช่วยเหลือภายใต้โครงการนี้ ธนาคารจะช่วยจ่ายค่าจ้างพนักงานทุกคนให้บางส่วน ธุรกิจต้องดำเนินต่อไปได้ และสามารถดูแลค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนอื่น ๆ ได้เอง โดยไม่หยุดหรือปิดกิจการ ธนาคารสนับสนุนเงินกู้เพื่อจ้างพนักงาน อัตราดอกเบี้ย 0% ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท ไม่ต้องมีหลักประกัน ระยะเวลากู้ 10 ปี และไม่ต้องผ่อนชำระคืนเงินกู้ 1 ปี เพื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็กมีเงินทุนในการจ้างพนักงานให้พวกเขามีรายได้และอยู่รอด โดยวงเงินกู้ของแต่ละบริษัทนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนพนักงาน พนักงานแต่ละคนจะได้เงินคนละ 8,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ธนาคารจะมีกระบวนการตรวจสอบได้ว่าเงินได้เข้าบัญชีพนักงานทุกคนจริง

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโครงการ “เบี้ยรบพิเศษสำหรับนักรบเสื้อกาวน์” ที่มูลนิธิกสิกรไทยร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สตูล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวบรวมรายชื่อโรงพยาบาลที่เข้าข่ายตามเกณฑ์จำนวน 45 แห่ง ใน 5จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงแล้วยังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้แก่ จังหวัด สงขลา ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และสตูล มีบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 5,083 คน ทั้งหมดเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานตั้งแต่มีการแพร่ระบาด และมีหน้าที่ในงานที่ได้สัมผัสเชื้อและดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุขจนถึงวันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยมูลนิธิกสิกรไทย ได้มอบเงินสนับสนุนเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับนักรบเสื้อกาวน์รวม 20,000 คน คนละ 4,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.-ก.ค. 63 รวมงบประมาณทั้งสิ้น 300 ล้านบาท 

เงินเฟ้อเม.ย. ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เหตุราคาน้ำมันดิ่งเหว

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนเม.ย.63 อยู่ที่ 99.75 ลดลง 2.03% จากเดือนมี.ค. และหากเทียบกับเดือนเม.ย. ปี 62 ปรับลดลง 2.99% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี 9 เดือน เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ดัชนีราคาลดลงสูงถึง 30.85% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี 2 เดือน รวมทั้ง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ที่ลดลงจากมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ของรัฐบาล

พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

อีกทั้ง การปรับลดราคาสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพบางรายการ จากมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ที่ร่วมมือกับผู้ผลิต ห้างสรรพสินค้า และห้างค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้ภาพรวม เงินเฟ้อลดลงมาก

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด เพราะเงินเฟ้อต้องติดลบต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป และราคาสินค้าและบริการ ต้องลดลงติดต่อกัน ถึงจะเป็นภาวะเงินฝืด แต่ขณะนี้ เงินเฟ้อไทยลดลง เกิดจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นสำคัญ เพราะทำให้ต้นทุนการผลิต และการขนส่งสินค้าลดลงมาก ส่วนราคาสินค้าและบริการ ยังไม่ลดลงมาก โดยอาหารสดยังราคาเคลื่อนไหวปกติ มีราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ราคาลดลงบ้าง แต่ลดลงจากมาตรการขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ลดราคาขายเพื่อช่วยเหลือประชาชน

หากถามว่ามีโอกาสเกิดภาวะเงินฝืดหรือไม่ ก็มีสิทธิ์ หากราคาน้ำมันยังลดลงมาก หรือยังขึ้นได้ไม่เท่ากับราคาของปีก่อน จึงต้องหาทางหลีกเลี่ยง และนโยบายของรัฐบาล จะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนมาก เช่น การผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ให้กลับมาทำธุรกิจ หรือทำมาค้าขายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนได้ และต้องเร่งส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวไทย กินของไทย ใช้ของไทย

แนวโน้มเงินเฟ้อในเดือนพ.ค.63 ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จากราคาน้ำมัน ที่การบริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และราคายังไม่ปรับขึ้นมาเท่ากับราคาในปีก่อน และราคาสินค้าเกษตร ที่อาจลดลง เนื่องจากความต้องการซื้อลดลง คาดว่าในไตรมาสที่ 2 จะยังติดลบ 2.28% ส่วนไตรมาสที่ 3 และ 4 น่าจะดีขึ้น และเงินเฟ้อทั้งปีจะอยู่ที่ลบ 1.0% ถึงลบ 0.2% มีค่ากลางอยู่ที่ 0.6%

ซีพีเอฟ ได้เหรียญทองเอเชีย รางวัลรายงานความยั่งยืนปี 62

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัลรายงานความยั่งยืนระดับเหรียญทอง 2 รางวัล ด้านการรายงานความโปรงใสในห่วงโซ่อุปทานและด้านผลกระทบต่อชุมชนและการช่วยเหลือสังคม และรางวัลเหรียญเงิน การรายงานเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดผลกระทบ ตอกย้ำความโปร่งใสและความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจของบริษัท

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่บริษัทส่งรายงานความยั่งยืนเข้าชิงรางวัล และ ถือเป็นเกียรติกับบริษัทอย่างมากที่ได้รับรางวัลนี้

ที่่ผ่านมา ซีพีเอฟมุ่งมั่นผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดภัย และมีคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ขณะเดียวยังทำงานร่วมกับคู่ค้าธุรกิจและชุมชนในการขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน

“ซีพีเอฟ ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่องควบคู่กับคู่ค้าธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตนและดินน้ำป่า คงอยู่ ตลอดจนต้องการนำเสนอผลการปฏิบัติงานของพนักงานทุกคนในรายงานความยั่งยืนอย่างเหมาะสม โปรงใส ด้วยความรับผิดชอบ” ทั้งนี้ ความสำเร็จด้านความยั่งยืนของบริษัท สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) 11 เป้าหมาย จากทั้งหมด 17 เป้าหมาย

รายงานความยั่งยืนปี 2562 ของ ซีพีเอฟ ได้รับรางวัล 3 รางวัล ได้แก่

  • Gold class (ที่ 1) ประเภท Asia’s Best Supply Chain Reporting ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างโปร่งใสและรายงานการดำเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงภายในห่วงโซอุปทานอย่างดีเยี่ยม
  • Gold class (ที่ 1) ประเภท Asia’s Best Community Reporting ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านการดำเนินงานกับชุมชน สามารถรายงานผลกระทบต่อชุมชนและผลจากการดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างดีเยี่ยม
  • รางวัล Silver class (ที่ 2) ประเภท Asia’s Best Environmental Reporting เป็นรางวัลสำหรับการรายงานและสื่อสารด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเป้าหมายและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน รวมถึงสามารถรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทในประเด็นที่สำคัญได้อย่างดี

ซีพีเอฟ เป็น 1 ใน 461 ฉบับ รายงานความยั่งยืนจาก 16 ประเทศในเอเซีย ที่มีการส่งเข้าประกวดผลงาน และ ASRA ได้คัดเลือกผู้เข้ารอบเหลือ 80 บริษัท จาก 13 ประเทศ เพื่อเข้ารับรางวัลใน 19 สาขา ในปีนี้มีเหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้มีการเลื่อนการประกาศผลออกมาในรูปแบบของการถ่ายทอดสดแบบ Live Broadcasting จากประเทศสิงคโปร์ ในงาน มีนักธุรกิจชั้นนำกว่า 200 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืนจาก 15 ประเทศ ร่วมในรับชมการถ่ายทอดครั้งนี้

กลุ่มเซ็นทรัล ตอบจม.นายกฯ ยินดีสนับสนุน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทรัล ได้ตอบจดหมาย จากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โดยทุกธุรกิจในเครือ ยินดีให้การสนับสนุนเพิ่มเติมอย่างเต็มที่ พร้อมชูแนวทางฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานทั้ง 3 มิติ ได้แก่ การสร้างอาชีพเสริมรายได้ การลดค่าครองชีพ และการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะฐานรากให้ผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปด้วยกัน

นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า ครอบครัวจิราธิวัฒน์ และกลุ่มเซ็นทรัลได้ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญต่อความรับผิดชอบและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการปรับแนวทางการแก้ปัญหา เข้ากับแผนของความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมบูรณาการให้เกิดความยั่งยืน เริ่มตั้งแต่มาตรการช่วยเหลือพนักงานในเครือกว่า 74,000 ราย โดยคงสถานะการจ้าง และการมอบประกันภัยโควิด-19 ให้กับทุกคน รวมถึงได้มีการริเริ่มโครงการต่าง ๆ ภายในปี 2563 โดยมุ่งไปที่กระบวนการ ภายใต้ความต้องการพื้นฐานทั้ง 3 ส่วน อันได้แก่

มาตรการสร้างอาชีพ เสริมรายได้  กลุ่มเซ็นทรัลจึงมุ่งที่จะสร้างรายได้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มขีดความสามารถ ขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมในทุก ๆ บริบท ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ ดังนี้

  • กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นและสร้างรายได้ โดยการให้พื้นที่ขาย 90,000 ตร.ม. ใน 100 ศูนย์การค้าใน 44 จังหวัด และผ่านช่องทางออนไลน์ มูลค่ารวมกว่า 550 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจในเครือของเซ็นทรัล อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า โรบินสันพลาซ่า ท็อปส์พลาซ่า และ ไทวัสดุ ให้พื้นที่ฟรี เพื่อสนับสนุนให้ชุมชน เกษตรกร และ ผู้ประกอบการขนาดเล็ก กว่า 16,000 รายใน 44 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้เข้ามาขายสินค้า เป็นเวลา 3-6 เดือน คาดว่าจะเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้ เกษตรกร และผู้ค้ารายย่อย กว่า 3,500 ล้านบาท ในปี 2563 นอกจากนี้ยังจัดช่องทางการขายออนไลน์ ผ่านเว็บไซด์ ท็อปส์ออนไลน์  JD central เซ็นทรัลออนไลน์ และ โรบินสันออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งยังสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มยอดขาย
  • อนุมัติวงเงิน 1,500 ล้านบาท เพื่อรับซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกร และชุมชน เป็นการรับซื้อสินค้าโดยตรงจากเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน สินค้าเกษตร โอทอป เอสเอ็มอี นำมาจำหน่ายในศูนย์การค้า และ ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ สนับสนุนให้ชุมชนและเกษตรกรมีรายได้ 25,000 ครัวเรือน ใน 42 จังหวัด
  • สร้างอาชีพแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน  ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น รวมถึงการช่วยเหลือคนพิการให้มีอาชีพ ใช้ งบประมาณ 150 ล้านบาท                     
  • โครงการ เซ็นทรัล ทำ เป็นโครงการด้านความรับผิดชอบสังคม ของกลุ่มเซ็นทรัล ที่ได้ดำเนินการแล้วและยังคงทำต่อเนื่อง เร่งขยายวงกว้างเพื่อสร้างอาชีพ อาทิ  การให้ความรู้ในด้านการเกษตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการสนับสนุนการสร้างอาชีพให้คนพิการ  พัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และอื่น ๆ ซึ่งสนับสนุนเกษตรกร ชุมชน  คนพิการ นักเรียน รวมกว่า 30,000 ครัวเรือน ใน 50 จังหวัด 
  • สร้างแพลตฟอร์มระดมทุนออนไลน์ (Crowdfunding Platform) ให้คนที่ต้องการเริ่มธุรกิจใหม่แต่ยังขาดเงินทุน รวมถึงสนับสนุนนักเรียน โรงเรียน โรงพยาบาล และงานวิจัย ตั้งเป้าการระดมทุนกว่า 100 ล้านบาท

มาตรการลดค่าครองชีพ 

  • ลดและตรึงราคา สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นกว่า 3,000 รายการ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดย ซูเปอร์มาร์เก็ต ในกลุ่มเซ็นทรัล ร่วมโครงการกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และผู้ผลิตสินค้าในการลดราคา 5-68% ในท็อปส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอดปี 2563 และการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอีกกว่า 23,000 รายการ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม โดยจะไม่มีการขึ้นราคาในช่วง 90 วัน 
  • ลดราคาอาหาร 20% ในศูนย์อาหาร 87 แห่ง ใน 43 จังหวัด โดยจัดให้มีอาหารราคาพิเศษ เริ่มต้นที่ 19 บาท ที่เซ็นทรัลฟู้ดคอร์ท 33 แห่ง โรบินสันฟู้ดคอร์ท 24 แห่ง และ ท็อปส์ฟู้ดคอร์ท 30 แห่ง

มาตรการส่งเสริมสุขภาพ 

  • สร้างมาตรฐานใหม่เพื่อเป็นแผนแม่บทในการทำธุรกิจให้ปลอดภัยเพื่อป้องกันการระบาดโดยใช้มาตรการ สะอาด ปลอดภัย ในศูนย์การค้าและผู้เช่าทุกราย ทุกตารางเมตร โดยกลุ่มเซ็นทรัลได้จัดทำมาตรการเชิงรุกในการสร้างมาตรฐานสุขอนามัยใน 5 ด้าน 75 มาตรการ เพื่อถือปฏิบัติสำหรับทุกธุรกิจในศูนย์การค้าเพื่อความปลอดภัยและป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส
  • งบประมาณรวมกว่า 40 ล้านบาท ในการสนับสนุนเงินและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มอบให้กับ 30 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อบุคลากรทางการแพทย์รับมือกับโรคโควิด-19 ผ่านทางแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ และจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมอีก 15 ล้านบาท สำหรับการจัดทำห้องปลอดเชื้อ ให้โรงพยาบาล และ มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่เดือดร้อน

“มาตรการทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นมาจากการความตั้งใจและความเชี่ยวชาญของกลุ่มเซ็นทรัล ภายใต้ความมุ่งมั่น ของผู้บริหารและพนักงานทุกคนในองค์กร เพื่อเป็นพลังกาย พลังใจ และฟันเฟืองในการขับเคลื่อน เราเชื่อมั่นว่า มาตรการทั้งหมดจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยได้ และพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด”

เงาหุ้น : หุ้นทั่วโลกร่วง

ตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวปรับตัวลงทั้งหมดต่อเนื่อง ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเปิดศึกการค้ากับจีนอีกครั้ง หลังกล่าวหาว่าจีนเป็นตัวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลกจนส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลก!!

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า Valuation ทางพื้นฐานของหุ้นไทยเริ่มตึงตัวแล้ว โดยประเมินบนคาดการณ์กำไรสุทธิ/หุ้น (EPS) ของตลาดปี 63 ที่ 72.62 บาท/หุ้น (ต่ำกว่า Consensus ที่ 75 บาท/หุ้น) และให้ Market Earning Yield Gap ที่ 5% จะให้ค่า PER เป้าหมายที่ 17.4 เท่า คิดเป็น SET Index เป้าหมายที่ 1,264 จุด

แต่หากธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขยายขึ้นไปได้ถึงระดับ 1,321 จุด แต่ท่าทีนโยบายทางการเงินแม้จะผ่อนคลาย แต่คาดว่ายังเน้นอัดฉีดเม็ดเงินรูปแบบอื่นมากกว่า

เอเซียพลัสแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในเดือน พ.ค.63 เน้นจัดพอร์ตเตรียมรับความผันผวนของตลาด โดยเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ผันผวนต่ำ ปันผลสูง โดยแนะนำ DCC เติบโตสวนกระแสบริษัทอื่นๆที่ผลประกอบการหดตัว

ส่วน STA ความต้องการของถุงมือยางปรับตัวขึ้นมากในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ RATCH เป็นหุ้น Defensive และปันผลสม่ำเสมอ ด้าน IVL ช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงไฮซีซันธุรกิจ

ขณะที่ COM7 ระบายสินค้าออกในช่วงที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง รองรับสินค้าใหม่ๆที่จะเริ่มจำหน่ายหลังโควิด-19 คลี่คลาย และเทคโนโลยี 5G และสุดท้ายแนะนำหุ้น KBANK เหตุราคาปรับฐานลงมามากเกินไป

และยังคงแนะให้หลีกเลี่ยงหุ้น Over Value อย่าง ERW และ DELTA

ปิดท้าย บล.ธนชาต โฟกัสหุ้น PTTEP หลังแจ้งกำไรจากการดำเนินงาน 1Q20 ที่ 9.07 พันล้านบาท ลดลง 29% y-y, และลดลง 21% q-q ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์โดยราคาขายน้ำมันเฉลี่ยสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ Dubai เล็กน้อย และต้นทุนการผลิตต่ำกว่าคาด

อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตลดลง 8% q-q เหลือ 363boed จากการผลิตน้ำมันที่ลดลงในมาเลเซีย และแหล่งบงกช ต่ำกว่าที่คาดไว้

เช่นกัน ขณะที่บริษัทคาดว่าการผลิตน้ำมัน และก๊าซรวมปีนี้ อาจต่ำกว่าเป้าหมายเดิม 7% ปีนี้ และลดงบลงทุนปีนี้ลง 15-20% จากแผนเดิม

ธนชาตมองเห็น downside risk ของกำไร และเป้าหมายพื้นฐาน PTTEP ที่ 107 บาท จากทั้งปริมาณการผลิตที่ลดลง และราคาน้ำมันปัจจุบันที่ต่ำกว่าสมมติฐาน!!

อินเด็กซ์ 51

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดยอินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

รับพัสดุอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19

กรมอนามัย ได้แนะนำวิธีการรับกล่องพัสดุในช่วงการระบาดของ COVID -19 แบบปลอดภัย ลดการติดเชื้อจากกล่องพัสดุหรือผู้ส่งพัสดุได้  เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้การสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์มีปริมาณมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจเวลารับสินค้าที่มาส่ง จะเป็นไปอย่างปลอดภัย และปลอดจากไวรัสโควิด-19 จึงควรดำเนินการ ดังนี้

  • จัดพื้นที่ให้ผู้ส่งพัสดุวางพัสดุไว้หน้าบ้าน หรือแขวนไว้ โดยไม่ต้องออกไปรับพัสดุโดยตรง เพื่อลดการสัมผัส
  • ก่อนนำพัสดุเข้าบ้านควรฉีดพ่น หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดต่าง ๆ
  • แกะกล่องพัสดุ และเช็ดทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ภายในกล่องพัสดุด้วยแอลกอฮอล์ 70%  หรือน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดอื่น ๆ ซึ่งสินค้าที่รับมาผู้ส่งควรมีพลาสติกห่อหุ้มให้เรียบร้อยก่อนนำเข้ากล่อง
  • หลังแกะกล่องเรียบร้อย ให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือแอลกอฮอล์เจล อย่างน้อย 20 วินาที

ที่มา กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

กรมอนามัยแนะ ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม เปิดยังไงให้ถูกวิธีปฏิบัติ และสร้างความเชื่อมั่น ช่วงโควิด-19

รายงานข่าวจากรมอนามัย เปิดเผยถึงมาตรการผ่อนปรน เปิดร้านเสริมสวย และร้านตัดผม อย่างไรถึงจะปลอดภัยจากโควิด-19 ดังนี้

ผู้เกี่ยวข้องกับงานบริการในร้านทุกคน

  • ผู้ให้บริการทุกคน มีความรู้ในการปฏิบัติตัว มีสุขอนามัยที่ดี
  • ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส
  • สวมเสื้อคลุม ใส่หน้ากากผ้า หรือ เฟซชิลด์ ใส่ถุงมือยางตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน

สิ่งแวดล้อมภายในร้าน

  • มีจุดล้างมือ หรือเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการอย่างเพียงพอ
  • ทำความสะอาดเก้าอี้ หรือจุดบริเวณที่มีการสัมผัส อย่างน้อย 2 ขม.ต่อครั้ง
  • มีระบบระบายอากาศที่ดี เปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
  • อุปกรณ์ต่างๆ เช่น กรรไกร ต้องทำความสะอาดก่อนและหลังบริการ
  • ไม่ใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น ใบมีดโกน ผ้าขนหนู

ส่วนของลูกค้า

  • ต้องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ไม่เกิน 37.5 องศาเซลเซียส
  • ต้องใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย
  • ต้องล้างมือให้สะอาด ก่อนเข้าและออกจากร้าน
  • ต้องนัดคิว เพื่อลดระยะเวลาการรอในร้าน และเวลาที่อยู่ในร้านร่วมกัน

ทั้งนี้ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ได้เน้นย้ำว่า ขอให้ร้านตัดผม ร้านเสริมสวม ปฏิบัติตามมาตรการด้านความสะอาด ปลอดภัย ทั้งสถานที่และอุปกรณ์ รวมทั้งต้องมีสุขอนามัยที่ดีทั้งผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นยังไงให้ปลอดภัยและประหยัดค่าไฟ

กระทรวงพลังงาน แนะวิธีใช้เครื่องทำน้ำอุ่นให้ปลอดภัย และประหยัดพลังงาน

เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จัดอยู่ในกลุ่มใช้ความร้อนในการทำงาน ซึ่งเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีขายทั่วไป มักมีปริมาณการกินไฟ (กำลังไฟฟ้า) ประมาณ 3,000-6,000 วัตต์ จึงมีปริมาณการใช้ไฟมากพอสมควร

แนวทางการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นให้คุ้มค่า และประหยัดพลังงาน มีตามนี้

1.เลือกขนาดให้เหมาะสมกับครอบครัว เครื่องทำน้ำอุ่นที่เหมาะกับครอบครัวเล็ก ควรจะเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นประเภท single point ที่ทำความร้อนจากเครื่องทำน้ำอุ่น 1 ตัว ต่อ 1 จุด แต่ถ้าที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ อยู่กันหลายคน และต้องใช้น้ำอุ่นในหลายๆ จุดในบ้าน ที่เหมาะสมที่สุดคือ เครื่องทำน้ำอุ่นแบบ multi point ที่ให้ความร้อนได้หลายๆ จุด พร้อมกันแล้วส่งน้ำร้อนผ่านท่อน้ำร้อน และวาล์วผสม สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติมสำหรับ เครื่องทำน้ำอุ่นแบบ multi point ก็คือ ยิ่งสะดวกสบาย ยิ่งให้ความร้อนได้หลายจุด ก็ยิ่งกินไฟ

2.เลือกใช้เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะฉลากประหยัดไฟนั้น บ่งบอกถึงระดับการใช้ไฟฟ้าและข้อมูลเบื้องต้นต่าง ๆ ของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายต่อปี เป็นต้น โดยเฉพาะยิ่งมีตัวเลขที่สูงและเป็นฉลากในปีใหม่ ๆ จะแสดงถึงประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานที่มากกว่า

3.ปรับอุณหภูมิให้พอดี การใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ไม่ควรปรับปุ่มความร้อนเกินความจำเป็น เพราะการทำให้น้ำมีอุณหภูมิสูงมาก ๆ นั้น จะใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น

4.ปิดเครื่องทุกครั้งหลังใช้งาน ปิดเครื่องทำน้ำอุ่นทุกครั้ง หลังสิ้นสุดการใช้งาน เพื่อประหยัดไฟฟ้าและป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

5.ควรเปิดใช้เครื่องทำน้ำอุ่นในอากาศที่เหมาะสม ถ้าอากาศไม่หนาว เราควรอาบน้ำในอุณหภูมิปกติ

ทั้งนี้ ควรศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด ก่อนใช้ และเลือกอุปกรณ์เป็นชนิดกันน้ำ กระแสไฟฟ้าที่อาจรั่วได้ พร้อมทั้งติดตั้งสายดิน/ระบบตัดไฟรั่ว ระบบตัดไฟอัตโนมัติที่ติดตั้งมาภายในตัวเครื่อง และระบบตัดไฟที่ติดตั้งเองภายหลัง เพื่อความปลอดภัยจากการใช้งาน เพียงเท่านี้ เราก็ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นได้อย่างอุ่นกาย สบายใจ และยังเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศให้มากขึ้นด้วยครับ

ที่มา กระทรวงพลังงาน

เผยแนวปฏิบัติของ 9 กลุ่มกิจกรรมที่กลับมาเปิดได้วันที่ 3 พ.ค.

รายงานข่าว เปิดเผย ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 6  ว่า่ด้วยการผ่อนคลายให้เปิดกิจการหรือทำกิจกรรมบางอย่างได้ เช่น กิจกรรมด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต กิจกรรมด้านการออกกำลังกายหรือดูแลสุขภาพ ซึ่งได้มีการประกาศไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด ทางเพจไทยคู่ฟ้า ได้เปิดเผยรายละเอียดการผ่อนคลายให้ทำกิจกรรม จากข้อกำหนด ฉบับที่ 6 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่แต่ละจังหวัดจะนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.63 ดังนี้

การผ่อนคลายให้ทำกิจกรรม ด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต

  • โรงแรม สนามบิน สถานีรถไฟ ขนส่ง โรงพยาบาล ร้านอาหารเครื่องดื่ม ร้านสะดวกซื้อ รถเข็น หาบเร่ แผงลอย
    • เปิดขายอาหารเครื่องดื่มได้แบบให้นำกลับบ้าน
    • เปิดบริการได้ แต่ต้องจัดระเบียบ
    • ขายสุราได้เฉพาะนำกลับบ้าน
  • ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์
    • เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา สินค้าเบ็ดเตล็ด ร้านโทรศัพทฺ ธนาคาร ที่ทำการของรัฐ
    • ร้านอาหารเฉพาะนำกลับบ้าน
  • ร้านค้าปลีก-ส่ง ตลาด ตลาดน้ำ ตลาดนัด
    • ควบคุมการเข้าออก
    • วัดอุณหภูมิ
    • เว้นระยะห่าง
  • ร้านเสริมสวย แต่งผม ตัดผม
    • สระ ตัด ซอย แต่งผม
    • ต้องไม่มีคนนั่งรอในร้าน

ด้านการออกกำลังกาย หรือดูแลสุขภาพ

  • โรงพยาบาล สถานทันตกรรม สถานพยาบาลทุกประเภทที่ถูกกม. : เปิดได้
  • สนามกอล์ฟ สนามฝึกซ้อมกอล์ฟ
    • เปิดได้
    • ต้องไม่มีผู้ชม
    • ต้อมไม่มีการแข่งขัน
  • สนามกีฬากลางแจ้ง เช่น เทนนิส ขี่ม้า ยิงปืน ยิงธนู
    • ผู้เล่นต้องมีระยะห่าง
    • ต้องไม่มีผู้ชม หรือการแข่งขัน
  • สวนสาธารณะ ลาน-พื้นที่สาธารณะ สถานที่ออกกำลังกาย สนามกีฬา ลานกีฬา
    • เปิดได้เฉพาะพื้นที่โล่งแจ้ง
    • ต้องไม่มีผู้ชม หรือการแข่งขัน เล่น แสดง
  • สถานที่ให้บริการ ดูแลรักษาสัตว์ สปา อาบน้ำ ตัดขน รับเลี้ยง รับฝากสัตว์ : เปิดได้