Home Blog Page 45

ซีพีเอฟ มอบคูปองส่วนลด 1 ล้านใบ เป็นกำลังใจให้อสม.ทั่วประเทศ

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า อสม. 1.4 ล้านคน ถือเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยที่ช่วยเหลือสังคมอย่างเข้มแข็งมาตลอด และเป็นกลุ่มที่มีต้นทุนเครือข่ายมหาศาล คุณค่าของ อสม. คือการได้ทำงานมากกว่าต้องการผลตอบแทน

“วันนี้ กระทรวงฯ สร้างคุณค่าเพิ่มของจิตอาสาให้เป็นหน้าด่านของประเทศไทยในการเป็นผู้คัดกรองโรคไม่เฉพาะโรคโควิด 19 และยังดูแลสุขภาพคนในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง” นายสาธิต กล่าว

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าเพิ่มว่า อสม. เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่เสียสละไปดูแลคนไทยทุกบ้านและให้คำแนะนำอย่างถูกวิธีกรณีผู้กักตัวเอง ทำให้การควบคุมโรคในต่างจังหวัดทำได้ดี

นายจำรัส คำรอด ประธานชมรม อสม. แห่งประเทศไทย กล่าวว่า อสม. ทำงานมากกว่า 40 ปี ไม่ได้หวังผลประโยชน์ใดๆ ทำด้วยใจจริง และต้องขอบคุณโรคโควิด 19 ที่ทำให้คนรู้จัก อสม. มากขึ้น สมาชิก อสม. ต้องการทำงานไม่ต้องการเงิน เป็นการทำงานด้วยใจ และสิ่งที่จะทำคือ ทำให้คนไทยปลอดจากโควิด 19

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้สนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขเป็นโครงการที่ 4 ในการร่วมดูแล อสม. ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่เป็นด่านหน้า ค้นหาและคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเพื่อนำเข้าระบบการรักษาได้รวดเร็ว ตลอดจนให้ความรู้และย้ำความสำคัญของมาตรการเว้นระยะห่าง

บริษัท จึงขอมอบคูปอง “คูปองส่วนลดจากใจให้ อสม. #ฮีโร่ที่ลืมไม่ได้” จำนวน 1 ล้านใบ เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการซื้ออาหารที่ร้านซีพี เฟรชมาร์ท เพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่และช่วยค่าครองชีพของอาสาสมัคร

การส่งคูปองจะทำผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เพื่อส่งต่อให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั่วประเทศ และนำไปแจกจ่ายให้กับ อสม. ในพื้นที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ทั่วประเทศอย่างทั่วถึงและนำไปใช้สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว โดย อสม. สามารถนำคูปองที่ได้รับ พร้อมบัตรประชาชนและบัตรประจำตัว อสม. ไปลงทะเบียนเพื่อสมัครเป็นสมาชิก ซีพี เซอร์ไพรส์ (CP Surprise) ในการรับสิทธิ์ได้ที่ร้านซีพีเฟรชมาร์ททั่วประเทศและสามารถใช้คูปองได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1788

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. ต่ำสุดในรอบ 22 ปี

รอปลดล็อคดาวน์อีกรอบ 17 พ.ค. ช่วยเติมเม็ดเงินหมุนเวียนได้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัว หรือฟื้นจากจุดต่ำสุด

คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจนเห็นได้ชัดประมาณไตรมาส 2 ปี 2564

ผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษยน 2563 เปิดเผยโดยนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

พบว่าปรับตัวลดลงทุกรายการ โดยส่วนใหญ่ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2541 เป็นเวลา 21 ปี 7 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดอย่างหนักทั่วโลก ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ชะลอตัวอย่างมาก ตลอดจนตวามกังวลของผู้บริโภคถึงภาวะว่างงานสูง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค โดยติดลบ 3 ไตรมาสติดต่อกัน และจะเริ่มเป็นบวกไตรมาส 4 ประมาณบวก 1-2% จากการรีสตาร์ทของภาคธุรกิจและ มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ 400,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเห็นเม็ดเงินในระบบชัดเจนในช่วงต้นเดือนสิงหาคม และจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 63 ติดลบน้อยลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะติดลบ 8.8% เป็นติดลบ 3.5-5.5%

ในสภาพปกติ จะมีเม็ดเงินใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบประมาณ 600,000 ล้านบาทต่อเดือน แต่เมื่อล็อกดาวน์ เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบหายไปประมาณ 50% และ การปลดล็อกภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้ จะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นเกือบ 200,000 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดทรุดตัว หรือฟื้นจากจุดต่ำสุด โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นจนเห็นได้ชัดประมาณไตรมาส 2 ปี 2564

คลังออกพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” 14 พ.ค.นี้

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมแถลงข่าวการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) โดยมีวัตถุประสงค์ในการระดมทุนเพื่อบรรเทาผลกระทบ และแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามแผนงานโครงการของรัฐบาล ภายใต้ พ.ร.ก. กู้เงินวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท

พันธบัตรออมทรัพย์เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่หลากหลายของรัฐบาลซึ่งจะสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยของประชาชนรายย่อย และเป็นการเยียวยาให้กลุ่มประชาชนที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดการเงินมีความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มจำหน่ายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 เวลา 8.30 น. วงเงินไม่เกิน50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได รุ่นอายุ 5 ปี เฉลี่ยร้อยละ 2.40 และรุ่นอายุ 10 ปี เฉลี่ยร้อยละ 3.00 ต่อปี

ดบ.ผิดนัดแบบใหม่เริ่ม 1 พ.ค. เป็นธรรมขึ้น และลดหนี้เสีย

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่ที่คิดบนฐานของเงินต้นของค่างวดที่ผิดนัดชำระจริง สถาบันการเงินเริ่มใช้ไปแล้ว (เดิมคิดจากเงินต้นคงค้างทั้งหมด)

การปรับปรุงในครั้งนี้จะช่วยให้แนวปฏิบัติในเรื่องนี้เป็นธรรมมากขึ้น และช่วยลดภาระของประชาชน รวมทั้งลดโอกาสที่ลูกหนี้จะไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ ซึ่งแนวทางใหม่นี้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่ดีที่ต่างประเทศใช้กัน ทั้งนี้ ประชาชนจะได้รับสิทธิจากการปรับปรุงในครั้งนี้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องไปขอแก้ไขสัญญา ไม่รวมงวดชำระในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

นางธัญญนิตย์ ชี้แจงว่า เดิมนั้นการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จะคิดบนฐานของ “เงินต้นคงค้างทั้งหมด” สมมติว่าเรากู้ซื้อบ้าน 20 ปี 240 งวด ช่วง 2 ปีแรกผ่อนชำระดีมาโดยตลอด งวดที่ 25 มีปัญหาผ่อนชำระไม่ได้ สถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนฐานของเงินต้นคงค้างทั้งหมด หรือเงินต้นในค่างวดที่ 25 ถึงงวดที่ 240

ในขณะที่การคำนวณที่ปรับปรุงใหม่จะให้คิดบนฐานของ “เงินต้นในค่างวดที่มีการผิดนัดชำระจริง” เท่านั้น โดยจะไม่รวมเงินต้นในค่างวดตามสัญญาในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พูดง่ายๆ คือ การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะคิดบนฐานของเงินต้นในงวดที่ 25 เท่านั้น โดยจะไม่รวมเงินต้นในงวดที่ 26-งวดที่ 240

หลักคิดสำคัญในเรื่องนี้ คือ การกำหนดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ต้องคำนึงถึงความเสียหายจริงที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนี้ (credit risk) และความสามารถในการจ่ายของลูกหนี้ไปด้วยกัน ถ้าสูงเกินไปอาจเป็นต้นตอที่ทำให้ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ได้ (affordability risk) ลดผลกระทบการจ่ายล่าช้าช่วงโควิดและช่วยสถาบันการเงินให้มั่นคงขึ้นในระยะยาว

นางธัญญนิตย์ กล่าวว่า “สถานการณ์ปัจจุบันที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้รายได้ของประชาชนจำนวนมากลดลง จึงมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่อาจจะจ่ายค่างวดล่าช้าหรือไม่สามารถจ่ายได้ในช่วงนี้ ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้แบบใหม่จะช่วยให้คนไทยมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้โดยรวมลดลง”

แนวปฏิบัติของผู้ประกอบกิจการร้านอาหารช่วงผ่อนปรน

กรมอนามัย เปิดเผยถึงแนวทางปฏิบัตของผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร หลังจากรัฐบาลผ่อนปรนมาตรการควบคุมช่วงโควิด-19 ระบาด ดังนี้

  1. จัดจุดคัดกรองผู้มาใช้บริการ หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก แนะนำให้ไปพบแพทย์
  2. ทานอาหารในร้าน แบบเว้นระยะห่าง ลดความแออัด เพื่อป้องกันการกระจายของเชื้อโรค
  3. ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยขณะที่ใช้บริการ
  4. จัดให้มีภาชนะส่วนตัว มีระบบชำระเงิน
  5. จัดจุดล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือ เจลล้างมือ
  6. ถังขยะมีฝาปิดมิดชิด และกำจัดอย่างถูกต้อง

ออมสินจ่อดำเนินคดี เพจหวยออนไลน์แอบอ้างชื่อ สลากออมสิน กับ โลโก้ธนาคาร

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้ออกหนังสือชี้แจงว่า ธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพจชวนเล่นหวยออนไลน์

เนื่องจาก ปรากฏว่า ตามสื่อโซเชียลมีเดีย มีเพจหวยออนไลน์หลายเพจ ในชื่อเพจ ฮอตไปอีก, เริ่มต้นบาทเดียวเด้อ, Freeburn, LOTTOLNW88 แอบอ้างนำข้อความ “สลากออมสิน” และตราโลโก้ของธนาคารออมสิน ไปเผยแพร่ และเชิญชวนให้คนซื้อหวยออนไลน์

ธนาคารออมสินขอชี้แจงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และการกระทำดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธนาคารออมสิน และสร้างความเสียหายต่อประชาชนที่อาจถูกหลอกลวงให้เสียเงินเสียทรัพย์ได้

ทั้งนี้ ธนาคารจะดำเนินการทางงกฏหมายกับผู้ที่แอบอ้างด้งกล่าว

เงาหุ้น : มุมมอง บล.ทิสโก้

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 7 พ.ค.63 ปิด 1,257.98 จุด ลดลง 20.65 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 56,253.32 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,045.24 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด BAM ปิด 22.10 บาท ลบ 1.20 บาท, CPALL ปิด 70 บาท บวก 0.25 บาท, PTT ปิด 34.25 บาท ลบ 0.75 บาท, PTTEP ปิด 82.50 บาท ลบ 1.50 บาท, INTUCH ปิด 55.25 บาท บวก 1.75 บาท

ตลาดหุ้นปรับตัวลงหลังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้น ขณะที่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้กดดันให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) และกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลออก

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เผยว่า การลงทุนเดือน พ.ค. ต้องระวังความผันผวนเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของเดือน เนื่องจากนักวิเคราะห์น่าจะเริ่มปรับประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 63 ลงอีก หลังรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 63 ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบเต็มที่จาก COVID-19 และการปิดเมือง จึงคาดว่าผลกระทบหนักที่สุด น่าจะเกิดขึ้นกับผลประกอบการไตรมาส 2

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักวิเคราะห์ได้ปรับประมาณการกำไรของตลาดปี 63 ไปแล้ว 27.4% มาอยู่ที่ 74.0 บาทต่อหุ้น และปี 64 ถูกปรับลงไป 19.4% มาอยู่ที่ 89.1 บาทต่อหุ้น

การประเมินมูลค่าหุ้นเข้าสู่ภาวะตึงตัวมากขึ้นจากระดับปัจจุบัน ที่ดัชนีหุ้นไทยซื้อขายที่อัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน ที่ 16.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16.6 เท่า มองว่าการซื้อขายที่เข้าใกล้ระดับค่าเฉลี่ยในอดีตอาจสูงเกินไป เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจที่หดตัวรุนแรง และการแพร่ระบาดไวรัสมีความไม่แน่นอนสูง

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรของตลาดที่ถูกปรับลงทุกๆ 1% จะมีผลต่อการปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทย 13 จุด และช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุนน่าจะกลับมาติดตามสถานการณ์โควิดอีกครั้ง หลังผ่านการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว 2 สัปดาห์

ดังนั้น บล.ทิสโก้ยังคงมีมุมมองว่าดัชนีหุ้นไทยระดับปัจจุบันเริ่มมีกรอบในการปรับขึ้น (Upside) จำกัด และช่วงนี้ไม่ใช่จังหวะซื้อเพื่อการลงทุน แต่เป็นการซื้อเพื่อการเทรดดิ้งรอบสั้นๆ หุ้นที่น่าสนใจสำหรับการเลือกลงทุนเดือนนี้ คือ

1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ แนะ BEM, CPALL, CPN และ HMPRO

2.หุ้นที่คาดงบจะออกมาดี แนะ RBF–SMPC

3.หุ้นที่มีศักยภาพเติบโตแม้เศรษฐกิจชะลอตัว แนะ BAM

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เตือนมัลแวร์ อ้างชื่อกระทรวงสาธารณสุข / ไวรัสโคโรนา ระบาด

สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA เตือนภัย หลังพบว่า มีการแพร่กระจายมัลแวร์ทางอีเมล์ โดยใช้เมล์ว่า ไวรัสโคโรนา และกระทรวงสาธารณสุข

โดยพบว่า มัลแวร์พวกนี้ จะมีรูปแบบ ตามนี้

  • ชื่ออีเมลปลอม no-reply@moph.go.th
  • หัวข้ออีเมล CoronaVirus
  • เนื้อหาภาษาไทย แต่เป็นการใช้โปรแกรมแปลภาษา
  • ใช้โลโก้ สถาบันวิจัยสาธารณสุข และ กระทรวงสาธารณสุข
  • มีไฟล์แนบชื่อ กระทรวงสาธารณสุขโคโรนาข้อมูลไวรัสด่วน2020.gz

โดยหากได้รับอีเมล์ลักษณะนี้ มีข้อแนะนำ ดังนี้

  1. ไม่เปิดไฟล์แนบ และแจ้ง รายงานให้ผุ้ดูแลระบบทราบ
  2. หากเผลอเปิดไฟล์ ควรปิดเครื่อง และแจ้งผู้ดูแลระบบทันที เพื่อตรวจสอบและยับยั้งความเสียหาย
  3. ผู้ดูแลระบบ ควรตรวจสอบว่ามีการส่งอีเมล์ลักษณะนี้มาที่หน่วยงานหรือไม่ หากพบให้รีบลบอีเมล์ดังกล่าวทันที
  4. หากพบการเชื่อมต่อที่ต้องสงสัย ควรปิดกั้นการเชื่อมต่อของคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ออกจากระบบเครือข่ายเป็นการชั่วคราว

AIS โชว์รายได้ไตรมาสแรก 4.2 หมื่นล. พร้อมลงทุน 5G เพิ่ม 3.5 หมื่นล้าน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยภาพรวมผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2563 เอไอเอส มีรายได้รวมอยู่ที่ 42,845 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท ด้านธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรายได้ลดลง -1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการแข่งขันของอุตสาหกรรม ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวลดลง และเป็นผลจากมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงกลางมี.ค. ส่งผลให้ต้องปิดให้บริการชั่วคราว AIS Shop, Serenade Club และ AIS Telewiz ในพื้นที่ตามประกาศของภาครัฐ โดยมีผู้ใช้บริการรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 41.1 ล้านราย ยังคงมีฐานลูกค้าจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 แบ่งเป็นลูกค้าระบบรายเดือน จำนวน 9.1 ล้านราย และมีลูกค้าระบบเติมเงินอยู่ที่ 32.0 ล้านราย

ส่วนธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน เอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงเติบโตได้ดี มีลูกค้าเพิ่มขึ้น 52,800 ราย ส่งผลให้ในปัจจุบัน มีลูกค้าประมาณ 1.1 ล้านราย เสริมให้รายได้เติบโต 27% เทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 1,640 ล้านบาทโดยเอไอเอส ไฟเบอร์ ยังคงแผนการตลาดต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์ Fixed-Mobile Convergence ที่ผสานกันระหว่าง 3 บริการหลัก ทั้งอินเทอร์เน็ตมือถือ, อินเทอร์เน็ตบ้าน, คอนเทนต์ผ่าน AIS PLAYBOX และ AIS PLAY เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ

มาตรการล็อกดาวน์ และการ Work From Home  ส่งผลให้มีความต้องการใช้งานดาต้าและอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดโดยเห็นได้ชัด จากช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม ส่งผลให้การใช้งานดาต้าไตรมาส 1/2563 เพิ่มขึ้นเป็น 14.7 กิกะไบต์/ผู้ใช้บริการ/เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน และร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน ด้านอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง เอไอเอส ไฟเบอร์ ก็มีความต้องการติดตั้งใหม่ที่สูงขึ้นในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคมส่งผลให้ยอดลูกค้าติดตั้งใหม่ในเดือนมีนาคมเพิ่มสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของเอไอเอส ย่อมได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจาก COVID-19  ในไตรมาส 1/2563 รายได้จากการให้บริการหลักจึงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 33,090 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ส่งผลให้เอไอเอสยังคงความสามารถในการทำกำไร โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม (EBITDA) เพิ่มขึ้น 3.8% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 19,576 ล้านบาท ในขณะที่มีกำไรสุทธิ 7,004 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ  16.3%

ทั้งนี้ เอไอเอส ให้ความสำคัญกับการปรับตัวและแผนธุรกิจเพื่อคงรายได้จากหน่วยธุรกิจต่างๆ และหาแนวทางการลดต้นทุน, เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อคงกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไร ซึ่งเอไอเอส พร้อมเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้วยความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนภาษีดอกเบี้ยและค่าเสื่อม ในระดับ 0.7เท่า ซึ่งแสดงถึงระดับหนี้ค่อนข้างต่ำ และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกนี้ที่สูงกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะลงทุนขยายโครงข่ายบริการ 5G และ 4G เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม

หลังจากที่เอไอเอสเป็นผู้ชนะการประมูลคลื่นความถี่ในเดือนกุมภาพันธ์สำหรับพัฒนาบริการ 5G เพื่อเสริมศักยภาพความเป็นผู้นำในระยะยาว อีกทั้งจะช่วยสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ๆ ในอนาคต รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนเพื่อให้บริการ 4G  โดยการลงทุนขยายโครงข่ายบนคลื่นความถี่ใหม่ย่าน 2600MHz ได้เริ่มต้นในปีนี้ เพื่อให้บริการทั้งบนเทคโนโลยี 4G และ 5G โดยมีงบการลงทุน 35,000-40,0000 ล้านบาท และเดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย หลังจากขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุม 77 จังหวัดแล้วตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา

เกษตร จับมือซีพีเอฟ จัดรถ Food Truck มอบอาหารให้ชาวบางกอกน้อย

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหารร่วมกันมอบอาหารจากรถ Food Truck ของซีพีเฟรชมาร์ท ให้แก่ชาวชุมชนบางกอกน้อย ตามโครงการ “อาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารจากวิกฤติโควิด19 ณ สำนักงานเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร

เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

รมว.เกษตรฯ เปิดเผยว่า ตามที่ กระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ จัดโครงการ “อาหารปลอดภัยจากใจ…สู่ชุมชน” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในชุมชนแออัดจากผลกระทบของโควิด19นั้น กระทรวงฯ ได้เริ่มต้นโครงการที่ เขตบางกอกน้อย และจะขยายความช่วยเหลือไปยังเขตอื่นๆ คือ บางพลัด บางขุนเทียน บางบอน และหนองแขม ตลอดจน จ.พิจิตร และ จ.ตรัง ต่อไป

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้นำรถ Food Truck CP Freshmart ออกมาใช้เป็นครั้งแรก ที่เขตบางกอกน้อย เพื่ออำนวยความสะดวกในการอุ่นร้อนอาหาร และแจกให้พี่น้องประชาชนได้รับประทานอาหารได้ทันที จะแจกอาหารอุ่นร้อนพร้อมรับประทานให้กับประชาชนในเขตบางกอกน้อย บางพลัด พื้นที่กรุงเทพฯ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดีและเสาร์

รถ Food Truck คันนี้สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกและช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติความอร่อยของอาหารที่นำมาแจกให้กับพี่น้องคนไทยในชุมนุมต่างๆ ซึ่งสามารถอุ่นอาหารได้ 120 กล่องต่อครั้ง เพื่อให้บริการได้อย่างรวดเร็ว

การส่งมอบอาหารให้ประชาชนในครั้งนี้ เป็นอีกส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชน ให้ก้าวผ่านวิกฤติไวรัสโควิด19 ไปด้วยกัน ภายใต้หลักคิด Good Corporate Citizen กล่าวคือเป็นบริษัทที่ร่วมสร้างและดูแลสังคม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้กับประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟร่วมกับกองทัพภาคที่ 1 ได้มอบอาหารให้แก่ชุมชนคลองเตยไปแล้ว 8,499 ครัวเรือน

ทั้งนี้ นอกจากความรับผิดชอบที่จะไม่หยุดสายพานการผลิตอาหารเพื่อให้คนไทยมีอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ซีพีเอฟยังสนับสนุนมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข โดยส่งอาหารให้แพทย์และพยาบาลในโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงการส่งอาหารให้ประชาชนที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และขยายผลไปถึงครอบครัวแพทย์-พยาบาลด้วย สะท้อนบทบาทของการเป็นบริษัทไทยผู้ร่วมต้านภัยโควิด19 อย่างจริงจังและต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปัจจุบัน