Home Blog Page 41

เริ่มต้นออม ด้วยการบันทึกรายรับรายจ่าย

“การออม” เป็นสิ่งที่หลายคนมักมองข้าม และมีข้ออ้างเสมอที่จะไม่ลงมือทำ

ไม่ได้เกิดบนกองเงินกองทอง … ทุกวันนี้ แค่กินยังไม่พอเลย…. จะทำได้จริงเหรอ …. รายจ่ายมากกว่ารายรับ แล้วจะเอาอะไรมาออม… ฯลฯ

อยากบอกว่า เข้าใจทุกคน เข้าใจทุกเหตุผล

เพียงแต่ หากไม่เริ่มลงมือทำแล้วเมื่อไรจะมีเงินเก็บ เงินออม ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือสานฝัน ตัวเอง

วันนี้ อยากแนะนำให้ทุกคน เริ่มจดบันทึกรายรับรายจ่าย

หลายคนถาม ทำเพื่อ?

ก็เพื่อให้รู้ฐานะการเงินจริงๆของตัวเอง ว่า หลอกตัวเองอยู่หรือเปล่า

ทำให้ได้ 3 อย่าง

1.จดรายรับแต่ละเดือน
2.แบ่งเงินเก็บก่อนใช้ อย่างน้อย 10% ได้ก็ดี
3.เอาเงินส่วนที่เหลือมาวางแผนใช้จ่าย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เค้ามีแอปฯ Happy Money ไว้ให้ดาวน์โหลดได้ ฟรี สำหรับคนที่อยาก “เริ่มต้น”

และรณรงค์ให้คนไทยหันมาเริ่มต้นบริหารเงินที่ “คนไทย” ควรรู้ 3 ขั้นตอน

1. จดรับ-จ่ายทุกวัน กับเมนูรายได้และค่าใช้จ่าย บันทึกให้สม่ำเสมอ เริ่มต้นสัก 1 เดือน แล้วเราจะรู้ว่า เงินที่หามาได้ เดือนๆนึง หมดไปกับอะไรบ้าง ทั้งที่จำเป็น และไม่จำเป็น เราจะได้วางแผนใช้จ่ายได้ในเดือนหน้า

2. บันทึกฐานะการเงินที่แท้จริง กับเมนูสินทรัพย์และหนี้สิน บันทีกสินทรัพย์ หนี้สิน ทั้งหมดที่มี เราจะได้รู้ว่า เรารวยจริง จนหลอก หรือ จนจริง รวยหลอก

3. อ่านผลสุขภาพการเงิน กับเมนูวิเคราะห์ผล เพื่อให้ทราบ ความมั่งคั่งในปัจจุบัน, สภาพคล่อง, ความสามารถในการชำระหนี้ และโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง

เริ่มลงมือจดบันทึก อย่างมีวินัย ทำต่อเนื่อง แล้วเราจะรู้ตัวว่า เราต้องจัดการกับรายจ่ายยังไง ต้องเพิ่มรายรับ บริหารหนี้สิน แล้วเราก็จะมีเงินออม ไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ใช้จ่ายกับเป้าหมาย หรือไปลงทุน ขยายดอกผลได้อีก

มีแผนเมื่อไร มีออมเมื่อนั้น

สนใจแอปฯ Happy Money โหลดได้เลย ตลาดหลักทรัพย์ฯ เค้าแจก ฟรี

ที่มา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

เงาหุ้น : ซื้อหุ้นSET100!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่  19 พ.ค. 63   ปิดที่ 1,309.95 จุด  เพิ่มขึ้น  23.42 จุด  มีมูลค่าการซื้อขาย 78,863.55 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 891.96 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด MINT ปิด 18 บาท บวก 1.20 บาท,PTT ปิด 36.50 บาท บวก 0.50 บาท ,CPALL ปิด  69.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง,BAM ปิด 23.50 บาท บวก 0.10 บาท และ KBANK ปิด 87 บาท บวก  4.75 บาท 

มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงานดันราคาขยับขึ้น ขณะที่ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)  ระบุว่าดัชนีหุ้นที่ยืนเหนือ 1,300 จุดได้อีกครั้ง และสูงสุดในรอบ 2.5 เดือน รับข่าวพัฒนาการของวัคซีนและการคลาย lockdown คือเงื่อนไขเชิงบวกสำคัญ ขณะที่ Trade War จะเป็นปัจจัยคอยจำกัด Upside ของตลาดหุ้น เป็นระยะ

มองว่าการกระชากขึ้นของดัชนีครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ภาพทางเทคนิคดูดีขึ้นแล้ว (ยืนเหนือ SMA 75 วัน) ยังทำให้โอกาสเกิด Sell in  May ลดลงด้วย กลุ่มที่ยังขึ้นช้ากว่าตลาดคือ แบงก์ การแพทย์ อสังหาฯ ท่องเที่ยว และนิคมฯ

ขณะที่ หุ้นใน SET100 ที่ปรับขึ้นเด่นระยะหลัง นอกจากงบ 1Q63 จะออกมาสวยแล้ว ยังเป็นหุ้นที่ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย SMA 200 วันได้ด้วย   ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน  แบ่งหุ้นที่น่าสนใจเป็น 2 กลุ่ม  คือหุ้นที่ยังขึ้นช้ากว่าตลาด คือ KBANK-SCB-TMB-PSL- AMATA-BCP  และหุ้นกลุ่มนำตลาดที่กำลังลุ้นยืนเหนือเส้น 200 วัน คือ GPSC-BPP-KTC-PTTGC-TASCO

ขณะที่หุ้น THAI ทำซิลลิ่ง หลัง ครม.มีมติให้ยื่นศาลล้มละลายกลางเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ด้านทริส ปรับลดเครดิตหุ้นและหุ้นกู้ THAI ลงสู่ระดับ  C  หลังวันก่อนเพิ่งกดเครดิตลงเหลือ BBB แถมส่งสัญญาน ปรับลงไประดับ D หรือ Default  เมื่อเกิดการพักชำระหนี้ตามกระบวนการของศาล หรือมีการผิดนัดชำระหนี้อื่นใดก่อนหน้านั้น อันดับเครดิตของบริษัทจะได้รับการปรับลดลงสู่ระดับ  D  หรือ  Default ทันที

ปิดท้าย “ณัฐชาต เมฆมาสิน” จากบล. ทรีนีตี้”  คาดผลการประชุม กนง.ให้น้ำหนัก 50/50 ระหว่างการปรับลดและการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  หลังสัญญาณคุมเข้ม COVID-19 เห็นผลบวกชัดเจนขึ้น ทำให้ กนง.อาจเก็บกระสุนไว้ในยามจำเป็น ขณะที่มาตรการของธปท.ที่ออกมาก่อนหน้านี้ถือว่าได้แก้ปัญหาตรงจุดแล้ว

แต่หากมีมติลดดอกเบี้ยตามที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทยจะไม่ได้แรงหนุนมากนักเนื่องจากได้ตอบรับไปบ้างแล้ว แต่หากมีมติคงอัตราดอกเบี้ยจะกระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บีทีเอส พร้อมเปิด 4 สถานีใหม่ เดือนมิ.ย.

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายพานุรักษ์ กลั่นนุรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) นายมานิต เตชอภิโชค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) เข้าตรวจเยี่ยมรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เพิ่มอีก 4 สถานีได้แก่ สถานีกรมป่าไม้ (N14) สถานีบางบัว (N15) สถานีกรมทหารราบที่ 11 (N16) และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ (N17) ร่วมทดสอบการเดินรถไฟฟ้า โดยมี นายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ ดร.ชัยศักดิ์ ศรีเศรษฐนิล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส อินฟราสตรัคเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ให้การต้อนรับ

นายสกลธี ภัททิยกุล กล่าวว่า ภาพรวมการลงพื้นที่พบว่าทั้ง 4 สถานีใหม่ มีความเรียบร้อยพร้อมเปิดให้บริการ โดยทางบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และรถไฟฟ้าบีทีเอส มีความพร้อมที่จะเปิดให้ประชาชนใช้บริการ ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ซึ่งกรุงเทพมหานครจะหารือเพื่อกำหนดวันเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยภาพรวมการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ขณะนี้คืบหน้าแล้ว 96 เปอร์เซ็นต์ โดยในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 รถไฟฟ้าบีทีเอส จะดำเนินการทดสอบเดินรถเสมือนจริง (Trial Run) เพื่อทดสอบระบบอาณัติสัญญาณก่อนให้บริการจริงอีกครั้ง

สำหรับอัตราค่าโดยสาร ตามนโยบายของกรุงเทพมหานครตลอดสายสูงสุดไม่เกิน 65 บาท โดยอัตราค่าโดยสารใหม่นั้น ต้องรอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติจึงจะใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ได้ โดยระหว่างที่มีสถานีส่วนต่อขยายเปิดใหม่ กทม.จะให้ประชาชนใช้บริการฟรีไปก่อน ส่วนแผนการเดินรถถึงสถานีปลายทางคูคตนั้น จะเปิดให้บริการภายในสิ้นปี 2563 นี้

นายสุมิตร ศรีสันติธรรม กล่าวว่าในส่วนของการเตรียมความพร้อมของรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น ได้นำบุคลากร เจ้าหน้าที่ประจำสถานีเข้าภายในพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมการให้บริการในส่วนต่าง ๆ แล้ว โดยในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 บีทีเอสจะนำขบวนรถไฟฟ้าวิ่งจริงตั้งแต่สถานีปลายทางเคหะฯ ถึง สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ จนถึงปลายเดือนพฤษภาคม 2563 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการจัดรูปแบบการเดินรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่ใช้บริการ ควบคู่กับการเพิ่มความถี่ในการเดินรถอย่างต่อเนื่อง

ครม.เห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทย เข้าสู่กระบวนการศาลล้มละลาย

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย และเห็นชอบให้ฃดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังลดให้ต่ำกว่า 50%

โดย ก่อนหน้านี้ ข้อเสนอดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกว่ากระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบ ให้การบินไทย เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู เข้าสู่กระบวนการต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อฟื้นฟูการบินไทยต่อไป โดยนายกฯ กล่าวว่า ต้องตัดสินใจให้การบินไทยเข้าสู่แผนฟื้นฟู และขออนุญาตให้การบินไทยเข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจศาล แล้วศาลก็จะตั้งผู้บริหารเข้ามาดูแล เพื่อจัดการต่อไป ซึ่งก็จะทำให้การปรับโครงสร้างของการบินไทยก็จะเกิดขึ้นได้ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ศาลจะเป็นผู้กำหนดแล้วทางรัฐบาลจะแจ้งให้ทราบในรายละเอียดต่อไป

การช่วยเหลือให้การบินไทยเข้าสู่แผนการฟื้นฟูนี้ ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การบินไทยจะกลับมาทำประโยชน์ให้คนไทย และกลับมาอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

การบินไทยยังประกอบธุรกิจได้ ระหว่างเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ พร้อมบินเมื่อโควิด-19 คลี่คลาย

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองประธานกรรมการคนที่ 2 รักษาการแทนกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (19 พ.ค.) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ดําเนินการตามแผนฟื้นฟูธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการของศาลล้มละลายกลาง โดยให้บริษัทดําเนินกิจการตามปกติ

จักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รักษาการแทนกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)

การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแม้จะเป็นการดําเนินการภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย แต่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการเลิกหรือชําระบัญชีบริษัท หรือไม่ได้มุ่งหมายให้บริษัทต้องตกเป็นบุคคลล้มละลายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้กฎหมายในครั้งนี้ จะส่งผลให้บริษัทการบินไทยสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายรองรับและให้ความคุ้มครองอย่างเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งบริษัทยังสามารถประกอบธุรกิจปกติต่อไปได้ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการขนส่งผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางของการบินไทยทั่วโลก หรือการขนส่งสินค้าไปรษณียภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดําเนินการควบคู่ไปกับการฟื้นฟูองค์กรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดําเนินงานและพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

การบินไทย มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการดําเนินการทุกวิถีทางเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงบริษัทฯ ไปในทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน และขอขอบพระคุณผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงผู้ถือหุ้น คู่ค้า พันธมิตรทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าและผู้โดยสารทุกท่านที่ยังคงให้การสนับสนุนและมอบความไว้วางใจให้บริษัทฯ ได้มีโอกาสรับใช้ท่านต่อไป บริษัทพร้อมจะกลับมาดําเนินกิจการและทําการบินอย่างเต็มศักยภาพในทันทีเมื่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 คลี่คลายลงแล้ว

นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่ถือบัตรโดยสารการบินไทยยังคงสามารถใช้เดินทางได้ต่อไป หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงด้านบัตรโดยสารสามารถดําเนินการผ่านเว็บไซต์ thaiairways.com หรือติดต่อได้ที่ THAI Contact Center โทร.02-356-1111

เงาหุ้น : มุมมองเอเซียพลัส

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 พ.ค.63 ปิดที่ 1,286.53 จุด เพิ่มขึ้น 5.77 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 55,905.03 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,074.79 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ปิดที่ 36 บาท บวก 0.50 บาท, PTTEP ปิด 85.50 บาท บวก 2 บาท, BANPU ปิด 7.40 บาท บวก 0.95 บาท, BAM ปิด 23.40 บาท บวก 0.20 บาท และ CPALL ปิด 69.75 บาท บวก 0.25 บาท

หุ้นไทยปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศ หลังเริ่มมีการคลายล็อกดาวน์ และรับราคาน้ำมันโลกที่ฟื้นตัวดันหุ้นพลังงานดีดตัวขึ้น

ขณะที่ บล.เอเซียพลัส รวบรวมบริษัทจดทะเบียนรายงานงบการเงินงวด 1Q63 ไปแล้วทั้งสิ้น 543 บริษัท (คิดเป็น 94.6% ของมูลค่าตลาดรวม) มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1.11 แสนล้านบาท (ลดลง 49% QoQ และ 58%YoY) กำไรงวด 1Q63 ที่ลดลงแรงถือเป็น Downside ต่อประมาณการกำไรทั้งปี 63 และกดดัน Upside ของตลาด

แต่ปัจจัยแวดล้อมที่หนุนตลาด และช่วยกำหนดกลยุทธ์ในยามที่ Valuation ตลาดเริ่มตึงๆ มีดังนี้ 1.มีโอกาสสูงที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลง ในวันที่ 20 พ.ค.63

สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังมีทิศทางชะลอตัว บวกกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องล่าสุดอยู่ที่ 0.56% (ต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย) ซึ่งตามกลไกปกติ ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีปันผลสูง แนะนำ DIF, DCC

2.การกลับมาดำเนินธุรกิจที่หยุดไปชั่วคราว ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เช่น ห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าปลีก และร้านอาหาร เป็นต้น แนะนำ CPN, COM7 3.ราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่น WTI ฟื้นขึ้นมาถึง 12 เหรียญ/บาร์เรล หรือ 63% (mtd) ขณะที่ราคาหุ้นน้ำมันในไทยยัง Laggard อยู่มาก ชอบ PTT, BCP

ทั้งนี้ เอเซียพลัสเชื่อว่าหุ้นที่ได้รับปัจจัยหนุนจาก 3 ประเด็นดังกล่าวน่าจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในสัปดาห์นี้ Toppicks เลือก CPN, COM7 และ PTT!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS พัฒนาแอปฯ ติดอาวุธให้อสม. พร้อมแจกซิมฮีโร่ กับทำประกันฟรีให้

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทย แม้ว่าจะผ่านจุดวิกฤตมาแล้ว จากจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ที่เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลเริ่มคลายล็อกดาวน์ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้ ในทางกลับกันก็อาจเป็นการเพิ่มโอกาสความเสี่ยงที่จะเพิ่มปริมาณผู้ติดเชื้อในระลอก 2 ได้ ดังนั้นการเฝ้าระวัง ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ในชุมชนทั่วประเทศ    จากการทำงานของกลุ่ม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ฉายา “นักรบเสื้อเทา” ที่มีอยู่กว่า 1 ล้าน 5 หมื่นราย จึงมีความสำคัญสูงสุด ในการสกัดกั้นการระบาดในระลอกที่ 2

ตลอดเวลากว่า 4 ปี เอไอเอสได้นำความรู้ ความเชี่ยวชาญ พร้อมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ร่วมเสริมขีดความสามารถการทำงานของภาคสาธารณสุขไทย  โดยมุ่งเน้นไปที่สาธารณสุขระดับมูลฐาน ทั่วประเทศ ผ่านการทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ด้วยนวัตกรรมดิจิทัลแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ เครือข่ายสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่มการทำงานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุกระหว่างหน่วยบริการสุขภาพและ อสม. ปัจจุบันมี อสม.ดาวน์โหลดและใช้งานแอปนี้แล้วกว่า 4 แสน 1 หมื่นราย

ล่าสุด เอไอเอส ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลโซลูชันมาสนับสนุนการทำงานของ อสม. นักรบเสื้อเทาเพิ่มเติม ได้แก่

            1) พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ “คัดกรองและติดตาม COVID-19”​ บนแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์

           สนับสนุนแนวทางการทำงาน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่จัดกิจกรรม “อสม.เคาะประตูบ้านต้านโควิด-19”  โดยพัฒนาฟีเจอร์คัดกรองและติดตามโควิด-19 บน แอปพลิเคชั่น อสม.ออนไลน์ เพื่อให้ อสม.ใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังความเสี่ยง คัดกรอง และติดตามผลกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน ด้วยรูปแบบรายงานดิจิทัลที่ อสม.สามารถบันทึกได้ง่าย สะดวก รวดเร็วในการติดตามผล  และเรียลไทม์ ทางมือถือ ทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รพ.สต. สาธารณสุขอำเภอ และสาธารณสุขจังหวัด สามารถติดตามข้อมูลรายละเอียดการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่อื่นๆ, สมาชิกในบ้านที่อาจมีความเสี่ยง  รวมถึงการติดตามกลุ่มเฝ้าระวัง 14 วัน ในแต่ละครัวเรือนที่ได้อย่างเป็นระบบและทันต่อเหตุการณ์ 

            พร้อมเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ รายงานการคัดกรองผู้มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิต เพื่อช่วยติดตาม ผู้ที่มีความเสี่ยงปัญหาสุขภาพจิตจากสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งแสดงคำแนะนำที่เหมาะสม เพื่อให้ อสม. ได้แนะนำความรู้ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเบื้องต้น รวมทั้งเป็นเครื่องมือเชิงรุกในการค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อนำเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงที่ โดยจะเปิดให้บริการฟีเจอร์นี้ภายในเร็วๆนี้

          2) มอบ “ซิมฮีโร่” เพื่อสมาชิก อสม. ให้ใช้งานแอปฯ อสม. ออนไลน์ ได้ไม่สะดุด เน็ตไม่รั่ว ค่าโทรราคาพิเศษ

            สนับสนุน “ซิมฮีโร่” ให้แก่ อสม. ทั่วประเทศ มอบอินเทอร์เน็ตสำหรับใช้งานบนแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ได้ฟรีไม่จำกัด ที่ความเร็ว 1 Mbps  เล่นเน็ตไม่รั่ว ที่ความเร็ว 128 kbps โทรทุกเครือข่ายวินาทีละ 2 สตางค์ ทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง นานสูงสุด 1 ปี

          3) มอบฟรี ประกันภัย ให้นักรบเสื้อเทา เพิ่มความอุ่นใจในการปฏิบัติงาน

           มอบสิทธิ์ความคุ้มครองประกันภัยให้ อสม. ที่มีอายุระหว่าง 16 – 85 ปี ทั่วประเทศ ฟรี! โดยมีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน คุ้มครองการเสียชีวิตทุกกรณี 50,000 บาท และรับความคุ้มครองชดเชยรายวัน 400 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 15 วัน เมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โดยสามารถรับลิงก์ลงทะเบียนความคุ้มครองได้โดยกด *268*เลขบัตรประชาชน 13 หลัก# และกดเครื่องหมายโทรออก สมาชิก อสม. ที่ลงทะเบียนถูกต้องจะได้รับข้อความ SMS ยืนยันความคุ้มครอง ระยะเวลาเอาประกันภัย 30 วัน (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) จากบริษัทประกันฯ ภายในระยะเวลา 5 วันทำการ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ เอไอเอส ได้นำความรู้ความเชี่ยวชาญที่มีอยู่มาสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทรงประสิทธิภาพผ่านแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ และยังได้พัฒนาฟีเจอร์คัดกรองและติดตามโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ อสม.ใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังความเสี่ยง คัดกรอง และติดตามผลกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในชุมชน พร้อมสนับสนุนระบบสื่อสาร ซิมฮีโร่ พร้อมแพ็กเกจ และความคุ้มครองประกันภัยให้สมาชิก อสม.

เชื่อมั่นว่า แอปฯ อสม.ออนไลน์ พร้อมฟีเจอร์ใหม่เฝ้าระวังไวรัสโควิด-19  จะเป็นการติดอาวุธดิจิทัลให้กับเจ้าหน้าที่นักรบเสื้อเทา สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการนำพาประเทศก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วยดี

ซีพีเอฟ สนับสนุน TRBN รณรงค์แยกขยะพลาสติก ผ่านโครงการ”ส่งพลาสติกกลับบ้าน”

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ สนับสนุน เครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Responsible Business Network หรือ TRBN ภาครัฐและภาคประชาชน ริเริ่มโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” เพื่อร่วมรณรงค์ให้ผู้บริโภคแยกขยะพลาสติกที่ใช้แล้วนำไปรีไซเคิลหรือนำไปเพิ่มมูลค่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะในประเทศไทย ตามรายงานของกรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ล่าสุดพบว่า ขยะที่เป็นบรรจุภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% จาก 5,500 ตันต่อวันเป็น 6,300 ตันต่อวัน จากการใช้บริการรับส่งอาหารที่มากขึ้นถึง 3 เท่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่ทำงานจากที่บ้านและเป็นช่วงปิดภาคเรียนของโรงเรียน

ซีพีเอฟในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติก โดยเฉพาะการปนเปื้อนจากพลาสติกอนุภาคขนาดเล็ก (ไมโครพลาสติก) ในทะเล จึงได้เริ่มต้นลดการใช้พลาสติกตั้งแต่ต้นทาง และประกาศนโยบายและแนวทางปฏิบัติด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยังยืน ใช้ทรัพยากรในการผลิตบรรจุภัณฑ์อย่างคุ้มค่า และลดปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะขยะพลาสติก เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัท มีส่วนร่วมในการบรรเทาผลกระทบเชิงลบและก่อให้เกิดการสร้างผลเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความปลอดภัยทางอาหารเพื่อความมั่นใจของผู้บริโภค

โครงการนี้เป็นความร่วมของภาคเอกชน ภาครัฐและภาคประชาชน ในการรณรงค์และให้ความรู้กับผู้บริโภคในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางและนำมารวบรวมที่จุดรับพลาสติก (drop point) 10 แห่ง ที่ตั้งไว้ในบริเวณที่แต่ละบริษัทกำหนด โดยรับพลาสติก 7 ชนิด ได้แก่ ถุง กล่องใส่อาหาร ถ้วย แก้วน้ำ ขวด ฝาขวด ฟิล์ม และต้องทำให้พลาสติกสะอาดและแห้ง ซึ่งเริ่มนำร่องบนถนนสุขุมวิทเพื่อเป็นต้นแบบการเรียกคืนพลาสติกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรวบรวมและส่งต่อให้กับบริษัทผู้รับรีไซเคิล (recycle) หรือนำไปผลิตสินค้าใหม่ (upcyclable) ซึ่งเป็นการเพิ่มสัดส่วนการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในรูปแบบที่เหมาะสม โดยซีพีเอฟ ได้จัดจุดรับพลาสติกที่หน้าร้านซีพี เฟรชมาร์ท เริ่มต้นที่สาขาเพชรบุรี 38/1 (ซอยสุขุมวิท 39)

ที่ผ่านมา มีการนำพลาสติกกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ หรือ รีไซเคิล เพียง 25% ส่วนที่ 75% ไม่ถูก recycle ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากขาดการคัดแยกที่ต้นทาง ถือเป็นการเสียโอกาสในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” นอกจากจะมีเป้าหมายในการเปลี่ยนพฤติกรรมและเกิดวินัยการแยกพลาสติกสะอาดก่อนทิ้งแล้ว ยังต้องการเพิ่มปริมาณพลาสติกที่เรียกคืนมาได้ เพิ่มสัดส่วนการรีไซเคิล ใช้พลาสติกใหม่น้อยลง อันจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการดึงทรัพยากรมาใช้

สำหรับภาคเครือข่ายที่ร่วมริเริ่มโครงการนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ภาคเอกชนชั้นนำผู้ดำเนินธุรกิจรีไซเคิลและนำไปผลิตสินค้าใหม่ เช่น พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ทีพีบีไอ จำกัด (มหาชน) บริษัทแก้วกรุงไทย จำกัด ผู้สนับสนุนจุดรับพลาสติกประกอบด้วย เทสโก้ โลตัส บริษัทเดอะมอลล์ กรุ๊ป สิงห์คอมเพล็กซ์ บริษัทยูนิลิเวอร์ไทย จำกัด บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เดอะคอมมอน เป็นต้น

เอไอเอส เริ่มให้พนง.กลับเข้าที่ทำงาน 50% แบ่งทีมทำงานสลับกันภายใต้มาตรการสุขอนามัยเข้ม

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทฯได้มีการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ช่วงต้น และประกาศแผน BCP กระจายทีม และ กระจายสำนักงาน พร้อมเทคโนโลยีให้พนักงาน WORK FROM HOME มาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน พนักงานสามารถทำงาน เพื่อดูแล ส่งมอบบริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

และจากสถานการณ์ที่พัฒนาดีขึ้นเป็นลำดับ บริษัทจึงประกาศต้อนรับพนักงานกลับเข้าทำงานที่ Office แบบ 50% ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม ด้วยแนวคิด “FIT FUN FAIR ชนะภัยโควิด” ภายใต้มาตรการดูแลด้านสุขอนามัยและการคัดกรองป้องกันขั้นสูงสุด ทั้งในภาพรวมของอาคารสำนักงาน ไปจนถึงการปฏิบัติตัวของพนักงานเองที่ยังคงยึดหลัก Social Distancing เป็นสำคัญ โดยมีรูปแบบการทำงานช่วงคลายล็อค ได้แก่

1. แบ่งพนักงานออกเป็นทีม A,B ที่จะสลับกันเข้าทำงานในสำนักงาน คนละ 2 สัปดาห์ โดยเมื่อครบ กำหนด จะมีการทำความสะอาดแบบ deep cleansing ตามหลักสาธารณสุข ก่อนที่อีกทีมจะเข้าปฏิบัติงาน รวมถึงจัดเวลาเข้างานแบบยืดหยุ่น (Flexy Hour)

2. บริหารรูปแบบการใช้พื้นที่ใหม่ตามหลัก Social Distancing ได้แก่ จัด Work Station แบบเว้นระยะห่างระหว่างทีม, เน้นการประชุมและ Brainstorm ผ่านทาง Online เป็นหลัก, แบ่งช่วงเวลาการใช้ห้องอาหารและพื้นที่ส่วนกลางที่จำเป็น เพื่อลดความหนาแน่น

3. คัดกรองและดูแลด้านสุขอนามัยขั้นสูงสุด เช่น การวัดอุณหภูมิร่างกาย, การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา, การทำความสะอาด work station และพื้นที่อาคารสำนักงานทุก 30 นาที

4. ยังคงให้พนักงานงดการเดินทางทั้งใน และ ต่างประเทศ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

ธ.ก.ส.เตือน ระวัง SMS แอบอ้าง หลอกให้โอนเงิน

ธ.ก.ส. เตือนเกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังมิจฉาชีพส่ง SMS แอบอ้าง ธ.ก.ส. แจ้งการโอนเงินผิดและระบุบัญชีให้โอนเงินคืน ขอหมายเลขบัตรประชาชน ขอเลขที่บัญชีเงินฝาก ขอรหัส OTP หรือรหัสบัตร ATM

ย้ำ! ธนาคารไม่มีนโยบายส่ง SMS ให้กระทำการดังกล่าว อย่าหลงเชื่อโอนเงิน หรือให้ข้อมูล เป็นอันขาด

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องจาก ในเดือน พ.ค. ธนาคารมีการจ่ายเงินตามมาตรการต่าง ๆ มากมาย เช่น การจ่ายเงินเยียวยาเราไม่ทิ้งกัน การจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกร 15,000 บาท เดือนละ 5,000 บาท 3 เดือน การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การจ่ายเงิน อสม. และการจ่ายเงินประกันรายได้ปาล์มน้ำมัน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพใช้เหตุดังกล่าวหลอกลวง แอบอ้าง เพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง ด้วยการส่ง SMS แจ้งการโอนเงินผิดบัญชีแล้วระบุบัญชีให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไปโอนเงินคืน การจัดส่ง SMS ขอหมายเลขบัตรประชาชน ขอเลขที่บัญชีเงินฝาก ขอรหัส OTP หรือแม้กระทั่งการขอรหัสบัตร ATM ซึ่ง ธ.ก.ส.ขอย้ำว่า ธนาคารไม่มีนโยบายส่ง SMS ให้กระทำการดังกล่าวและขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป อย่าหลงเชื่อโอนเงินหรือให้ข้อมูลอื่นใดเด็ดขาด

หากพบเห็นการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โปรดเก็บข้อมูล วิธีการหลอกหลวง แจ้งมายังธนาคาร หรือ โทรศัพท์สอบถามพนักงานธนาคารที่ท่านคุ้นเคย หรือแจ้งข้อมูลให้กับ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพี่อธนาคารจะดําเนินการเอาผิด ตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป