Home Blog Page 32

นิด้าโพลเผย คนสูงวัยเข้าวัดน้อยลง ชอบอยู่บ้าน หนึ่งในสี่มีการพนันเป็นงานอดิเรก

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ร่วมกับ ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ (Center for Aging Society Research – CASR) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) จัดทำผลสำรวจความคิดเห็น เรื่อง “ผู้สูงวัยไทยใส่ใจสังคมมากน้อยแค่ไหน” พบประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้สูงวัยเข้าวัดน้อยลง

โดยผลสำรวจระบุว่า เมื่อถามถึงพฤติกรรมของผู้สูงวัย ต่อกิจกรรมที่ทำบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน พบว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ทำกิจกรรมประจำวันอยู่ภายในบ้าน และมีประมาณ 1 ใน 4 ที่มีงานอดิเรกที่อาจมีการพนัน หนึ่งครั้งต่อเดือน

กิจกรรมที่ผู้สูงวัย ไม่เคยทำในชีวิตประจำวัน เกินกว่าครึ่ง ร้อยละ 65.36 ระบุว่า กิจกรรมนอกบ้านกับครอบครัว (เช่น ดูหนัง ทานข้าว) และร้อยละ 54.08 งานอดิเรกที่อาจมีการพนันขันต่อ เช่น ชนไก่ แข่งนกขัน เล่นหวย/ซื้อสลากกินแบ่ง

ส่วนกิจกรรมที่ผู้สูงวัย ทำทุกวันในชีวิตประจำวัน เกินกว่าครึ่ง ได้แก่ ร้อยละ 80.96 ระบุว่า กิจกรรมภายในบ้านที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก เช่น ฟังวิทยุ ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์/หนังสือ รองลงมา ร้อยละ 74.96 ระบุว่า กิจกรรมในบ้านที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหาร ทำสวนครัว/สวนดอกไม้ และร้อยละ 64.64 ระบุว่า ออกกำลังกาย (เช่น การเดิน โยคะ แอโรบิค ว่ายน้ำ เต้นรำ/รำไทย)

สำหรับประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ พบว่า ผู้สูงวัยเข้าวัดน้อยลง โดยการเข้าร่วมทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชนของผู้สูงวัย โดย ร้อยละ 83.52 ระบุว่า ไม่เข้าร่วมทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชน ในขณะที่ ร้อยละ 16.48 ระบุว่า เข้าร่วม ทำงานอาสาสมัครในวัด ศาสนสถาน หรือในชุมชน

ส่วนการใช้สื่อทางสังคม หรือ โซเชียล มีเดีย ของผู้สูงวัย พบว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.72 ระบุว่า ใช้ Line, รองลงมา ร้อยละ 30.56 ระบุว่า ใช้ Facebook, ร้อยละ 29.60 ระบุว่า ใช้ YouTube, ร้อยละ 4.80 ระบุว่า ใช้ Instagram และร้อยละ 3.44 ระบุว่า ใช้ Twitter

คลังขอความร่วมมือผู้สละสิทธิคืนเงินมาตรการเยียว 5 พันบาท

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเท็จจริงกรณีที่ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่เอกสารการเรียกคืนเงินจากกลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท โดย ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2563 มีผู้สละสิทธิ 10,121 ราย มีผู้คืนเงินให้กระทรวงการคลังครบถ้วนแล้ว 2,455 ราย คงเหลือผู้ที่ยังไม่คืนเงิน 7,666 ราย กระทรวงการคลังจึงได้มีหนังสือแจ้งให้กลุ่มผู้สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ดังกล่าว คืนเงินเยียวยาที่ได้รับไปแล้วทั้งหมดต่อกระทรวงการคลัง ซึ่งหลังจากมีหนังสือออกไปแล้ว ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 มีผู้คืนเงินเพิ่มเติม 84 ราย ดังนั้น เพื่อให้การสละสิทธิเสร็จสมบูรณ์ จึงขอความร่วมมือจากผู้แสดงความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท คืนเงินที่ได้รับไปเต็มจำนวนให้แก่กระทรวงการคลัง โดยสามารถดำเนินการผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ผ่าน Mobile Banking Internet Banking หรือ ATM ของธนาคารใดก็ได้ หรือนำหนังสือที่ได้รับไปติดต่อที่สาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศ

โฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยอีกว่า ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมากที่การยื่นความประสงค์สละสิทธิมาตรการเยียวยา 5,000 บาท จะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจหรือมีผู้อื่นดำเนินการแทนโดยที่เจ้าตัวไม่รับทราบหรือยินยอม เนื่องจากการสละสิทธิจะต้องดำเนินการที่หน้าเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ซึ่งมีหลายขั้นตอน และจะต้องระบุข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลต่างๆ ที่ให้ไว้ในการลงทะเบียน รวมทั้งมีการยืนยันตัวตนผ่าน One Time Password หรือ OTP ที่ถูกส่งไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการลงทะเบียนอีกด้วย

เงาหุ้น : มุมมอง บลจ.พรินซิเพิล

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 6 ก.ค.63 ปิดที่ 1,373.22 จุด เพิ่มขึ้น 0.95 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 81,868.19 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,387.92 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 69 บาท บวก 1.25 บาท, PTT ปิด 40.25 บาท บวก 1 บาท, EA ปิด 48 บาท บวก 4.25 บาท, STA ปิด 30.25 บาท ลบ 0.50 บาท และ SUPER ปิด 0.98 บาท ลบ 0.06 บาท

หุ้นไทยดีขึ้นเล็กน้อยตามหุ้นต่างประเทศ หลังข้อมูลเศรษฐกิจโลกออกมาดีกว่าคาด แต่ยังโดนกดดันด้วยการแพร่ระบาดของโควิด-19ในต่างประเทศ

มีมุมมอง จาก “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล ในงานเปิดตัวกองทุนใหม่ พรินซิเพิล โกลบอล เอ็ดดูเคชั่น เทค ที่มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเหลือปีนี้ ว่า มีโอกาสปรับตัวขึ้น โดยมองเป้าหมายสูงสุดไว้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่าขึ้นกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและท่องเที่ยวและไม่เกิดโควิด-19 รอบ 2

ทั้งนี้ มองว่าหากเปิดประเทศให้ต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวได้ช้า และโควิด-19 ระบาดรอบ 2 ที่จะทำให้ไทยเข้าสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง รวมถึงตัวเลขการจ้างงานหากยังน่ากังวล และราคาน้ำมันลงแรง ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสลงมาแนวรับที่ 1,200 จุด แต่การปรับลงไม่รุนแรง

เหมือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีนักลงทุนรอซื้อหุ้นในราคาถูก “ตลาดยังผันผวนได้อีก เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยว กว่าจะกลับมาเท่าเดิมเหมือนก่อนโควิด คงใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ปี หากภาครัฐจัดโปรแกรมต่างชาติเที่ยวแบบ Travel Bubble สำเร็จไม่เห็นโควิดรอบ 2 ทุกอย่างคลี่คลาย คงเห็นหุ้นไทยขึ้นไปได้ที่ 1,500 จุดหรือมากกว่า ถ้าสถานการณ์กลับกันจะเห็นแนวรับที่ 1,200 จุด”

สำหรับหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนได้แก่ หุ้น Defensive หรือหุ้นปันผลดี เช่น โรงไฟฟ้า ประปา สาธารณูปโภคต่างๆ และกลุ่มที่มีความผันผวนน้อยจากผลกระทบโควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล อาหาร ค้าปลีก แต่ให้ชะลอการลงทุนกลุ่มแบงก์พาณิชย์โดยให้ติดตามหนี้ NPL ประกอบกัน รวมถึงหุ้นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว

นอกจากนี้แนะลงทุนกอง REIT ประเภทโลจิสติกส์, ดาต้าเซ็นเตอร์, ออฟฟิศและโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนจากการปันผล 4–6% รายได้จากการเช่ายังเหมือนเดิมไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด–19!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เงาหุ้น : ลุ้นหุ้นช็อปช่วยชาติ

สัปดาห์นี้ รอลุ้น ครม.ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ โดยเฉพาะในการประชุม ครม.เศรษฐกิจวันที่ 10 ก.ค.นี้ หลังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเร่งหามาตรการกระตุ้นการบริโภคและการท่องเที่ยวเพิ่มจากปัจจุบัน

โดยล่าสุดเริ่มเห็นกระแสมาตรการรอบใหม่ เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้ของ SMEs (Loan Payment Holiday) เพิ่มเติม, การช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการเข้าถึง Soft loan ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้คนรวยหรือผู้ที่มีกำลังซื้อสูงออกมาใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงมาตรการช้อปช่วยชาติ ซึ่งกระทรวงการคลังระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบของมาตรการช้อปช่วยชาติ

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า หากมีการออกมาตรการช้อปช่วยชาติ เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยหากพิจารณาสถิติย้อนหลัง ทุกครั้งที่ภาครัฐออกมาตรการช้อปช่วยชาติตั้งแต่ปี 2558-2561 พบว่าสามารถเพิ่มเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจราว 9,000-22,500 ล้านบาท หรือราว 0.06-0.15% ของ GDP

หากพิจารณาจากอดีต เฉพาะช่วงที่มีมาตรการช้อปช่วยชาติเต็มรูปแบบ 3 ปี (ปลายปี 2558-2559 และ 2560) ระยะเวลาดำเนินมาตรการในแต่ละช่วง 7-23 วัน พบว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงช้อปช่วยชาติ Outperform ได้ดีให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.81%

ส่วนกลุ่มหุ้นที่ Outperform ได้ดีกว่าตลาด คือ กลุ่มท่องเที่ยว 3.90%, ค้าปลีก 1.43%, ขนส่ง 1.22% และอสังหาฯ 1.14% เป็นต้น โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่มัก Outperform ตลาดได้ดี ในช่วงช้อปช่วยชาติ คือ CENTEL 6.3%, BJC 4.8%, LH 4.2%, ERW 4.0%, AP 3.1%, AOT 2.3%, CPALL 2.0%, CPN 1.2% ตามลำดับ

ดังนั้น จึงเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวมีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในช่วงรอมาตรการช้อปช่วยชาติที่มีโอกาสมาเร็วขึ้นในปีนี้

รวมถึงตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) มิ.ย.63 อยู่ที่ 49.2 จุด เพิ่มขึ้น 2.1% mom ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 2
จึงคาดว่า แนวโน้ม SSSG กลุ่มน่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดแล้ว จากผลกระทบปิดสาขาส่วนใหญ่ ใน 2Q63 และเชื่อว่ากลุ่มสินค้าจำเป็นจะฟื้นตัวได้มีเสถียรภาพขึ้น โดยเฉพาะหุ้น CPALL และ SPVI!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เงาหุ้น : หุ้น STGT–RBF

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 3 ก.ค.63 ปิดที่ 1,372.27 จุด ลดลง 1.86 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 71,138.57 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 383.71 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 67.75 บาท บวก 7.25 บาท, STA ปิด 30.75 บาท บวก 2.75 บาท, GULF ปิด 38.75 บาท บวก 1 บาท, SUPER ปิด 1.04 บาท บวก 0.08 บาท และ PTT ปิด 39.25 บาท บวก 0.25 บาท

หุ้นไทยแกว่งขึ้นลงทั้งในแดนบวกและแดนลบ คาดหวังวัคซีนป้องกันโควิด-19 ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ออกมาดี ทำให้เป็นเซนติเมนต์ที่ดีต่อเศรษฐกิจโลก ขณะที่นักลงทุนในภาพรวมยังไม่มีความมั่นใจในทิศทางตลาด จึงมุ่งเทขายทำกำไรเป็นรอบๆ

หุ้น STGT บวกแรงต่อเนื่อง จนราคาขึ้นมาสูงกว่าราคาเป้าหมายหรือราคาที่เหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่สำนักโบรกเกอร์ต่างๆให้ไว้ก่อนหน้านี้ โดย บล.ทิสโก้ ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมไว้ในช่วง 42-52 บาท ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมายปี 63 ที่ 47 บาท และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ไว้ที่ 45 บาท และ บล.โนมูระ พัฒนสิน ให้ราคาเป้าหมายปี 63-64 ไว้ที่ 40 บาท

ขณะที่หุ้นเล็กแต่โดดเด่น บมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) ร้อนแรงวิ่งชนซิลลิ่ง มาปิดที่ 9.75 บาท บวก 1.25 บาทหลังเข้า SET100 โดย บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 9.50 บาท คาดการณ์มีอัตราการเติบโตของกำไรที่สดใสในอนาคต โดยคาดว่าค่าเฉลี่ย CAGR ใน 2 ปีข้างหน้าอยู่ในอัตราสูงเป็น 30% จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จในการคุมต้นทุนได้ดี

บริษัทยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เป็นเงินสดสุทธิ (Net Cash Position) และทีมผู้บริหารมีความสามารถ ขณะที่มีโครงการในต่างประเทศที่จะเสริมการเติบโตในอนาคตคือ โรงงานเกล็ดขนมปังป่นแห่งใหม่ที่เวียดนามและอินโดนีเซีย เริ่มได้ปีนี้และการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งโรงงานแห่งใหม่ที่เมือง Surabaya อินโดนีเซียให้ราคาพื้นฐาน ที่ 9.50 บาท

ด้านผู้บริหารเผย มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้ามาขอเข้าเยี่ยมชมโรงงานเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน (IPO) ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ลงทุนในปี 64 สำหรับงานก่อสร้างโรงงานอาหารทะเลเพื่อการส่งออก ในเมืองซูราบายา อินโดนีเซีย เฟส 2 ราว 200–250 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ลงทุนในโครงการใหม่อื่นๆในอนาคต!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เอไอเอส ปลื้มยอดผู้เข้างาน AIS 5G Thailand Virtual Expo ทะลุ 9 แสนคน

งาน AIS 5G Thailand Virtual Expo มหกรรมสินค้าโมบาย อาหาร และไลฟ์สไตล์ บนโลกออนไลน์เสมือนจริง มียอดผู้เข้าชมออนไลน์ ตลอด 5 วันของการจัดงาน รวมกว่า 9.7 แสนคน โดย 48% มาจากกรุงเทพมหานคร และ 52% จากแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสการขาย และเปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนทั่วประเทศเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างไร้พรมแดน

            นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า “ เอไอเอสยินดี และภูมิใจที่ได้มีโอกาสนำแพลตฟอร์ม Virtual Expo มาใช้ในการจัดงานเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ให้ระบบภาพและเสียงแบบมัลติมีเดีย อินเตอร์แอคทีฟ 360 องศา มอบประสบการณ์การช้อปที่แปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ ได้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในเอ็กซ์โปจริงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สอดคล้องกับ New Normal ที่เน้นดูแลสุขอนามัย ความปลอดภัย และรักษาระยะห่าง และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทุกคนทั่วประเทศสามารถเข้าชมงาน และเข้าถึงสินค้าและบริการ โดยไม่ต้องเดินทางมายังสถานที่จริง การจัดงานครั้งนี้บ่งชี้ถึงศักยภาพและถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการจัดงานในรูปแบบ Virtual Expo

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส 

เอไอเอส ขอขอบคุณพันธมิตรทุกภาคส่วน ทั้งสมาร์ทดีไวซ์ SME และผู้ค้ารายย่อย กว่า 500 ร้านค้า ที่นำสินค้ามาร่วมจำหน่าย นอกจากช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า ดึงดูดความสนใจ และกระตุ้นการจับจ่ายให้กลับมาคึกคักแล้ว ยังช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจประเทศกลับมาสดใสอีกครั้ง ซึ่ง เอไอเอส จะมุ่งมั่นพัฒนา Virtual Platform ในยุค AIS 5G ให้มีศักยภาพสูงมากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับภาคธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงของผู้บริโภคได้อย่างโดนใจ”

กรมบัญชีกลางยัน ข้าราชการได้สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล ไม่เปลี่ยนแปลง

นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อความเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ และอ้างถึงการเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการว่า “ข่าวใหม่ ที่มนุษย์เงินเดือนภาครัฐ น่าจะรับทราบและเตรียมตัวเตรียมใจรับมือ 1.ค่ารักษาพยาบาลจะเบิกได้เพียงบางส่วน หรือราว 65 % ที่เหลือต้องชำระเพิ่มเอง หลวงไม่ช่วยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ การใช่จ่ายเท่าที่จำเป็นจริง ๆ (จริง ๆ น่ะ..เพราะเราเริ่มเข้าสู่ยุคเผาจริงแล้ว) เก็บเงินไว้ให้มากที่สุดและนานที่สุด เพื่อไม่ต้องเป็นหนี้โดยใช่เหตุ

วิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง

 2.แนวโน้มยากจะคาดเดา แต่การที่รัฐต้องเจียดงบประมาณและกู้เงินมาช่วยวิกฤตโควิดและฟื้นฟูเศรษฐกิจตามโครงการต่าง ๆ เป็นเงินมหาศาล จนนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นการยากที่กรมสรรพกรจะจัดเก็บรายได้เข้าคลังตามเป้าและจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ได้ 3. เมื่อถึงจุดทางตัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะทุกวันนี้ งบเงินเดือนข้าราชการมีเปอร์เซ็นต์สูงขึ้นทุกปี ด้วยเหตุผลนี้ ข้าราชการควรเตรียมตัวรับสภาพ โดยเฉพาะข้าราชการที่มีรายรับจากเงินเดือน เพียงอย่างเดียว” ซึ่งเป็นข้อมูลที่บิดเบือน และก่อให้เกิดความตื่นตระหนก นั้น

ทั้งนี้กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแล เกี่ยวกับสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ขอชี้แจงว่า ข้อความข้างต้นไม่เป็นความจริง และขอเตือนให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว

กรมบัญชีกลางยืนยัน สิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวยังคงได้รับสิทธิเช่นเดิม 

หากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสิทธิสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ กรมบัญชีกลางจะแจ้งให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ติดตามข่าวสารจากช่องทางต่าง ๆ ของกรมบัญชีกลางเท่านั้น

เงาหุ้น : หุ้นน้องใหม่ STGT กระฉูด

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 2 ก.ค.63 ปิดที่ 1,374.13 จุด เพิ่มขึ้น 24.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 84,485.85 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 613.50 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STGT ปิด 60.50 บาท บวก 26.50 บาท, STA ปิด 28 บาท ลบ 1.25 บาท, PTT ปิด 39 บาท บวก 0.50 บาท, SCC ปิด 390 บาท บวก 18.00 บาท และ MINT ปิด 21.30 บาท บวก 1.20 บาท

ราคาหุ้น บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) เปิดและปิดเทรดวันแรกที่ 60.50 บาท เพิ่มขึ้น 26.50 บาท จากราคา IPO ที่ 34 บาท เหนือจอง 77.94% โดยเปิดตลาดที่ 55.25 บาท สูงสุด 60.75 บาท ต่ำสุด 55.25 บาท

มีบทวิเคราะห์น่าสนใจ “อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า มองดัชนีหุ้นไทยครึ่งปีแรก ผันผวนแกว่งตัวขึ้นลงมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40%

ขณะที่ประเมินทิศทางตลาดในช่วงครึ่งปีหลังว่า จะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้ 2.ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น

3.ช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่างๆจะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่างๆสิ้นสุดลง และ 4.ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระทบต่ออัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)

นักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทย มองกรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะน่าทยอยสะสมอีกครั้ง โดยธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนครึ่งปีหลังคือ หุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอก 2 รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี

คือหุ้น BAM, CBG และ CPALL ผสานกับหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC

ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE!!

ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

ก.ล.ต. เสนอร่างปรับปรุงแก้ไขพรบ.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ในปี 2564 ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ จากการเพิ่มสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ เป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่แรงงานในระบบส่วนใหญ่ยังมีรายได้หลังเกษียณที่ไม่เพียงพอ การออมเพื่อการเกษียณจึงเป็นวาระแห่งชาติที่มีการบรรจุทั้งในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12     และแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ในปัจจุบัน PVD ซึ่งเป็นแหล่งเงินออมสำคัญรองรับการเกษียณแก่ลูกจ้าง ยังมีสมาชิก     เพียง 3 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนลูกจ้างภาคเอกชนในระบบ* และมีจำนวนสมาชิกที่ได้รับเงินหลังเกษียณมากกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินขั้นต่ำที่พึงมี** เพียงร้อยละ 24 ของจำนวนสมาชิก PVD เท่านั้น”

ก.ล.ต. จึงได้เสนอหลักการการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 เพื่อเพิ่มศักยภาพ PVD ให้รองรับการเกษียณของลูกจ้างและช่วยผลักดันให้แรงงานในระบบมีรายได้หลังเกษียณที่เพียงพอ ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบในการประชุมคณะกรรมการ ก.ล.ต. ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2563 โดยมีหลักการสำคัญ 4 ด้าน ดังนี้  

  1. สนับสนุนให้นายจ้างที่มี PVD เป็นสวัสดิการอยู่แล้ว จัดให้ลูกจ้างสมัครเป็นสมาชิกได้โดยอัตโนมัติเว้นแต่ลูกจ้างจะปฏิเสธ
  2. ส่งเสริมกลไกที่ช่วยให้สมาชิกมีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสม โดยกำหนดให้กองทุนเลือกนโยบายการลงทุนให้แบบอัตโนมัติสำหรับสมาชิกที่ไม่เลือกนโยบายการลงทุนด้วยตนเองที่สอดคล้องกับคุณลักษณะของสมาชิก เช่น อายุ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
  3. เพิ่มประสิทธิภาพ PVD เช่น การปรับปรุงกลไกการคุ้มครองสมาชิกให้ได้รับความเป็นธรรม โดยกำหนดคุณสมบัติ บทบาทหน้าที่ ของคณะกรรมการกองทุน การแจ้งให้สมาชิกทราบถึงความเพียงพอของเงินออม โดยการนำเสนอการคาดการณ์เงินออมยามเกษียณ การกำหนดมาตรฐานข้อบังคับและการรับจดทะเบียน PVD เพื่อลดภาระกับภาคเอกชน และการเพิ่มความยืดหยุ่นในการออมให้ลูกจ้าง
  4. การพัฒนา PVD เพื่อรองรับร่าง พ.ร.บ. กองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ซึ่งเป็นกองทุนการออมภาคบังคับของแรงงานภาคเอกชนในระบบ

เงาหุ้น : หุ้น STA–STGT

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 1 ก.ค.63 ปิดที่ 1,349.44 จุด บวก 10.41 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 53,380.74 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,306.40 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด STA ปิด 29.25 บาท บวก 2 บาท, PTT ปิด 38.50 บาท บวก 0.75 บาท, BAM ปิด 25.25 บาท บวก 0.95 บาท, KCE ปิด 23.70 บาท บวก 0.90 บาท และ PTTEP ปิด 95.50 บาท บวก 3.75 บาท

ราคาหุ้น บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ดีดขึ้นแรง ท่ามกลางการซื้อขายหนาแน่น รับหุ้นลูกที่จะเข้าเทรดในตลาดหุ้นวันแรกวันที่ 2 ก.ค. บล.หยวนต้าระบุว่า STA ถือหุ้น 56% ใน บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ซึ่งทำธุรกิจถุงมือยางที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดโควิด-19 หากอิงราคา IPO ของ STGT ที่ 34 บาท เทียบเท่า NAV ต่อหุ้น STA ที่ 25.11 บาท โดยทุก 5 บาทของ STGT ที่เปลี่ยนแปลงเทียบกับราคา IPO จะส่งผลต่อ NAV ของ STA ราว 2 บาทต่อหุ้น ขณะที่มูลค่าธุรกิจยางธรรมชาติของ STA ประเมินเบื้องต้นอิง PE ที่ 12 เท่า อยู่ที่ 11 บาท

ขณะที่ STGT จะเริ่มซื้อขายใน SET วันที่ 2 ก.ค.ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดธุรกิจ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หลังเสนอขายหุ้นไอพีโอ 438.78 ล้านหุ้น ในราคา 34 บาท/หุ้นกลับมาที่ภาพรวมตลาดหุ้น “ณัฐชาต เมฆมาสิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ มองตลาดเดือน ก.ค.เป็นลักษณะเทรดดิ้ง คือ เมื่อดัชนีปรับขึ้น นักลงทุนจะขายทำกำไรออกมา และเมื่อดัชนีปรับตัวลง ก็จะกลับเข้าซื้อ มองระดับแนวต้านสำคัญและเป็นจังหวะในการขายหุ้นออกคือระดับ 1,400 จุด ส่วนแนวรับแรกที่เข้าซื้อจะอยู่ที่ 1,310 จุด

ทั้งนี้ หุ้นไทยยังคงขับเคลื่อนด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย ที่มีสัดส่วนกว่า 50% ดังนั้นการเลือกลงทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กหรือ sSET จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ

แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้น Growth stock มี 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ BGRIM, GPSC, RATCH 2. กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้แก่ CPF, TFG, RBF 3.กลุ่มบริหารสินทรัพย์ เลือก JMT

นอกจากนี้ยังแนะหุ้น PTG หลังปลดล็อกเคอร์ฟิวทำให้การเดินทางกลับมาทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึง SFLEX ซึ่งผลิตแพ็กเกจจิ้งที่อิงกับสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ