Home Blog Page 24

เอไอเอส จัดเต็มสิทธิพิเศษดูแลสุขภาพให้ลูกค้า หนุนคนไทยป้องกันก่อนรักษา

นางบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล Head of Customer & Service Management  บริษัท AIS เปิดเผยว่า คนไทยหันมาใส่ใจรักสุขภาพและดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงเพื่อสู้กับภัยโรคร้ายมากขึ้นในช่วงโควิด-19 แพร่ระบาด เอไอเอสจึงได้ขยายแกนสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น คือ แกนเพื่อสุขภาพที่ดี (Well-being) เพื่อส่งเสริมให้คนไทยทุกคนมีสุขภาพดี ป้องกันตัวเองก่อนรักษา โดยผสานความร่วมมือกับพันธมิตรวงการแพทย์และความงาม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ SME นำเสนอสิทธิพิเศษด้านสุขภาพแบบ ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการปรึกษาแพทย์ การตรวจเช็คประเมินสุขภาพ การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ไปจนถึงกิจกรรมผ่อนคลายความตึงเครียด เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าเอไอเอสได้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างสะดวกและคุ้มค่ายิ่งขึ้น

บุษยา สถิรพิพัฒน์กุล Head of Customer & Service Management  บริษัท AIS

โดยสิทธิพิเศษแกนสุขภาพ 5 ด้าน เชื่อมโยงความสมดุลของสุขภาพและความงาม ครอบคลุมการดูแลสุขภาพทั้งภายนอกและภายในแบบองค์รวม ประกอบด้วย

1. Health Care Product  ส่งต่อคุณภาพสมุนไพรไทยสู่คนไทย จับมือกระทรวงสาธารณสุข และกรมแพทย์แผนไทย คัดสรรที่สุดของผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรไทยและสินค้าออร์แกนิค ในกลุ่ม Healthy Aging หรือกลุ่มสินค้าประเภท ป้องกันดูแลสุขภาพและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและนานาชาติ การันตีด้วยรางวัล Prime Minister Herbal Awards (รางวัลสมุนไพรดีเด่นระดับชาติ) และ Premium Herbal Products (รางวัลสมุนไพรคุณภาพ) อาทิ ถังเช่าพลัส, NaturalCode, เซียงเพียว, ช่อคูน, La vita, P80 และ Dii Supplements ฯลฯ มอบสิทธิพิเศษส่วนลดให้ลูกค้าเอไอเอส, เอไอเอส ไฟเบอร์ และเซเรเนด ได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพฝีมือคนไทยได้สะดวกยิ่งขึ้นและคุ้มค่ายิ่งขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการดูแลสุขภาพด้วยธรรมชาติจากสมุนไพรไทย

2. Health Care Service & Solution เอาใจลูกค้าเซเรเนดที่ชื่นชอบการดูแลสุขภาพแนวใหม่ โดยจับมือ Bangkok Anti Aging Center (BAAC) ศูนย์การแพทย์ชะลอวัยและความงามชั้นนำของไทย และ Panprapa Clinic คลินิกเวชกรรมความงามแบบครบวงจร มอบสิทธิพิเศษส่วนลดโปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพ Immune Booster Drip Vitamin Program และ Magedose VITAMIN C ในราคาพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าเซเรเนดได้เติมวิตามินเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและปรับสมดุลของร่างกายให้แข็งแรง พร้อมรับมือโควิด-19

3. Preventive Health Checking ตรวจเช็คประเมินสุขภาพร่างกายด้วยบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัย จากโรงพยาบาลชั้นนำของไทย ได้แก่ โรงพยาบาล          บำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลพระราม 9 ที่จะช่วยให้ทุกการรักษาง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม อาทิ

  • Telemedicine บริการปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านระบบออนไลน์ จับมือ แอปพลิเคชัน Doctor Raksaและแอปพลิเคชัน Doctor A to Z และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มอบทางเลือกใหม่ให้ลูกค้าเอไอเอสและเซเรเนด    ขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายๆ ผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ช่วยประหยัดเวลา ช่วยให้เข้าถึงคุณหมอได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถเดินทางไปพบแพทย์ได้ ซึ่งจะช่วยปลดล็อคข้อจำกัดช่วงเว้นระยะห่างทางสังคม และลดปัญหาการเข้าถึงบุคคลากรทางการแพทย์แม้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค New Normal โดยเริ่มมอบสิทธิพิเศษตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไปในราคาพิเศษ  ลดสูงสุดถึง 50% เริ่มต้นเพียง 100 บาท
  • จับมือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าบริการนอกสถานที่ @Home Service ที่พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการรักษาพยาบาลให้ถึงบ้านในราคาพิเศษ อาทิ บริการทำแผล, บริการเปลี่ยนสายอาหาร, บริการเจาะเลือดและเก็บสิ่งตรวจที่บ้าน และบริการการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังมอบสิทธิพิเศษส่วนลดบริการตรวจ Covid-19 สำหรับลูกค้าเซเรเนด เพียง 5,500 บาท จากเดิม 7,500 บาท โดยเริ่มมอบสิทธิพิเศษตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป
  • จับมือ BDMS Wellness Clinic และ Royal Anti-Aging Center โรงพยาบาลกรุงเทพ ซ.ศูนย์วิจัย มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าบริการตรวจวิเคราะห์ความผิดปกติของร่างกายระดับพันธุกรรม (DNA) เพื่อการวางแผนดูแลสุขภาพ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคในอนาคต ในราคาพิเศษสำหรับลูกค้าเซเรเนด
  • จับมือโรงพยาบาลพระราม 9 มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ สำหรับลูกค้าเอไอเอส, เอไอเอส ไฟเบอร์ และเซเรเนด ในราคาพิเศษเพียง 850 บาท และส่วนลดค่าห้องพักและค่ายา 5-10%

4. Health Insurance โดยร่วมกับ เมืองไทยประกันชีวิต มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเซเรเนดที่สมัครความคุ้มครองโครงการเมืองไทยสุขภาพ Elite Health โดยทุกการชำระเบี้ยประกันรวม 15,000 บาท จะได้รับของขวัญ Central มูลค่า 1,000 บาท นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าเอไอเอส, เอไอเอส ไฟเบอร์ และเซเรเนด ที่สมัครใช้งานแอปสุขภาพ “Pulse by Prudential” รับฟรีกรมธรรม์ประกันชีวิตไวรัส COVID-19 มอบความคุ้มครองรวมสูงสุด 555,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครอง 60 วัน

5. Leisure & Relax ปรนนิบัติร่างกายให้ผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า จับมือ Let’s Relax Spa มอบส่วนลดสูงสุด 20% เพื่อเติมพลังให้กลับมามีความสุข ผ่อนคลายในชีวิตอีกครั้ง เริ่ม 12 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป

“ทั้งหมดนี้ เชื่อมั่นว่าจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มคนรักสุขภาพในยุค New Normal ได้อย่างแน่นอน  ซึ่งในอนาคตเอไอเอสตั้งใจเดินหน้าขยายสิทธิพิเศษด้านสุขภาพที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ผ่านการขยายพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งที่เป็นกลุ่มการแพทย์โดยตรงและพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เพื่อดูแลลูกค้า เอไอเอสทุกกลุ่ม ทุกเจเนอเรชัน ให้เข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่ดีที่สุด” นางบุษยา กล่าวสรุป

 

เคทีซี หั่นเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตกับสินเชื่อบุคคล มีผล 1 ส.ค.

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.63 เคทีซีจะปรับลดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน สอดรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่กำหนดเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ โดยจะปรับลดให้อัตโนมัติ ลูกหนี้ไม่ต้องแจ้งความประสงค์ จากที่ ผ่านมาเคทีซีได้ช่วยลูกหนี้ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ตามมาตรการของกระทรวงการคลังและธปท.แล้วกว่า 3.5 ล้านบัญชีทั่วประเทศครอบคลุมทั้งบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อทะเบียนรถยนต์

ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบัตรกรุงไทย (เคทีซี)

สำหรับการปรับลดเพดานใหม่ครั้งนี้ โดยบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่ากับ 16% ต่อปี  บัตรกดเงินสดเคทีซี พราว และสินเชื่ออเนกประสงค์เคทีซี แคช อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสูงสุดเท่ากับ 25% ต่อปี

นอกจากนี้ ยังได้ปรับลดอัตราผ่อนชำระของบัตรเครดิตเหลือ 5% จากเดิม 10% ตั้งแต่เดือนเม.ย. 63 ไปจนถึงปี 64, อัตรา 8% ในปี 65 และอัตรา 10% ในปี 66 ส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเคทีซี พราว (KTC PROUD) ปัจจุบันได้รับอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ 3% ซึ่งอยู่ในแนวทางการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว

รวมทั้งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว การลดค่างวด 30% เป็นต้น โดยขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 63 ซึ่งมีลูกหนี้ได้เข้าร่วมเปลี่ยนเป็นสินเชื่อระยะยาวภายใต้มาตรการช่วยเหลือของเคทีซีกว่า 4,000 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้กว่า 300 ล้านบาท และมียอดลูกหนี้ที่ขอพักชำระหนี้ 90 ราย

เงาหุ้น : ยังมีความเสี่ยงรอบด้าน

บล.กสิกรไทย ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันทำการที่เหลือของสัปดาห์นี้ ด้านเทคนิค ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,325 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,350 และ 1,365 จุด ตามลำดับ

มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ก.ค. ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ทวีความตึงเครียดมากขึ้น

รวมทั้ง สถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์การเมืองในประเทศ รวมถึงการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียน หลังกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก

ขณะที่ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่าดัชนีหุ้นไทยยังคงผันผวน เผชิญแรงกดดันหลักจากปัจจัยต่างประเทศ มองสัปดาห์นี้ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงต่อ หลังสัญญาณทางเทคนิคส่งสัญญาณไม่ดี ขณะที่ปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเมืองในประเทศที่ต้องติดตาม ทั้งการปรับคณะรัฐมนตรี และการประท้วงของกลุ่มนักศึกษา

แนะกลยุทธ์การลงทุน สำหรับคนที่ไม่มีหุ้น ให้หาจังหวะซื้อเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่างบ Q2/63 จะออกมาดีอย่าง TASCO-CPF-TU-JMT-JMART-ICHI-OSP

ส่วนคนที่มีหุ้น ควรขายปรับพอร์ตในจังหวะดีดตัว ด้านเทคนิคประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,370-1,380 จุด ส่วนแนวรับแรกอยู่ที่ 1,326 จุด ถัดไป 1,312 จุด แนวต้าน 1,370-1,380 จุด

ด้านมุมมอง นักวิเคราะห์ บล.กรุงไทย ซีมิโก้ มองตลาดบ้านเราหลังปิดทำการระยะยาวตลาด ยังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ หลังสัปดาห์ก่อนปรับตัวลงแรง โดยน่าจะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่ยังไปได้อยู่ และนักลงทุนยังรอลุ้นผลประชุมเฟด และ GDP ของสหรัฐฯ ที่น่าจะออกมาเชิงบวก

ด้านเทคนิคให้แนวรับ 1,330 จุด ส่วนแนวต้าน 1,360–1,380 จุด.

บริหารการเงินฉบับคนโสด รับสังคมผู้สูงอายุ

การบริหารการเงินสำหรับคนโสดรองรับสังคมผู้สูงอายุ
โดย คุณรัตนาวดี อนุสรณ์วงศ์ชัย นักวางแผนการเงิน CFP®

ปัจจุบันพบว่าหลายๆ ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยประเทศไทยได้เข้าใกล้สังคมสูงวัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 และจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ. 2565 การเติบโตอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้สูงอายุ อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น อัตราการเกิดของประชากรทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง ประชากรมีอายุยืนขึ้นเนื่องจากการรักษาพยาบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อมีอายุยืนยาวขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ค่ารักษาพยาบาล ค่าปรับปรุงบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงวัย ค่าจ้างพยาบาล เป็นต้น จากข้อมูลการสำรวจคะแนนสุขภาพและความเป็นอยู่ของคนไทย ของบมจ. ซิกน่า ประกันภัย พบว่า มีเพียงร้อยละ 45 ที่มีความพร้อมทางการเงิน ถึงแม้ว่าประเทศไทยมีสวัสดิการของรัฐรองรับสำหรับผู้สูงอายุจากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นบำนาญชราภาพ จากกองทุนประกันสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมถึงสิทธิประกันสุขภาพ (บัตรทอง) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นตามเงินเฟ้อ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้สวัสดิการต่างๆ ที่มีไม่เพียงพอต่อความต้องการ เราจึงควรเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง

เมื่อสวัสดิการของรัฐอาจไม่เพียงพอ การมีสถานะเป็นคนโสด อาจมีความคิดว่าค่าใช้จ่ายหลังเกษียณจะลดลง เนื่องจากไม่ต้องเดินทางไปประกอบอาชีพทุกวัน และคิดว่าตัวคนเดียวไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก จึงอาจไม่ได้ตระเตรียมเงินในช่วงวัยทำงาน โดยอาจใช้จ่ายในการท่องเที่ยว สังสรรค์กับเพื่อนฝูง ซึ่งส่งผลต่อเงินออมที่ต้องเตรียมไว้ในอนาคต จากบทความในเว็บไซต์ของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) พบว่าวัยเกษียณใช้เงินมากกว่าวัยรุ่น เนื่องจากค่าใช้จ่ายประจำวันไม่ได้ลดลง และมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลที่อาจเพิ่มขึ้น กรณีคนโสดแม้ไม่มีภาระที่จะต้องเตรียมเงินสำหรับค่าการศึกษาบุตร แต่ก็จะไม่มีบุตรช่วยดูแลเราในวัยชราและช่วยเหลือตนเองได้น้อยลง โดยการเตรียมเงินสำหรับคนโสด จะแตกต่างจากคนมีครอบครัว โดยสามารถพิจารณาประเด็นที่ส่งผลต่อจำนวนเงินที่จะต้องจัดเตรียม ดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายสำหรับตัวเองเมื่อไม่มีคนดูแล

  • 1.1 ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อการดำรงชีพพื้นฐาน เช่น ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ของอุปโภคใช้ในครัวเรือน ค่าน้ำไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าทำความสะอาด ค่าส่วนกลางกรณีอาศัยในคอนโด หรือหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น โดยหากปัจจุบันอายุ 35 ปี และต้องการเตรียมเงินเป็นเวลา 20 ปีเพื่อใช้จ่ายในช่วงเกษียณหลังอายุ 60 ปี โดยคาดว่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท จะพบว่าควรเตรียมเงินขั้นต่ำ ณ อายุ 60 ปี เท่ากับ 9.2 ล้านบาท (กรณีมีสมมติฐานว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 3 และอัตราผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ร้อยละ 4)
  • 1.2 ค่าใช้จ่ายกรณีเจ็บป่วยเป็นโรคที่ไม่ติดต่อแต่เรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคหลอดเลือดสมองและหัชวใจ ถุงลมโป่งพอง โรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งส่งผลให้เกิดค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่อง เช่น ค่าแพทย์พยาบาลและค่ายารายเดือน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเกิดเป็นประจำรายเดือน 2,000 – 10,000 บาทโดยประมาณขึ้นอยู่กับโรค
  • 1.3 ค่ารักษาดูแลสุขภาพยามเจ็บป่วย ค่าอาหารเสริมและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ค่าจ้างพยาบาล (10,000 – 20,000 บาท) ผ้าอ้อม รถเข็น (วีลแชร์) ซึ่งอาจต้องเตรียมเงินเพิ่มเติมรวมประมาณ 20,000 – 30,000 บาท
  • 1.4 ค่าประกันและบำรุงรักษาทรัพย์สิน เช่น ประกันรถ ประอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ประกันชีวิตสุขภาพและอุบัติเหตุ ค่าซ่อมแซมบ้าน ซ่อมรถ เป็นต้น
  • 1.5 ค่าปรับปรุงห้องน้ำและห้องนอนเพื่อป้องกันอันตราย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 – 200,000 บาท ประกอบด้วย ราวจับ เก้าอี้นั่งอาบน้ำ ก๊อกน้ำหรือสุขภัณฑ์ พื้นกันลื่น ไฟส่องสว่าง พื้นลดแรงกระแทก ทำพื้นระดับเดียวหรือทางลาด เป็นต้น
  • 1.6 ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพื่อเข้าสังคมและทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดความเครียด หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะซึมเศร้า (โดยหากอยู่ในเมือง จะมีค่าใช้จ่ายเดินทางประมาณ 1,000 – 10,000 บาท ขึ้นกับวิธีการเดินทางและระยะทาง) เนื่องจากภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปพบได้มากถึงร้อยละ 10-20 ของประชากร โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่หย่าร้าง หรืออยู่ตัวคนเดียว หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก จะมีความเสี่ยงต่อภาวะนี้มากขึ้น และยิ่งมีอายุมาก ความเสี่ยงยิ่งเพิ่มมากขึ้น (อ้างอิงบทความของพญ. ทิปภา ชุติกาญจน์โกศล ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลสมิติเวช จำกัด) ดังนั้น ผู้สูงวัยควรหากิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย เช่น การทำอาหาร งานฝีมือ การออกกำลังกาย การฝึกสติ ฝึกสมาธิ เป็นต้น
  • 1.7 ค่าทำบุญและบริจาค กรณีผู้สูงวัยหลังเกษียณ ไปทำบุญ และบริจาคเงินเพื่อการกุศล ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท เป็นต้น
  • 1.8 กรณีพิจารณาทางเลือกในการพักอาศัยอื่น ซึ่งปัจจุบันมีทางเลือกมากมาย เช่น
    • โครงการสวางคนิเวศ สภากาชาดไทย โดยมีค่าใช้จ่ายบริจาคอยู่ระหว่าง 650,000 – 2,000,000 บาทต่อเดือน และค่าส่วนกลาง 2,500 บาทต่อเดือน โดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://centralb.redcross.or.th/sawangkanives
    • ที่พักที่จัดสร้างโดยโครงการของภาคเอกชน โดยราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 1,000,000 – 3,000,000 บาทขึ้นไป (อ้างอิง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
    • สถานบริบาลผู้สูงอายุ Nursing home แบบรายเดือน มีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 15,000 – 80,000 บาทต่อเดือน (อ้างอิง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
    • สถานบริบาลผู้สูงอายุ แบบรายวัน Day care มีค่าใช้จ่ายประมาณ 700 – 3,600 บาทต่อวัน (อ้างอิง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย)
    • โรงพยาบาลผู้สูงอายุ เช่น โรงพยาบาลผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท โรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 – 140,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป
    • บ้านพักคนชรา โดยพบว่าค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 1,500 – 2,000 บาทต่อเดือน โดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ http://www.banbangkhae.go.th

2. ค่าใช้จ่ายสำหรับบุคคลในอุปการะ ซึ่งอาจไม่ได้เตรียมการณ์ไว้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแลและรักษาพยาบาลพ่อแม่ในยามชรา เงินช่วยเหลือญาติพี่น้องและค่าการศึกษาของหลานในอุปการะ เป็นต้น

สุดท้ายนี้ นอกจากการพิจารณาการเตรียมตัวต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้น การเตรียมการทางการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ หลังเกษียณนั้น ควรเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ เนื่องจากกรณีสะสมเงินออมต่อเนื่องในระยะเวลาออมที่นานขึ้น โดยมีการบริหารการเงินที่เหมาะสมนั้น จะทำให้เงินออมก็จะสามารถเติบโตได้มากขึ้นเพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณที่มั่นคง


ที่มา สมาคมนักวางแผนการเงินไทย

ซีอีโอ CPF มาชวนอร่อยตัวเบากับไส้กรอก CP Delight

ผู้บริหารCPF ชวนมาอร่อยตัวเบากับไส้กรอก “CP Delight” ไฟเบอร์สูง รับยุคNew Normal เพื่อสุขภาพ

นางสาวอนรรฆวี ชูรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ในยุค New normal ที่ผู้บริโภคให้ความใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น ซีพีเอฟ จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ ไส้กรอกไฟเบอร์สูง “CP Delight” ค็อกเทลผัก 3 สี นับเป็นครั้งแรกของไส้กรอก ด้วยส่วนผสมของผัก 3 ชนิด  ผักโขม แครอท และเห็ดหูหนู รสชาติอร่อย ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง ดีต่อสุขภาพและระบบขับถ่าย

การเปิดตัวครั้งนี้ ผู้บริหารระดับสูงซีพีเอฟได้ร่วมครีเอทภาพถ่ายคู่กับ CP Delight ตามแนวคิด อร่อยตัวเบา ผลิตภัณฑ์นี้เริ่มวางจำหน่ายแล้วที่ 7-eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ

เซเว่นฯ เปิดตัวแคมเปญใหญ่ แสตมป์เซเว่น ปี 63 ลายดิสนี่ย์

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นในประเทศไทย เปิดเผยว่า รายการแสตมป์ของเซเว่น อีเลฟเว่นเป็นแคมเปญใหญ่ประจำปีของเซเว่นฯ และเป็นที่รอคอยของผู้บริโภคมาโดยตลอด ซึ่งแต่ละปีก็จะมีคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไป โดยปีนี้ได้นำคาแรคเตอร์ขวัญใจคนไทยอย่างดิสนีย์คาแรคเตอร์ อาทิ มิคกี้ เมาส์ , มินนี่ เมาส์ , หมีพู , สติทช์ , กู๊ฟฟี่ และโดนัลด์ ดั๊ก ภายใต้แนวคิด “Healthy Living” ที่จะมาสร้างสีสัน เน้นความสดใส ทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นพบกับความสนุกและมีความสุขกับการสะสมแสตมป์เหมือนทุกปีที่ผ่านมา

“รายการแสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่นในปีนี้ ได้ช่วยผู้บริโภคในการลดค่าครองชีพ เพราะสามารถนำแสตมป์มาแลกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในราคาพิเศษ สำหรับการสะสมแสตมป์สามารถเลือกสะสมได้ 2 แบบ คือ สะสมแสตมป์แบบเป็นดวง หรือ สะสมเป็น M-Stamp ผ่านแอปพลิเคชัน 7- App ในโทรศัพท์มือถือ (สงวนสิทธิ์เฉพาะ ALL Member เท่านั้น) ซึ่งการสะสม M Stamp นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการสะสมแสตมป์แล้ว ยังได้สนุกกับเกมส์ AR พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมาย และคุ้มกว่า เพราะได้แสตมป์เพิ่มสำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ถึง 23 พฤศจิกายน 2563 และสามารถใช้แสตมป์ได้ถึง วันที่15 ธันวาคม 2563” นายยุทธศักดิ์ กล่าว
สำหรับแสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่นสามารถใช้เป็นส่วนลดแทนเงินสดซื้อสินค้าในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และสามารถใช้ M-Stamp ซื้อสินค้าที่ All Online ใน 7 App ได้ เพียงซื้อสินค้าครบทุกๆ 50 บาท (ยกเว้น สินค้าไม่ร่วมรายการ) จะได้รับแสตมป์ หรือ M-Stamp 1 บาท หรือซื้อสินค้าร่วมรายการจะได้รับแสตมป์ หรือ M-Stamp จัดหนักตามที่กำหนด นอกจากนี้ เมื่อสมัครสมาชิก All Member และซื้อสินค้าครั้งแรก รับฟรีแสตมป์มูลค่า 30 บาท และเมื่อใช้จ่ายผ่าน True Money Wallet ใน 7 App ครั้งแรก รับฟรีแสตมป์มูลค่า 30 บาท

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า แสตมป์เซเว่น อีเลฟเว่นสามารถนำมาแลกสินค้าพรีเมี่ยมลายคาแรกเตอร์ดิสนีย์ หลากหลายรายการ ที่มาใน concept New Normal ที่เหมาะกับการเว้นระยะทางสังคม อาทิ หน้ากากผ้า ใช้แสตมป์หรือ M – Stamp 49 บาท บวกเงิน1 บาท กระเป๋านั่งเล่น ใช้แสตมป์ หรือ M – Stamp 119 บาท บวกเงิน 1 บาท , ตะกร้าปิคนิคพับได้ ใช้แสตมป์ หรือ M – Stamp 209 บาท บวกเงิน 1 บาท , ชุดถังยืดยุบ ใช้แสตมป์หรือ M – Stamp 269 บาท บวกเงิน1 บาท, มินิโซฟา ลายมิคกี้ ใช้แสตมป์หรือ M – Stamp 709 บาท บวกเงิน 1 บาท และเครื่องนอน ลายมิคกี้ M – Stamp 919 บาท บวกเงิน 1 บาท รวมถึงยังมีสินค้าแบรนด์ดัง คูปองส่วนลดบริการต่างๆ ให้ได้แลกอีกมากมาย

เงาหุ้น : โฟกัสหุ้นแบงก์!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 24 ก.ค.63 ปิดที่ 1,340.92 จุด ลดลง 18.73 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 46,529.69 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,904.65 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 34.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท, PTT ปิด 38.50 บาท ลบ 1.25 บาท, STA ปิด 24.60 บาท บวก 0.10 บาท, SAWAD ปิด 51.75 บาท ลบ 2.50 บาท, CPALL ปิด 67 บาท ลบ 0.50 บาท

ตลาดปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนและผลกระทบโควิด-19 ที่กระทบให้เศรษฐกิจโลก ชะลอตัว ขณะที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขส่งออกไทยยังติดลบต่อเนื่องจากผลกระทบโควิด-19

มีบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มแบงก์น่าสนใจหลังผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาต่ำกว่าคาดโดย บล.บัวหลวง แนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มปลอดภัย ชอบ BBL และ TISCO

ระบุว่าผลประกอบการของ 8 ธนาคารสำหรับ 2Q20 โดยรวมออกมาที่ 29.6 พันล้านบาท ลดลง 42% YoY และ 33% QoQ ซึ่งกำไรที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ 7% จากการตั้งสำรองที่มากกว่าคาด อย่างไรก็ตาม BAY-SCB-TMB และ TISCO มีการรายงานกำไรออกมาดีกว่าที่คาด

สำหรับ NPLs ในภาพรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% QoQ 13% YTD และ 22% YoY โดยกลุ่มที่มี NPLs/สินเชื่อปรับตัวขึ้น ได้แก่ BBL-TISCO-KTB และ KBANK ในด้านของการตั้งสำรองปรับตัวขึ้น 76% QoQ และ 103% YoY อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการตั้งสำรองน่าจะปรับตัวลดลงใน 3Q20 หลังจากสถานการณ์ไวรัสดีขึ้น ยังคงแนะนำเลือกซื้อหุ้นในกลุ่มปลอดภัยและ Valuation ถูก ซึ่งชอบ BBL และ TISCO ที่สุดในกลุ่ม

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน คงน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์เพียง Neutral โดยให้เหตุผลดังนี้ 1.กลุ่มธนาคารรายงานกำไร 2Q20 ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท (-47% y-y และ -38% q-q) ต่ำกว่าที่เราคาดถึง -30% จากค่าใช้จ่ายสำรองที่มากกว่าคาด

2.ใน 2H20F คาดธนาคารส่วนใหญ่เผชิญปัญหา NPLs มากขึ้น หลังหมดมาตรการช่วยเหลือของ ธปท. โดยธนาคารที่มี downside risk จำกัดคือ BBL, KBANK และ TISCO เพราะจัดชั้น NPLs เข้มงวด และเร่งตั้งสำรองไปล่วงหน้า

และ 3.ยังคงเลือกธนาคารที่ดูปลอดภัยอย่าง BBL (Buy, TP20/21F 130 บาท) และ TISCO (Buy, TP20/21F 80 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่ม!!


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ

เงาหุ้น : GULF เพิ่มทุน!!

ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 23 ก.ค.63 ปิดที่ 1,359.65 จุด เพิ่มขึ้น 2.61 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 70,233.10 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,054.17 ล้านบาท

หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด GULF ปิด 34.25 บาท ลบ 2.75 บาท, STA ปิด 24.50 บาท ลบ 0.50 บาท, CPALL ปิด 67.50 บาท บวก 2 บาท, CPF ปิด 33.50 บาท ลบ 0.75 บาท และ BGRIM ปิด 51.50 บาท ลบ 2.25 บาท

หุ้น GULF และ BGRIM ปรับตัวร่วงแรง หลังมีบิ๊กลอตหุ้น GULF 176 ล้านหุ้น หรือ 1.7% ในราคาเฉลี่ย 35.15 บาท รวมมูลค่า 6,186.40 ล้านบาท และ BGRIM 68 ล้านหุ้น หรือ 2.6% ราคาเฉลี่ย 50.80 บาท รวมมูลค่า 3,454.39 ล้านบาท โดยเป็นการขายปรับพอร์ตจาก Asian Development Bank หรือ ADB ซึ่งเป็นราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าราคาในกระดานวัน ส่งผลให้นักลงทุนเทขายกดราคา

ขณะที่ GULF ยังได้แจ้งตลาดเพิ่มทุน 1.06 พันล้านหุ้น เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม สัดส่วน 10 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาขายหุ้นละ 30 บาท คาดว่าจะได้เงินเพิ่มทุนราว 3.2 หมื่นล้านบาท กำหนดขึ้นเครื่องหมายผู้ถือหุ้นไม่ได้รับสิทธิเพิ่มทุน (XR) วันที่ 6 ส.ค.63 และจองซื้อ-ชำระเงินค่าหุ้นวันที่ 14-18 ก.ย.63

โดยบริษัทแจ้งว่า มีแผนนำเงินเพิ่มทุนไปลงทุนในโครงการที่อยู่ในแผนงาน และขยายธุรกิจในอนาคต บางส่วนจะนำไปชำระคืนเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและเป็นทุนหมุนเวียน รวมทั้งยังทำให้โครงสร้างการเงินแข็งแกร่งขึ้น

บล.เอเซีย พลัส ชี้ว่า การเพิ่มทุนของ GULF ถือว่าสร้าง surprise ให้ตลาด ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้น GULF ในระยะสั้น โดยจากการประเมินทางทฤษฎีคาดว่าจะทำให้เกิด 1. EPS dilution -9.09% จากจำนวนหุ้นที่มากขึ้น 1,066 ล้านหุ้น 2. Price dilution -1.3% และ 3.ROE ลดลง

แต่ระยะยาว มีมุมมองบวกเพราะการสร้างความแข็งแกร่งให้ GULF เนื่องจากกลยุทธ์การลงทุนของ GULF จากนี้ไปจะเป็นเชิงรุก ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลจากฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น 3.2 หมื่นล้าน มาอยู่ที่ 63,552 ล้านบาท และ D/E ลดลงเหลือ 1.74 เท่า จาก ณ สิ้นงวด 1Q63 มี D/E 3.5 เท่า

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการและ FV เพื่อสะท้อนการเพิ่มทุนครั้งนี้ แต่คาดว่า FV ใหม่ที่จะเกิดขึ้น ก็ยังต่ำกว่ามูลค่าหุ้นปัจจุบัน ดังนั้นระยะสั้นจึงยังคงแนะ “Switch”


ที่มา คอลัมน์ เงาหุ้น โดย อินเด็กซ์ 51 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วีจีไอ แจกกล่องปันน้ำใจ 1 หมื่นกล่อง บรรเทาความเดือดร้อนโควิด-19

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้จัดโครงการ “กล่องปันน้ำใจ เพื่อช่วยคนไทยอย่างต่อเนื่อง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดเชื้อ covid-19 โดยทางบริษัทได้เชิญกลุ่มลูกค้าของทางบริษัท ร่วมกันมอบผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เช่น ข้าวสาร ,น้ำดื่ม,และของใช้จำเป็นบรรจุในกล่อง kerry เพื่อส่งต่อให้กับผู้เดือดร้อน จำนวน 10,000 กล่อง

โดยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับบริจาค “กล่องปันน้ำใจ” ได้ในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 18.00 น. บริเวณลานกิจกรรมหน้าวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ภายในกล่องปันน้ำใจ ประกอบไปด้วย เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ อาทิ ข้าวสาร,น้ำดื่ม และของใช้จำเป็น เพื่อส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

สำหรับ ขั้นตอนในการรับ “กล่องปันน้ำใจ”

  • เข้าคิวตามลำดับ
  • สแกน QR Code หากไม่สามารถสแกนได้ ให้กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทร
  • ประทับลายนิ้วมือเพื่อยืนยัน
  • ยืนรับประจำจุดที่ได้จัดเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่จะนำกล่องมามอบให้

โดยจำกัด 1 กล่อง / 1 สิทธิ์ เท่านั้น

บริษัทขอความร่วมมือ ผู้มารับบริจาค สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับกล่องปันน้ำใจ

ราคาที่ดินเปล่าแนวรถไฟฟ้าคูคต-ลำลูกกา ครองแชมป์เพิ่มสูงสุด 5 ไตรมาสรวด

ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% แนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (คูคต – ลำลูกกา) ที่ยังไม่ก่อสร้าง ครองแชมป์ราคาปรับเพิ่มสูงสุด 5 ไตรมาสติดต่อกัน

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในไตรมาส 2 ปี 2563 มีค่าดัชนีเท่ากับ 308.6 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 293.3 และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 236.9 จุด

ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์

การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาสนี้ ทำเลที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าทำเลอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นพื้นที่ปลายสายรถไฟฟ้าที่เป็นส่วนต่อขยายและมีแผนจะก่อสร้างในอนาคต โดยทำเลที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ได้แก่

  • สายสีเขียวเหนือ (คูคต – ลำลูกกา) เป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของสายสีเขียว ในไตรมาส 2 ปี 2563 เปิดให้บริการ 4 สถานี ได้แก่ สถานีกรมป่าไม้ สถานีบางบัว สถานีกรมทหารราบที่ 11 และสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ส่งผลให้ราคาที่ดินในบริเวณตามแนวรถไฟฟ้านี้มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 61.4 และเป็นทำเลที่มีการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินมากที่สุดต่อเนื่องมา 5 ไตรมาส
  • สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าการก่อสร้างโดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 57 มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.6
  • สายสีน้ำเงิน (บางแค – พุทธมณฑลสาย 4) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.5
  • สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน – ศาลายา) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.5
  • สายสีเขียวใต้ (สมุทรปราการ – บางปู) ซึ่งเป็นโครงการที่มีแผนจะก่อสร้างในอนาคต และสายสีเขียวใต้ (แบริ่ง – สมุทรปราการ) ซึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว มีอัตราขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากันร้อยละ 23.1