Home Blog Page 23

PROSPECT REIT โชว์ฟอร์มไตรมาส 3 รายได้รวม 114.11 ล้านบาท

นางสาวอรอนงค์ ชัยธง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล หรือ PROSPECT REIT เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) มีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 114.11 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาท หรือ 3% ปัจจัยบวกจากอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูงถึง 98% อีกทั้ง  การบริหารจัดการที่ดี ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง 1.94% จึงเป็นผลให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 5.53 % ทั้งนี้  ตลอดระยะเวลา 9 เดือน สามารถสร้างรายได้รวมจำนวน 332.85 ล้านบาท พร้อมประกาศจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนแก่ ผู้ถือหน่วยประจำไตรมาสนี้ในอัตรา 0.2880 บาทต่อหน่วย ซึ่งมีกำหนดจ่ายในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ในรอบ 1 ปี ของการจัดตั้ง PROSPECT REIT ได้ประกาศจ่ายเงินออกให้ผู้ถือหน่วยไปแล้วย้อนหลัง 1 ปี รวมอยู่ที่ 1.1363 บาท ต่อหน่วย นับว่าผลตอบแทนปีแรกเติบโตได้สูงกว่าที่ประมาณการไว้ในหนังสือชี้ชวน  

“ไตรมาส 3 ภาพรวมเศรษฐกิจยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ทว่าในฝั่งธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ายังคงได้รับผลกระทบไม่มากนัก ซึ่ง PROSPECT REIT ก็มีผลประกอบการเติบโตขึ้นกว่าไตรมาสก่อน ปัจจัยสำคัญสืบเนื่องจากจุดแข็งของเรา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่มีความพร้อมสามารถรองรับธุรกิจได้หลากหลายรูปแบบอย่างโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน (BFTZ) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม.23 อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ อีกทั้งมีการบริการครบวงจร สามารถตอบสนองได้  ทุกความต้องการของผู้เช่า ที่สำคัญเรามีผู้เช่าที่แข็งแกร่ง โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในกลุ่มอาหาร, โลจิสติกส์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อยจากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีอัตราการต่อสัญญา (Renewal rate) จากผู้เช่ารายเดิมถึง 95%”  

นางสาวอรอนงค์ กล่าวต่อไปว่า “จากอัตราการต่อสัญญาของผู้เช่ารายเดิมที่เพิ่มขึ้น และมีผู้เช่ารายใหม่ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของคุณภาพทรัพย์สินที่ PROSPECT REIT เข้าลงทุนในครั้งนี้ ในขณะที่ฝั่งของนักลงทุนเราก็มีการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ทั้งในแง่ของตัวทรัพย์สินและผลการดำเนินงานในหลายช่องทางเพื่อให้นักลงทุนได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ทั้งหมดนี้ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการดำเนินงานของ PROSPECT REIT จึงสามารถสร้างทั้งรายได้และผลกำไรให้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการจัดตั้งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งครบระยะเวลา 1 ปี เราได้มีการจ่ายเงินออกให้ผู้ถือหน่วยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2563 ถึง ไตรมาส 3 ปี 2564 อยู่ที่ 0.2805, 0.2808, 0.2870 และ 0.2880 ตามลำดับ รวมจ่าย 4 ครั้งทั้งสิ้น 1.1363 บาท/หน่วย ซึ่งสูงกว่าที่ประมาณการผลตอบแทนปีแรกที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน” 

ด้านความคืบหน้าการเข้าซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมและการเพิ่มทุน ยังคงอยู่ในแผนที่วางไว้ ขณะนี้อยู่ในช่วงดำเนินการ ซึ่งมีทั้งทรัพย์สินที่มาจากบริษัทแม่ ได้แก่  “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” และที่มาจากผู้พัฒนาโครงการรายอื่น โดยคาดว่าการเพิ่มทุนจะเกิดขึ้นภายในปี 2565 ทั้งนี้ PROSPECT REIT มีเป้าหมายในการขยายมูลค่าสินทรัพย์ที่ 10,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี 

“สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 คาดว่าภาพรวมเศรษฐกิจน่าจะมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากการประกาศนโยบาย  เปิดประเทศของภาครัฐฯ ซึ่งจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนชาวต่างชาติให้หันมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ตรงจุดนี้ค่อนข้างส่งผลบวกกับ PROSPECT REIT ด้วยทรัพย์สินที่เรามีอยู่ในมือรวมถึงทีมบริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ และที่ผ่านมาก็เริ่มมีผู้ลงทุนรายใหม่ทั้งชาวจีนและชาวไทยเองทยอยเดินทางเข้าดูพื้นที่เช่าในโครงการ BFTZ อยู่อย่างต่อเนื่อง นั้นแสดงให้เห็นว่าบรรยากาศของกิจกรรมทางธุรกิจเริ่มกลับมาแล้วนั้นเอง” นางสาวอรอนงค์ กล่าว 

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เร่งดึงดิจิทัลแพลตฟอร์มสู้ศึกไตรมาสสุดท้าย

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ขานรับตลาดอสังหาฯไตรมาส 4/64 ส่งสัญญาณบวก ดึงดิจิทัลแพลตฟอร์มเพิ่มช่องทางและสร้างสีสันการขาย ส่งแคมเปญที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ผู้บริโภคปัจจุบัน เดินหน้าเจรจาพันธมิตรสร้างนวัตกรรมใหม่การอยู่อาศัยและความยั่งยืนระยะยาว

นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2564 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเพดานอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์ (LTV) เป็น 100% การผ่อนคลายมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่อวันปรับตัวลดลง ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกลับมาประกอบอาชีพตามปกติได้มากขึ้น บริษัทฯ จึงเตรียมเพิ่มขีดความสามารถให้เติบโตไปได้อย่างแข็งแกร่ง และช่วยผู้บริโภคให้มีโอกาสเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพได้มากขึ้น

ในช่วงปลายปี 2564 วางแผนแนวกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1.การดึงดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้ สอดรับพฤติกรรมใหม่ที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจซื้อของผ่านช่องทางดิจิทัล ล่าสุด จับมือกับ Living Insider สร้างแพลตฟอร์มสำหรับขายโครงการคอนโดมิเนียมเมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว (Metris District Ladprao) พร้อมทั้งสร้างสีสันใหม่โดนใจผู้บริโภคอย่างการเปิดประมูลยูนิตสวยออนไลน์ 2.การส่งแคมเปญใหม่สำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่ต้องการโครงการพร้อมอยู่ 3.การเดินหน้าเจรจาพันธมิตร พูดคุยกับพันธมิตรทั้งด้านสินค้าใหม่ๆ การตลาด การเงิน เพื่อสร้างความร่วมมือหลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เติมเต็มการอยู่อาศัย และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัทฯ ในระยะยาวอย่างยั่งยืน

“ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปมาก ลูกค้ามีความต้องการผู้ที่เข้าใจรูปแบบการใช้ชีวิตของพวกเขามากขึ้น ทั้งด้านฟังก์ชั่นที่จะมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยภายในบ้านและคอนโด รวมถึงความเข้าใจในการตัดสินใจซื้อผ่านช่องทางที่หลากหลาย และขั้นตอนการชำระเงินต่างๆ เราจึงพยายามปรับตัวต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค อีกทั้งเรายังวางแผนการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ให้สอดคล้องวิสัยทัศน์การเป็น Lifescape Developer ด้วยการส่งแคมเปญที่จะมาช่วยตอบโจทย์ให้กับลูกค้า พร้อมนำดิจิทัลแพลตฟอร์ม และเตรียมร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่างๆ ที่จะมาตอบโจทย์ลูกค้าในระยาว” นางสาวเพชรลดา กล่าว

นางสาวเพชรลดา กล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มธุรกิจใหม่อย่าง PeopleScape นั้น ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ผ่านทั้งการจัดคอร์สฝึกอบรม การจัดงานสัมมนา ขณะที่กลุ่มธุรกิจ HealthScape และ TechScape นั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างเร่งดำเนินการด้านต่างๆ ร่วมกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในช่วงปี 2565

ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 (ก.ค.-ก.ย.2564) บริษัทฯ มีรายได้รวมทุกประเภทธุรกิจอยู่ที่ 980 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 905 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอื่นๆ อีกกว่า 75 ล้านบาท โดยกลุ่มรายได้หลักยังคงมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ จากการที่บริษัทฯ ออกแคมเปญใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค อาทิ แคมเปญ Major Heroes จัด Financial Solutions ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละราย ปัจจุบันมียอดขาย รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 ประมาณ 3,900 ล้านบาท

ขณะที่รายได้จากกลุ่มธุรกิจโรงแรมเริ่มมีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ดีขึ้น และหลังจากมีการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทย มีแนวโน้มเห็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ ในส่วนของธุรกิจโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะสำนักงานให้เช่า มีสัดส่วนของรายได้ที่เป็นไปในทิศทางบวกมากยิ่งขึ้น สืบเนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ผ่อนคลายให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น ผู้คนเริ่มกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ อาคารสำนักงานให้เช่าของเมเจอร์ฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่สะดวกในการเดินทางจึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะมีแนวโน้มเห็นการกลับมาของทั้ง 2 ตลาดดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในช่วงต้นปี 2565

สำหรับ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซูรี มีธุรกิจหลักในเครืออยู่ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย 2.กลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น ออฟฟิศและโรงแรม 3.กลุ่มธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ มีวิสัยทัศน์ในการเติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโครงการระดับลักซูรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค

เจียไต๋ พร้อมเสริฟ์เมนูสุดพิเศษ รับเทศกาลกินเจ

เจียไต๋ฟาร์ม โดยกลุ่มบริษัทเจียไต๋ ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรของไทย ต้อนรับเทศกาลกินเจ 2564 ด้วย 6 เมนูอาหารและเครื่องดื่มเจที่รับประกันความไม่จำเจ ด้วยวัตถุดิบสุดพิเศษจากธรรมชาติ รังสรรค์สู่เมนูไฮไลท์เฉพาะที่เจียไต๋ฟาร์ม มาร่วมอิ่มใจ อิ่มท้อง และพร้อมบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงตลอดเทศกาลกินเจ ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ตุลาคม 2564 ที่ร้านเจียไต๋ฟาร์ม สุขุมวิท 60 เท่านั้น

เริ่มต้นรองท้องด้วยเมนูของว่างที่ไม่ธรรมดา เต้าหู้ดอยกับฟักทองมินิบอลทอดเจ ด้วยวัตถุดิบพิเศษอย่างเต้าหู้ดอยที่ทำจากถั่วเหลือง ไม่มีส่วนผสมของไข่และไม่มีวัตถุกันเสีย เสิร์ฟพร้อมฟักทองมินิบอลหวานมัน ที่นำไปชุบแป้งทอดให้เหลืองกรอบ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มที่มีส่วนผสมของเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ให้รสชาติกรอบหวานมัน เป็นเมนูทานเล่นระหว่างวัน

สำหรับสายคลีนขอแนะนำ เปาะเปี๊ยะสดเจ อร่อยเต็มคำกับแผ่นแป้งเวียดนามที่นำมาห่อผักสดอย่างกะหล่ำปลี แครอท และแตงกวาหวานกรอบ พร้อมเต้าหู้ดอย รับประทานคู่กับน้ำจิ้มมะขามรสชาติเปรี้ยวหวานที่เคี่ยวอย่างพิถีพิถัน หอมกลิ่นน้ำมันงา อิ่มท้องแบบสุขภาพดี

อิ่มท้องด้วยเมนูจานหลักอย่าง ข้าวคั่วกลิ้งเจ รสชาติจัดจ้านแบบฉบับอาหารใต้ ที่นำโปรตีนเกษตรมาผัดกับพริกแกงคั่วกลิ้ง เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อนๆ เคียงผักสด หวานกรอบ ตัดรสชาติได้อย่างลงตัว

หรือจะเลือกเมนูจานหลักอีกจาน ข้าวบรอกโคลีผัดเห็ดหอมเจ บรอกโคลีสด กรอบ ผัดกับเห็ดหอม และเต้าหู้ดอยแบบไร้น้ำมัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วหวานและซอสถั่วเหลืองรสชาติกลมกล่ม เสิรฟ์พร้อมข้าวสวย อร่อยได้สุขภาพและแคลอรี่ต่ำ

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดื่มเจสุดพิเศษ ให้เลือกสรรอีก 2 เมนู อาทิ Pumpkin Lava เนื้อฟักทองบดผสมกับนมพิสตาชิโอ เสริมรสชาติด้วยคาราเมลเล็กน้อย ให้ความหวานมัน หอมอร่อย ได้สุขภาพ และสำหรับคอกาแฟห้ามพลาดกับกาแฟลาเต้เจสูตรเด็ดที่ผสานความหอมมันจากเนื้อฟักทองบด Pumpkin Coffee Latte ด้วยส่วนผสม 4 อย่างที่นำมาจับคู่กันได้อย่างลงตัว ได้แก่ กาแฟ นมพิสตาชิโอ เนื้อฟักทอง และคาราเมล ให้ความหอมกาแฟ รสชาติหวานมัน เพิ่มความสดชื่น กะปรี้กะเปร่า และได้ประโยชน์อัดแน่นคับแก้ว

มาเปลี่ยนรสชาติอาหารเจและสร้างบรรยากาศใหม่ๆ ในเทศกาลกินเจปีนี้ที่ร้านเจียไต๋ฟาร์ม สุขุมวิท 60 ที่นอกจากจะอิ่มใจ อิ่มท้อง พร้อมกับได้สุขภาพที่ดีแล้ว ยังได้รับประทานอาหารในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและลิ้มรสชาติที่สดใหม่จากวัตถุดิบที่คัดสรรมาเฉพาะที่เจียไต๋ฟาร์มเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมั่นใจได้ถึงความสะอาดและปลอดภัย โดยเจียไต๋ฟาร์มพร้อมให้บริการโดยปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัดในทุกขั้นตอน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ร้านเจียไต๋ฟาร์ม สุขุมวิท 60 หรือทาง Line @chiataifarm Facebook: Chia Tai Farm โทร 089-139-6170 ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ตุลาคม 2564

Chester’s x Meat Zero เสิร์ฟแคมเปญ ‘หมูกรอบเจ อร่อยแบบไม่จำเจ’

บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟูดในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ภายใต้แบรนด์ เชสเตอร์ (Chester’s) เปิดตัวแคมเปญ ‘หมูกรอบเจ อร่อยแบบไม่จำเจ’ พร้อมเสิร์ฟ 2 เมนูใหม่ในเทศกาลกินเจ ‘ข้าวกะเพราหมูกรอบ ZERO และ สปาเก็ตตี้กะเพราหมูกรอบ ZERO’ เพิ่มตัวเลือกแก่ผู้บริโภค ด้วยเมนู Plant-based โดยวัตถุดิบหลัก ‘หมูกรอบทำจากพืช’ แบรนด์ Meat Zero ให้เนื้อสัมผัสเสมือนเนื้อหมูกรอบจริงๆ มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ปราศจากคอเรสเตอรอล คลุกเคล้ากับใบกะเพราและพริก ปรุงจนรสชาติเข้มข้น จัดจ้าน ถูกปากคนไทย นอกจากได้อิ่มอร่อยแล้ว ยังตอบโจทย์คนรับประทานเจที่รักสุขภาพและได้บุญอีกด้วย 

สำหรับโปรโมชั่นพิเศษในช่วงเทศกาลกินเจ มีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ ชุดข้าวกะเพราหมูกรอบ ZERO พิเศษ 129 บาท (จากราคาปกติ 209 บาท) อิ่มอร่อยพร้อมเฟรนช์ฟรายส์ขนาดปกติ และเป๊ปซี่ 22 ออนซ์ 1 แก้ว และชุดสปาเก็ตตี้กะเพราหมูกรอบ ZERO พิเศษ 129 บาท (จากราคาปกติ 209 บาท) อร่อยฟิน พร้อมด้วยเฟรนช์ฟรายส์ขนาดปกติ กับเป๊ปซี่ 22 ออนซ์ 1 แก้ว สำหรับโปรโมชั่นนี้ เฉพาะสั่งช่องทางเชสเตอร์เดลิเวอรี่ ผ่าน www.chesters.co.th หรือโทร 1145 เท่านั้น หากใครที่ต้องการสั่งแบบอาหารจานเดี่ยวมีให้บริการเช่นกัน เพียงจานละ 105 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 13 ตุลาคม 2564 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด  

ทั้งนี้ ลูกค้าที่ไม่รับประทานทานเจ ทางเชสเตอร์มีเมนูน้องใหม่! อย่าง Pizza Bites เอาใจวัยรุ่นกับความอร่อยที่สอดไส้ซอสพิซซ่าชีส และความกรุบกรอบของแป้งด้านนอกที่ยิ่งเคี้ยวยิ่งมันส์ 1 กล่อง มี 7 ชิ้นเพียง 59 บาท หรือชุดโปรโมชั่น Pizza Bites ได้แก่ ชุดอร่อยสุดมันส์ พิเศษ 109 บาท (จากราคาปกติ 191 บาท) เต็มอิ่มไปกับไก่ทอดซอสน้ำปลาหรือไก่ย่างสูตรเผ็ด  2 ชิ้น พร้อม Pizza Bites 7 ชิ้น กับเป๊ปซี่ 22 ออนซ์ 1 แก้ว และชุดอร่อยสุดฟัน พิเศษ 139 บาท (จากราคาปกติ 208 บาท) อร่อยได้ทั้งข้าวไก่เผ็ดเชสเตอร์ พร้อม Pizza Bites 7 ชิ้น กับเป๊ปซี่ 22 ออนซ์ 1 แก้ว สำหรับโปรโมชั่นนี้ สั่งผ่านเชสเตอร์เดลิเวอรี่บนเว็บไซต์ www.chesters.co.th หรือโทรที่ 1145 ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2564 

นอกจากนี้ เชสเตอร์มีบริการจัดส่งอาหารฟรีให้กับลูกค้า เฉพาะช่องทางเชสเตอร์เดลิเวอรี่ เมื่อสั่ง 200 บาทขึ้นไป และลูกค้ายังสามารถรับสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นดีๆ ก่อนใคร เพียงแค่แอดไลน์เป็นเพื่อนกับเชสเตอร์ได้ที่ @chestersthai  

ร้านเชสเตอร์ ยังคงเข้มงวดในมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยขอความร่วมมือลูกค้าสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าร้าน ตลอดจนการเว้นระยะห่างระหว่างเข้าแถวชำระค่าสินค้า และแบบเดลิเวอรี่ ได้จัดที่นั่งพิเศษสำหรับไรเดอร์ เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าและบริการคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยแก่ลูกค้าทุกคน

“ดีป้า” หนุนโมเดล ภูเก็ตต้องชนะ.com จัดการวัคซีนในพื้นที่

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุนแพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ผลลัพธ์ความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชนในการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ช่วยบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง พร้อมตั้งเป้าประชาชนในพื้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเกิน 70% รองรับการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว 1 กรกฎาคมนี้

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) มีข้อสั่งการให้ ดีป้า ดำเนินการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยให้ประเทศไทยข้ามผ่านวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญคือ แพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ที่ ดีป้า บูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัดภูเก็ต ดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงภาคเอกชนในพื้นที่เร่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ดีป้า พร้อมด้วยผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Provider) ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ขึ้น เพื่อให้ประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยนำแพลตฟอร์มจัดเก็บและบริหารข้อมูลเมือง (City Data Platform) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เริ่มจากการนำฐานข้อมูลสุขภาพจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตมาคัดกรองผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและต้องได้รับวัคซีนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงเริ่มให้ประชาชนทั่วไปได้ลงทะเบียน จองวัน และเลือกสถานที่รับวัคซีนได้เอง นอกจากนี้ ระบบยังมีการเก็บข้อมูลการรับวัคซีนทั้ง 2 เข็มของประชาชน และสามารถเรียกดูได้ทันทีเพียงกรอกเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน โดยปัจจุบัน แพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com รับการลงทะเบียนและจองรับวัคซีนไปแล้วกว่า 350,000 คน โดยตั้งเป้าว่า ประชาชนในพื้นที่จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเกินกว่า 70% ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564

“การดำเนินงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการวัคซีนให้เป็นระบบยิ่งขึ้น อีกทั้งตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ ถือเป็นตัวอย่างผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลบริหารจัดการข้อมูลเมือง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ที่สำคัญคือต้องยอมรับในความเข้มแข็งของจังหวัดภูเก็ต ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่พร้อมหยิบยื่นความถนัดของตนเองร่วมแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

เปิดตัวโรงพยาบาลใหม่ “นวเวช” ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา

“นวเวช” โรงพยาบาลแห่งใหม่ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ได้ฤกษ์เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2564 ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการด้วยบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงง่าย ชูความโดดเด่นเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา

นายไกรวิน ศรีไกรวิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นวเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลนวเวชเกิดขึ้นจากการร่วมทุนของ 3 กลุ่มทุนใหญ่ คือ นายณพ ณรงค์เดช ถือหุ้นในสัดส่วน 51% บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 27% และเครือสหพัฒน์ ถือหุ้นในสัดส่วน 18% โดยใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 8.5 ไร่ ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ซึ่งเป็นศูนย์กลางคมนาคมของกรุงเทพฝั่งตะวันออก และมีผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยโรงพยาบาลนวเวชมีเป้าหมายที่จะให้บริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงง่าย และเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา โดยมีจำนวนเตียงรองรับ 152 เตียง มีความสามารถในการบริการด้านสุขภาพทุกช่วงวัยครอบคลุมทั้ง 4 มิติสุขภาพ ได้แก่ ส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รองรับปัญหาสุขภาพและความแตกต่างของแต่ละบุคคล 

“เราเข้าใจปัญหาต่างๆ ที่ผู้รับบริการต้องเจอ เราจึงสร้างโรงพยาบาลนวเวชให้สามารถครอบคลุมทุกการรักษาระดับมาตรฐานสากล โดยผู้รับบริการจะได้รับการวินิจฉัยจากทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ และได้รับการรักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ค่ารักษาที่เข้าถึงง่ายและสมเหตุสมผล”

โดยนายไกรวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์แล้ว โรงพยาบาลนวเวชยังมีเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ และเทคโนโลยีสนับสนุนการบริการที่ทันสมัย

“เราให้ความสำคัญกับการบูรณาการความรู้ที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ก่อตั้ง ศูนย์การเรียนรู้ด้านรังสีวินิจฉัยโดยความร่วมมือระหว่างฟิลิปส์ และโรงพยาบาลนวเวช เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และอัพเดทความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านรังสีวินิจฉัยให้กับบุคลากรของโรงพยาบาล โดยผ่านการฝึกอบรมกับเครื่องมือจริง และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งฟิลิปส์และนวเวชมุ่งหวังว่าศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้า และนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน”

โนมูระ มั่นใจลุยร่วมทุน ออริจิ้น หนุนมูลค่าร่วมทุนคอนโด 3.4 หมื่นล้าน

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 1 โครงการ คือโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ โซโห แบงค็อก รัชดา  มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท ถือเป็นการเดินหน้าร่วมทุนกันอย่างต่อเนื่อง จากช่วงต้นปีที่เพิ่งร่วมทุนกันเพิ่มเติมไป 2 โครงการ 

“แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 3 แต่โนมูระยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจระดับท็อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกัน ผลงานโครงการร่วมทุนในโครงการต่างๆ ที่ผ่านมา ตลอดจนผลงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทที่ทำกำไรได้เป็นระดับ Top 3 ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นเครื่องการันตีที่ทำให้โนมูระมั่นใจและตัดสินใจเดินหน้าร่วมทุนโครงการคอนโดมิเนียมกับเราอย่างต่อเนื่อง” นายพีระพงศ์ กล่าว 

จากการร่วมทุนเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ มีการร่วมทุนกันในกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมสะสมจากเดิม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 32,314 ล้านบาท เพิ่มเป็น 10โครงการ มูลค่าโครงการร่วมทุนกลุ่มคอนโดมิเนียมสะสม 34,014 ล้านบาท และส่งผลให้การร่วมทุนสะสมระหว่างกันครอบคลุมในคอนโดมิเนียมทุกเซ็กเมนท์ ตั้งแต่แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์อย่างไนท์บริดจ์ แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่อย่างพาร์ค ออริจิ้น แบรนด์คอนโดมิเนียมสำหรับคน Gen Z อย่างดิ ออริจิ้น มาจนถึงแบรนด์ใหม่อย่างโซโห แบงค็อก 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการโซโห แบงค็อก รัชดา  เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High Rise สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เปิดขายเมื่อช่วงไตรมาส 4/2563 เป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่โซโห แบงค็อก โครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแกร่งทั้งด้านทำเลระดับย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ปัจจุบัน มียอดขายสะสมแล้วกว่า 80% 

ทั้งนี้ บริษัทยังคงพิจารณาการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งรายเดิม และรายใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและก้าวกระโดดตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL โดยเฉพาะในด้านการขยายธุรกิจ (Next Level of Business Expansion) โดยอาจพิจารณาร่วมทุนได้ทั้งในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย โครงการที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม รวมถึงธุรกิจประเภทอื่นๆ ที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต 

เจียไต๋ เอาใจแฟนฟักทองมินิบอล จัดโปรสุดพิเศษ ยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งคุ้มค่า

รายงานข่าว เปิดเผยว่า  เจียไต๋ฟาร์ม โดยบริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรของไทย ขนทัพฟักทองมินิบอลจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มกว่าครั้งไหนๆ เอาใจแฟนพันธุ์แท้มินิบอลที่ถูกใจในรสชาติความอร่อย ด้วยเนื้อฟักทองที่ละเอียด เหนียว และหวานมัน อุดมด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน และสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พร้อมสนับสนุนและเพิ่มช่องทางการขายผลิตผลจากเกษตรกรผู้ปลูก โดยสามารถจับจองได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าสินค้าจะหมด

ฟักทองมินิบอลหรือฟักทองสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่เจียไต๋ได้ปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นจนได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดนี้ มีรสชาติที่หวานอร่อย โดดเด่นด้วยรสสัมผัสของเนื้อที่เหนียวนุ่มต่างจากฟักทองทั่วไป ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครได้รับประทานต่างติดอกติดใจ อีกทั้ง สามารถนำไปนึ่งและรับประทานได้ทั้งเปลือก หรือจะนำไปปรุงอาหารคาว หวาน ก็ไม่ทำให้เสียรสชาติเดิม เช่น เมนูยอดฮิต ฟักทองมินิบอลสังขยา หรือเมนูฟิวชั่นอย่างฟักทองมินิบอลแมคแอนด์ชีส แม้กระทั่งนำไปทำน้ำฟักทองสำหรับคุณแม่ที่อยากบำรุงครรภ์เพิ่มน้ำนม เป็นต้น

และเพื่อสนับสนุนผลิตผลจากเกษตรกรไทย เจียไต๋ฟาร์ม จึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ติดใจในรสชาติและผู้ที่อยากลิ้มลองความอร่อย รวมถึงพ่อค้าแม่ขายที่มองหาผลิตผลที่ตลาดต้องการ ได้จับจองซื้อฟักทองมินิบอลกันแบบเหมาๆ ในราคาสุดพิเศษเพียงกิโลกรัมละ 30 บาทเท่านั้น โดยกำหนดการสั่งขั้นต่ำที่ 5 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งจะจำหน่ายแบบคละไซส์ขนาดลูกละ 210 – 500 กรัม และมีค่าจัดส่งที่ 12 บาทต่อกิโลกรัมทั่วประเทศไทย หรือสามารถรับสินค้าได้ที่สำนักงาน ซีที เฟรช (ตลาดไท) หรือหน้าร้านเจียไต๋ฟาร์ม สาขาสุขุมวิท 60 นอกจากนี้ เจียไต๋ฟาร์ม ยังคงจำหน่ายฟักมองมินิบอลตามจำนวนผลที่ลูกค้าต้องการสั่งซื้อได้ตามปกติ ทั้งนี้ ราคาขึ้นกับขนาดของผลิตผลในแต่ละช่วง

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งได้ที่ Line: @chiataifarm Facebook: Chia Tai Farm และโทร 089-139-6170

เมืองไทยยูนิตลิงค์ เพิ่มทางเลือกคุ้มครองสุขภาพ จ่ายเบี้ยคงที่แบบคุ้มค่า

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่นำมาสู่ความตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมทางการเงิน เพื่อให้สามารถ ใช้จ่ายอย่างเพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ล่าสุดได้เปิดให้ลูกค้ายูนิตลิงค์ของบริษัทสามารถซื้อความคุ้มครองสุขภาพ D Health แนบแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการวางแผนความมั่นคงของชีวิต อุ่นใจขึ้นอีกขั้นด้วยความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุม และโอกาสรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

“การเจ็บป่วยทั้งโรคใกล้ตัว โรคร้ายแรง โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรืออุบัติเหตุ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ไม่ได้วางแผนไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินได้ ดังนั้นการวางแผนสุขภาพที่เหมาะสมด้วยการซื้อความคุ้มครองสุขภาพ D Health แนบกับ mDesign จะช่วยให้การใช้ชีวิตไม่สะดุด หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่คาดไม่ถึง ลดการใช้เงินออม เงินลงทุน หรือเงินเกษียณ มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล สามารถเลือกเหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรก หรือ เลือกจ่ายเบี้ยถูกลงเมื่อซื้อ  แบบเหมาจ่ายเฉพาะส่วนเกิน คุ้มครองการรักษาแบบผู้ป่วยใน ครอบคลุมค่าห้องพักเดี่ยวราคาเริ่มต้นของโรงพยาบาล” นายสาระ กล่าว

สำหรับจุดเด่นของ D Health เมื่อซื้อแนบ mDesign คือเบี้ยประกันภัยรวมคงที่ตลอดสัญญา แม้อายุผู้เอาประกันภัยเพิ่มมากขึ้น สามารถหยุดพักชำระเบี้ยฯ ได้ โดยความคุ้มครองสุขภาพยังคงอยู่ ตอบโจทย์เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยในแบบเหมาจ่ายตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุด 5 ล้านบาทต่อการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี เหมาะกับลูกค้าทั้งที่มีสวัสดิการและไม่มีสวัสดิการ โดยสามารถเลือกการมีส่วนร่วมจ่าย (Deductible) ได้ตั้งแต่ 30,000-100,000 บาท เพื่อให้เบี้ยประกันภัยถูกลง หมดกังวลเรื่องค่าห้องที่อาจปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต สบายใจเรื่องค่าห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ไอ.ซี.ยู.) ที่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และครอบคลุมค่าห้องพักเดี่ยวราคาเริ่มต้นของโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ความคุ้มครองสุขภาพ D Health เป็นสัญญาเพิ่มเติมแบบชำระค่าการประกันภัยโดยการหักจากมูลค่าการลงทุน ใช้แนบกับแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign ที่ตอบโจทย์การวางแผนทางการเงินของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่น โดยสามารถกำหนดความคุ้มครองชีวิต ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย และการลงทุนได้ด้วยตนเอง ในขณะที่สามารถเพิ่มเงินออมเพื่อการลงทุน ถอนเงินลงทุนออกบางส่วน หรือหยุดพักชำระเบี้ยก็สามารถทำได้ ทั้งยังสามารถเพิ่มความอุ่นใจด้วยสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพและโรคร้ายแรง    โดยเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกจัดพอร์ตกองทุนรวมได้หลากหลาย เข้าถึงกองทุนคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ ได้คัดสรรกองทุนรวมศักยภาพจาก บลจ.ชั้นนำ ทั้งยังมีพอร์ตการลงทุนแนะนำที่มีการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ตามระดับความเสี่ยงของลูกค้าให้เลือกลงทุนถึง 5 พอร์ตโฟลิโอ มีการติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าบรรลุทุกเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นใจ

ลูกค้าที่สนใจ D Health แนบแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign สามารถเลือกวางแผนความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนได้แล้ววันนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1766

CPF แกร่ง อวดกำไรไตรมาสแรกเกือบ 7 พันล. สวนโควิด

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทว่า บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 6,945 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และกระบวนการทำงาน รวมทั้ง การขยายกำลังการผลิต ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 เป็นเวลาปีกว่า ได้ส่งผลให้กำลังซื้อทั่วโลกลดลง บริษัทได้เพิ่มมาตรการป้องกันทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการทำงานให้มีความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำให้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดมีต่อธุรกิจของบริษัทไม่มากนัก แต่จากการปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนการผลิต การนำระบบงานดิจิตัล (Digitization) มาช่วยด้านประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การปรับช่องทางการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการเพิ่มกำลังผลิตในสินค้าที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการของหลายประเทศเป็นที่น่าพอใจ โดยที่ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสนี้ และคาดว่าน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังมุ่งมั่นในการวิจัย พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภค ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การขาย รวมถึงประเภทสินค้าอาหารสุขภาพที่เน้นด้านโภชนาการที่ดี และช่องทางจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจอาหารมีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้เช่นกัน

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีพีเอฟสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างไม่เกิดภาวะหยุดชะงัก คือ การมีมาตรฐานการผลิตที่ดี บริษัทมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยเพิ่มมาตรการเสริมควบคู่เพื่อป้องกันในทุกมิติ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตและส่งมอบอาหาร คุณภาพ ความปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค

นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” อย่างต่อเนื่อง บริษัทเห็นถึงความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้ายืนหยัดต่อสู้กับโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง จึงขอร่วมเป็นแรงสนับสนุนการต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ด้วยการส่งมอบอาหารปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาคโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ เพื่อช่วยเสริมกำลังกาย สร้างกำลังใจให้แก่กลุ่มบุคคลที่เสียสละและทุ่มเทเพื่อคนไทยทุกคน