Home Blog Page 20

“ดีป้า” หนุนโมเดล ภูเก็ตต้องชนะ.com จัดการวัคซีนในพื้นที่

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุนแพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ผลลัพธ์ความร่วมมือระหว่างรัฐ-เอกชนในการผลักดันให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ช่วยบริหารจัดการข้อมูลเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง พร้อมตั้งเป้าประชาชนในพื้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเกิน 70% รองรับการเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยว 1 กรกฎาคมนี้

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีดีเอส) มีข้อสั่งการให้ ดีป้า ดำเนินการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยให้ประเทศไทยข้ามผ่านวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญคือ แพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ที่ ดีป้า บูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัดภูเก็ต ดิจิทัลสตาร์ทอัพ รวมถึงภาคเอกชนในพื้นที่เร่งพัฒนาขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ดีป้า พร้อมด้วยผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Provider) ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com ขึ้น เพื่อให้ประชาชน รวมถึงผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยนำแพลตฟอร์มจัดเก็บและบริหารข้อมูลเมือง (City Data Platform) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เริ่มจากการนำฐานข้อมูลสุขภาพจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ตมาคัดกรองผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและต้องได้รับวัคซีนเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงเริ่มให้ประชาชนทั่วไปได้ลงทะเบียน จองวัน และเลือกสถานที่รับวัคซีนได้เอง นอกจากนี้ ระบบยังมีการเก็บข้อมูลการรับวัคซีนทั้ง 2 เข็มของประชาชน และสามารถเรียกดูได้ทันทีเพียงกรอกเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน โดยปัจจุบัน แพลตฟอร์ม ภูเก็ตต้องชนะ.com รับการลงทะเบียนและจองรับวัคซีนไปแล้วกว่า 350,000 คน โดยตั้งเป้าว่า ประชาชนในพื้นที่จะได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเกินกว่า 70% ก่อนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวในวันที่ 1 กรกฎาคม 2564

“การดำเนินงานครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีดิจิทัลมีส่วนช่วยในการบริหารจัดการวัคซีนให้เป็นระบบยิ่งขึ้น อีกทั้งตอบโจทย์ประชาชนในพื้นที่ ถือเป็นตัวอย่างผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัลบริหารจัดการข้อมูลเมือง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ที่สำคัญคือต้องยอมรับในความเข้มแข็งของจังหวัดภูเก็ต ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่พร้อมหยิบยื่นความถนัดของตนเองร่วมแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

เปิดตัวโรงพยาบาลใหม่ “นวเวช” ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา

“นวเวช” โรงพยาบาลแห่งใหม่ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ได้ฤกษ์เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2564 ตอบโจทย์ผู้ใช้บริการด้วยบริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงง่าย ชูความโดดเด่นเรื่องเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา

นายไกรวิน ศรีไกรวิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นวเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงพยาบาลนวเวชเกิดขึ้นจากการร่วมทุนของ 3 กลุ่มทุนใหญ่ คือ นายณพ ณรงค์เดช ถือหุ้นในสัดส่วน 51% บริษัท สหยูเนี่ยน จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 27% และเครือสหพัฒน์ ถือหุ้นในสัดส่วน 18% โดยใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 8.5 ไร่ ย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา ซึ่งเป็นศูนย์กลางคมนาคมของกรุงเทพฝั่งตะวันออก และมีผู้อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยโรงพยาบาลนวเวชมีเป้าหมายที่จะให้บริการทางการแพทย์ที่มีมาตรฐาน เข้าถึงง่าย และเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในย่านเกษตรนวมินทร์ รัชดา-รามอินทรา โดยมีจำนวนเตียงรองรับ 152 เตียง มีความสามารถในการบริการด้านสุขภาพทุกช่วงวัยครอบคลุมทั้ง 4 มิติสุขภาพ ได้แก่ ส่งเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟู ด้วยทีมบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รองรับปัญหาสุขภาพและความแตกต่างของแต่ละบุคคล 

“เราเข้าใจปัญหาต่างๆ ที่ผู้รับบริการต้องเจอ เราจึงสร้างโรงพยาบาลนวเวชให้สามารถครอบคลุมทุกการรักษาระดับมาตรฐานสากล โดยผู้รับบริการจะได้รับการวินิจฉัยจากทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ และได้รับการรักษาด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย ค่ารักษาที่เข้าถึงง่ายและสมเหตุสมผล”

โดยนายไกรวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์แล้ว โรงพยาบาลนวเวชยังมีเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ และเทคโนโลยีสนับสนุนการบริการที่ทันสมัย

“เราให้ความสำคัญกับการบูรณาการความรู้ที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ก่อตั้ง ศูนย์การเรียนรู้ด้านรังสีวินิจฉัยโดยความร่วมมือระหว่างฟิลิปส์ และโรงพยาบาลนวเวช เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และอัพเดทความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านรังสีวินิจฉัยให้กับบุคลากรของโรงพยาบาล โดยผ่านการฝึกอบรมกับเครื่องมือจริง และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งฟิลิปส์และนวเวชมุ่งหวังว่าศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะช่วยยกระดับบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งพัฒนาวงการแพทย์ให้ก้าวหน้า และนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน”

โนมูระ มั่นใจลุยร่วมทุน ออริจิ้น หนุนมูลค่าร่วมทุนคอนโด 3.4 หมื่นล้าน

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 1 โครงการ คือโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ โซโห แบงค็อก รัชดา  มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท ถือเป็นการเดินหน้าร่วมทุนกันอย่างต่อเนื่อง จากช่วงต้นปีที่เพิ่งร่วมทุนกันเพิ่มเติมไป 2 โครงการ 

“แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกที่ 3 แต่โนมูระยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจระดับท็อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกัน ผลงานโครงการร่วมทุนในโครงการต่างๆ ที่ผ่านมา ตลอดจนผลงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทที่ทำกำไรได้เป็นระดับ Top 3 ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นเครื่องการันตีที่ทำให้โนมูระมั่นใจและตัดสินใจเดินหน้าร่วมทุนโครงการคอนโดมิเนียมกับเราอย่างต่อเนื่อง” นายพีระพงศ์ กล่าว 

จากการร่วมทุนเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ มีการร่วมทุนกันในกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมสะสมจากเดิม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 32,314 ล้านบาท เพิ่มเป็น 10โครงการ มูลค่าโครงการร่วมทุนกลุ่มคอนโดมิเนียมสะสม 34,014 ล้านบาท และส่งผลให้การร่วมทุนสะสมระหว่างกันครอบคลุมในคอนโดมิเนียมทุกเซ็กเมนท์ ตั้งแต่แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์อย่างไนท์บริดจ์ แบรนด์คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่อย่างพาร์ค ออริจิ้น แบรนด์คอนโดมิเนียมสำหรับคน Gen Z อย่างดิ ออริจิ้น มาจนถึงแบรนด์ใหม่อย่างโซโห แบงค็อก 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการโซโห แบงค็อก รัชดา  เป็นโครงการคอนโดมิเนียม High Rise สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เปิดขายเมื่อช่วงไตรมาส 4/2563 เป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่โซโห แบงค็อก โครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแกร่งทั้งด้านทำเลระดับย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ปัจจุบัน มียอดขายสะสมแล้วกว่า 80% 

ทั้งนี้ บริษัทยังคงพิจารณาการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งรายเดิม และรายใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและก้าวกระโดดตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL โดยเฉพาะในด้านการขยายธุรกิจ (Next Level of Business Expansion) โดยอาจพิจารณาร่วมทุนได้ทั้งในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย โครงการที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม รวมถึงธุรกิจประเภทอื่นๆ ที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต 

เจียไต๋ เอาใจแฟนฟักทองมินิบอล จัดโปรสุดพิเศษ ยิ่งซื้อเยอะ ยิ่งคุ้มค่า

รายงานข่าว เปิดเผยว่า  เจียไต๋ฟาร์ม โดยบริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรของไทย ขนทัพฟักทองมินิบอลจัดโปรโมชั่นสุดคุ้มกว่าครั้งไหนๆ เอาใจแฟนพันธุ์แท้มินิบอลที่ถูกใจในรสชาติความอร่อย ด้วยเนื้อฟักทองที่ละเอียด เหนียว และหวานมัน อุดมด้วยวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน และสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พร้อมสนับสนุนและเพิ่มช่องทางการขายผลิตผลจากเกษตรกรผู้ปลูก โดยสามารถจับจองได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าสินค้าจะหมด

ฟักทองมินิบอลหรือฟักทองสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่เจียไต๋ได้ปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นจนได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดนี้ มีรสชาติที่หวานอร่อย โดดเด่นด้วยรสสัมผัสของเนื้อที่เหนียวนุ่มต่างจากฟักทองทั่วไป ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ใครได้รับประทานต่างติดอกติดใจ อีกทั้ง สามารถนำไปนึ่งและรับประทานได้ทั้งเปลือก หรือจะนำไปปรุงอาหารคาว หวาน ก็ไม่ทำให้เสียรสชาติเดิม เช่น เมนูยอดฮิต ฟักทองมินิบอลสังขยา หรือเมนูฟิวชั่นอย่างฟักทองมินิบอลแมคแอนด์ชีส แม้กระทั่งนำไปทำน้ำฟักทองสำหรับคุณแม่ที่อยากบำรุงครรภ์เพิ่มน้ำนม เป็นต้น

และเพื่อสนับสนุนผลิตผลจากเกษตรกรไทย เจียไต๋ฟาร์ม จึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ติดใจในรสชาติและผู้ที่อยากลิ้มลองความอร่อย รวมถึงพ่อค้าแม่ขายที่มองหาผลิตผลที่ตลาดต้องการ ได้จับจองซื้อฟักทองมินิบอลกันแบบเหมาๆ ในราคาสุดพิเศษเพียงกิโลกรัมละ 30 บาทเท่านั้น โดยกำหนดการสั่งขั้นต่ำที่ 5 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งจะจำหน่ายแบบคละไซส์ขนาดลูกละ 210 – 500 กรัม และมีค่าจัดส่งที่ 12 บาทต่อกิโลกรัมทั่วประเทศไทย หรือสามารถรับสินค้าได้ที่สำนักงาน ซีที เฟรช (ตลาดไท) หรือหน้าร้านเจียไต๋ฟาร์ม สาขาสุขุมวิท 60 นอกจากนี้ เจียไต๋ฟาร์ม ยังคงจำหน่ายฟักมองมินิบอลตามจำนวนผลที่ลูกค้าต้องการสั่งซื้อได้ตามปกติ ทั้งนี้ ราคาขึ้นกับขนาดของผลิตผลในแต่ละช่วง

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป (หรือจนกว่าสินค้าจะหมด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งได้ที่ Line: @chiataifarm Facebook: Chia Tai Farm และโทร 089-139-6170

เมืองไทยยูนิตลิงค์ เพิ่มทางเลือกคุ้มครองสุขภาพ จ่ายเบี้ยคงที่แบบคุ้มค่า

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่นำมาสู่ความตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมทางการเงิน เพื่อให้สามารถ ใช้จ่ายอย่างเพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ล่าสุดได้เปิดให้ลูกค้ายูนิตลิงค์ของบริษัทสามารถซื้อความคุ้มครองสุขภาพ D Health แนบแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการวางแผนความมั่นคงของชีวิต อุ่นใจขึ้นอีกขั้นด้วยความคุ้มครองสุขภาพที่ครอบคลุม และโอกาสรับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

“การเจ็บป่วยทั้งโรคใกล้ตัว โรคร้ายแรง โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรืออุบัติเหตุ มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่ไม่ได้วางแผนไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินได้ ดังนั้นการวางแผนสุขภาพที่เหมาะสมด้วยการซื้อความคุ้มครองสุขภาพ D Health แนบกับ mDesign จะช่วยให้การใช้ชีวิตไม่สะดุด หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่คาดไม่ถึง ลดการใช้เงินออม เงินลงทุน หรือเงินเกษียณ มาจ่ายค่ารักษาพยาบาล สามารถเลือกเหมาจ่ายตั้งแต่บาทแรก หรือ เลือกจ่ายเบี้ยถูกลงเมื่อซื้อ  แบบเหมาจ่ายเฉพาะส่วนเกิน คุ้มครองการรักษาแบบผู้ป่วยใน ครอบคลุมค่าห้องพักเดี่ยวราคาเริ่มต้นของโรงพยาบาล” นายสาระ กล่าว

สำหรับจุดเด่นของ D Health เมื่อซื้อแนบ mDesign คือเบี้ยประกันภัยรวมคงที่ตลอดสัญญา แม้อายุผู้เอาประกันภัยเพิ่มมากขึ้น สามารถหยุดพักชำระเบี้ยฯ ได้ โดยความคุ้มครองสุขภาพยังคงอยู่ ตอบโจทย์เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างครอบคลุม เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยในแบบเหมาจ่ายตั้งแต่ 1 ล้านบาท สูงสุด 5 ล้านบาทต่อการเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี เหมาะกับลูกค้าทั้งที่มีสวัสดิการและไม่มีสวัสดิการ โดยสามารถเลือกการมีส่วนร่วมจ่าย (Deductible) ได้ตั้งแต่ 30,000-100,000 บาท เพื่อให้เบี้ยประกันภัยถูกลง หมดกังวลเรื่องค่าห้องที่อาจปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต สบายใจเรื่องค่าห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ไอ.ซี.ยู.) ที่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และครอบคลุมค่าห้องพักเดี่ยวราคาเริ่มต้นของโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ความคุ้มครองสุขภาพ D Health เป็นสัญญาเพิ่มเติมแบบชำระค่าการประกันภัยโดยการหักจากมูลค่าการลงทุน ใช้แนบกับแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign ที่ตอบโจทย์การวางแผนทางการเงินของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่น โดยสามารถกำหนดความคุ้มครองชีวิต ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย และการลงทุนได้ด้วยตนเอง ในขณะที่สามารถเพิ่มเงินออมเพื่อการลงทุน ถอนเงินลงทุนออกบางส่วน หรือหยุดพักชำระเบี้ยก็สามารถทำได้ ทั้งยังสามารถเพิ่มความอุ่นใจด้วยสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพและโรคร้ายแรง    โดยเบี้ยประกันภัยคงที่ตลอดอายุสัญญา

นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกจัดพอร์ตกองทุนรวมได้หลากหลาย เข้าถึงกองทุนคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ ได้คัดสรรกองทุนรวมศักยภาพจาก บลจ.ชั้นนำ ทั้งยังมีพอร์ตการลงทุนแนะนำที่มีการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ตามระดับความเสี่ยงของลูกค้าให้เลือกลงทุนถึง 5 พอร์ตโฟลิโอ มีการติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์การลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการลงทุน เพื่อให้ลูกค้าบรรลุทุกเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นใจ

ลูกค้าที่สนใจ D Health แนบแบบประกันชีวิตควบการลงทุน mDesign สามารถเลือกวางแผนความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนได้แล้ววันนี้ ผู้สนใจสามารถติดต่อตัวแทนเมืองไทยประกันชีวิต หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1766

CPF แกร่ง อวดกำไรไตรมาสแรกเกือบ 7 พันล. สวนโควิด

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทว่า บริษัทมีกำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 6,945 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการให้ความสำคัญด้านประสิทธิภาพการผลิต การตลาด และกระบวนการทำงาน รวมทั้ง การขยายกำลังการผลิต ประกอบกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 เป็นเวลาปีกว่า ได้ส่งผลให้กำลังซื้อทั่วโลกลดลง บริษัทได้เพิ่มมาตรการป้องกันทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการทำงานให้มีความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำให้ผลกระทบจากการแพร่ระบาดมีต่อธุรกิจของบริษัทไม่มากนัก แต่จากการปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนการผลิต การนำระบบงานดิจิตัล (Digitization) มาช่วยด้านประสิทธิภาพมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า การปรับช่องทางการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมถึงการเพิ่มกำลังผลิตในสินค้าที่ลูกค้าต้องการมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการของหลายประเทศเป็นที่น่าพอใจ โดยที่ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศกัมพูชาเป็นประเทศที่มีผลประกอบการที่โดดเด่นในไตรมาสนี้ และคาดว่าน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังมุ่งมั่นในการวิจัย พัฒนา สร้างสรรค์นวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร เพื่อตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้บริโภค ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางด้านการตลาด การขาย รวมถึงประเภทสินค้าอาหารสุขภาพที่เน้นด้านโภชนาการที่ดี และช่องทางจัดจำหน่ายให้สอดคล้องกับสภาวะของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจอาหารมีการเติบโตที่ดีในไตรมาสนี้เช่นกัน

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีพีเอฟสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างไม่เกิดภาวะหยุดชะงัก คือ การมีมาตรฐานการผลิตที่ดี บริษัทมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยเพิ่มมาตรการเสริมควบคู่เพื่อป้องกันในทุกมิติ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตและส่งมอบอาหาร คุณภาพ ความปลอดภัยถึงมือผู้บริโภค

นายประสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทได้ดำเนินโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” อย่างต่อเนื่อง บริษัทเห็นถึงความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้ายืนหยัดต่อสู้กับโควิด-19 อย่างเต็มกำลัง จึงขอร่วมเป็นแรงสนับสนุนการต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ด้วยการส่งมอบอาหารปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาคโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ เพื่อช่วยเสริมกำลังกาย สร้างกำลังใจให้แก่กลุ่มบุคคลที่เสียสละและทุ่มเทเพื่อคนไทยทุกคน

พลีบิลท์ ปลื้ม ผลประกอบการไตรมาสแรก กำไรโตสวนโควิด 42%

นายวิโรจน์ เจริญตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จํากัด (มหาชน) หรือ PREB เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า บริษัทยังคงสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่องจากปี 2563 โดยไตรมาสหนึ่ง บริษัทมีกำไรสุทธิ 57.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.02 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 40.64 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 42% โดยบริษัทมีรายได้ 1,076.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.36 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน ​

ทั้งนี้ รายได้ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากการที่บริษัทรับรู้รายได้จากยอดโอน โครงการ “พรรณนา” บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ ย่านพุทธมณฑลสาย4 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทฯลงทุนเอง เป็นโครงการแรก ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีเกินความคาดหมาย ด้วยโครงการที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า ทั้งทำเลที่ตั้ง ขนาดพื้นที่ คุณภาพวัสดุก่อสร้างและการออกแบบที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของโครงการ โดยสามารถขายเฟสแรกได้เกือบหมดแล้ว และขณะนี้ได้เตรียมขึ้นโครงการในเฟสสอง โดยตลอดทั้งปีนี้จะรับรู้ยอดโอนของโครงการ “พรรณนา” ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าทั้งปีนี้จะสามารถสร้างรายได้จากโครงการพรรณนาเพิ่มขึ้นอีก 600 กว่าล้านบาท รวมทั้งเตรียมเปิดโครงการใหม่ “พิมนารา” ย่านถนนศรีนครินทร์หนามแดง ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทลงทุนเองทั้งหมดเช่นกัน ซึ่งคาดว่าทั้งสองโครงการจะสร้างรายได้โดยรวม 700 ล้านบาท

​นอกจากนี้ รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น ยังมาจากส่วนงานรับเหมาก่อสร้าง ที่เป็นรายได้หลักของบริษัท ที่กลับมาก่อสร้างและส่งมอบงานได้มากขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยมั่นใจว่าตลอดทั้งปี2564 จะส่งมอบงานก่อสร้างได้มากกว่าปี 2563 เนื่องจากปริมาณงานที่ถูกชะลอการขึ้นโครงการในปีที่ผ่านมา จึงทำให้ยอดส่งมอบปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ จะยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ ที่ระดับใกล้เคียงกับปี 2563 หรืออาจจะมากกว่า หากเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้นในปีนี้ ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่รอทยอยรับรู้รายได้รวมมูลค่ากว่า 7,300 ล้านบาท โดยจะเป็นการรับรู้รายได้มากกว่า 53% ในปีนี้ และที่เหลือกว่า 42% รับรู้รายได้ในปี 2565

สำหรับในส่วนของงานผลิตและจำหน่ายแผ่นพื้นสำเร็จรูป คาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมในปี 2564 จะดีกว่าปี 2563 เช่นกัน เนื่องจากโรงงานมีการปรับฐานการผลิต และเปลี่ยนแปลงการรับลูกค้าจากเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าแนวราบที่มีศักยภาพด้านการขายเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับเดิมซึ่งเป็นระดับที่สูงได้“จากผลงานไตรมาส 1 ที่สามารถเติบโตได้ดีทั้งรายได้และกำไรสุทธิ ทำให้บริษัทมั่นใจว่าตลอดทั้งปีนี้ในทุกหน่วยธุรกิจจะยังคงเดินหน้าขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยบริษัทจะมุ่งมั่นบริหารจัดการธุรกิจและต้นทุนค่าใช้จ่าย ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งรักษากระแสเงินสดในมือให้มีความพอเพียงในการรับมือกับทุกสถานการณ์ รวมทั้งมีความรอบคอบและระมัดระวังในการลงทุน

​นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปีนี้ PREB ยังมี backlog ที่จะเปลี่ยนเป็นรายได้ จากการร่วมลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์กับพันธมิตร ในโครงการ Quinto และโครงการ Eigen โดยทั้ง 2 โครงการ คาดว่าจะมียอดโอนรวมกันภายในปี 2564 ประมาณ 952 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรับรู้ผลกำไรตามสัดส่วนการลงทุนที่ 49% และ 35 % ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมทุนที่”จตุโชติ” ซึ่งคาดว่าจะสามารถพัฒนาและพร้อมโอนได้ในไตรมาส 4ปีนี้ อีกส่วนหนึ่งประมาณ 123 ล้านบาท ทำให้คาดว่าผลกำไรจากการลงทุนในบริษัทฯ ร่วมทุนในปี 2564 จะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีการรับรู้รายได้เพียง 513 ล้านบาท

“การต่อยอดธุรกิจและกระจายแหล่งที่มีของรายได้ เพื่อเสริมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทนี้ จะทำให้รายได้และกำไรของบริษัทฯโดยรวมทั้งปี เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และบริษัทฯ ตั้งเป้าบริหารจัดการการเงินเพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2563 ที่ผ่าน บริษัทได้จ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท รวมเป็นเงินกว่า 123.47ล้านบาท จากกำไรสุทธิทั้งปีที่ 165.66ล้านบาท คิดเป็นเงินปันผล 74.07% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่านโยบายปันผลที่กำหนดไว้ไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 21 พ.ค.นี้ ซึ่งได้มีการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลไปแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ค.2564 ที่ผ่านมา” นายวิโรจน์กล่าว

เชสเตอร์ เปิดเมนูใหม่ ‘ไก่อันยองวิงส์’ กรอบ ฟิน เหมือนกินที่เกาหลี

บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ดในเครือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผู้นำเมนูไก่ย่าง ขอเปิดเทรนด์อาหารใหม่ เอาใจคอไก่ทอดสไตล์เกาหลี ด้วยเมนู “ไก่อันยองวิงส์” ไก่ทอดกรอบ คลุกเคล้าซอสรสชาติเข้มข้นสไตล์เกาหลี ที่คิดค้นพิเศษของเชสเตอร์ มีให้เลือก 2 รสชาติ ได้แก่ ‘การ์ลิค’ หอมกระเทียมลงตัว และ ‘โคเรียนสไปซี่’ เผ็ดถึงใจกับพริกเกาหลี ทานคู่กับข้าวสวย ผักดอง หรือเฟรนฟรายส์ ก็อร่อยลงตัว 

สัมผัสประสบการณ์ความอร่อยใหม่ “ไก่อันยองวิงส์” พร้อมกับโปรโมชั่นสุดสุดคุ้ม 3 ชุด ได้แก่ อันยองมินิ ประกอบด้วย ไก่อันยองวิงส์ 6 ชิ้น ข้าวสวย ผักดอง (พร้อมเครื่องดื่ม 16 ออนซ์) ราคาพิเศษ 179 บาท (จากปกติ 212 บาท) อันยองไจแอนท์ ไก่อันยองวิงส์ 10 ชิ้น ข้าวสวย 2 ที่ ผักดอง 2 ที่ (พร้อมเครื่องดื่ม 16 ออนซ์ 2 แก้ว) ราคาพิเศษ 299 บาท (จากปกติ 361 บาท) และอันยองภูเขาไฟ ไก่อันยองวิงส์ 7 ชิ้น พร้อมภูเขาเฟรนช์ฟรายส์ ราคาพิเศษ 179 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 64 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด สามารถสั่งที่ร้านเชสเตอร์ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ สั่งเชสเตอร์เดลิเวอรี่ โทร. 1145 หรือช่องทางเว็บไซต์ www.chesters.co.th รวมถึงแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ 

เชสเตอร์ ยังคงเข้มงวดในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และคุมเข้มทุกมาตรการด้านสุขอนามัยรับความปกติใหม่ (New Normal) ทั้งการบริการในร้าน โดยการขอความร่วมมือจากลูกค้า สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าร้าน ตลอดจนการเว้นระยะห่างทางสังคมระหว่างเข้าแถวชำระสินค้า และแบบดีลิเวอรี่ มีการจัดที่นั่งพิเศษสำหรับไรเดอร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จัดทำอาหารตามรายการออเดอร์ให้ได้ตามมาตรฐานทั้งเรื่องคุณภาพสินค้า ความสะอาด พร้อมทั้งแพ็ครายการสินค้าและตรวจสอบให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าและบริการแก่ลูกค้า

ออมสิน ช่วยลูกค้าเอสเอ็มอี พักชำระเงินต้น จ่ายแค่ดอกเบี้ย ถึงสิ้นปี

ออมสิน ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ลดภาระค่าใช้จ่ายโดยให้พักชำระเงินต้น จนถึง 31 ธันวาคม 2564

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินดำเนินการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารออมสิน จึงกำหนดมาตรการพักชำระเงินต้น – ชำระเฉพาะดอกเบี้ย ให้ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ทั้งที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการได้ตามความสมัครใจ เช่นเดียวกับลูกค้ารายย่อย

ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนของผู้ที่ต้องขาดรายได้หรือรายได้ลดลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สำหรับผู้ที่เป็นลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs และสมัครใจเข้าร่วมมาตรการ สามารถพักชำระเงินต้นเป็นการชั่วคราว และชำระเฉพาะดอกเบี้ย ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 วิธีการ คือ

  • 1. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 10 ล้านบาท ให้แจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการและเลือกแผนชำระหนี้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน MyMo
  • 2. ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา มีวงเงินกู้คงเหลือมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท และนิติบุคคลที่มีวงเงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ติดต่อแจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว เป็นมาตรการเสริมจากการแก้ไขปัญหานี้ค้างชำระ ที่ธนาคารฯ ได้ดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามงวดชำระเดิม โดยที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 5 แสนรายสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center ธนาคารออมสิน โทร. 1115 facebook : GSB Society และขอย้ำว่าธนาคารฯ ให้บริการทางการเงินรูปแบบดิจิทัลทางแอปพลิเคชัน MyMo เท่านั้น

เมืองไทยประกันชีวิต ขยายความคุ้มครองครอบคลุมผลกระทบหลังฉีดวัคซีนโควิด 19 ฟรี! ไม่ต้องลงทะเบียน

นายสาระ ล่าซา กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้าการดาเนินงานภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ที่พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ล่าสุดเพื่อเป็นการมอบความอุ่นใจและสร้างความมั่นใจในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) บริษัทฯ ได้ทาการมอบความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม ด้วยการขยายความคุ้มครองผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ฟรี! โดยไม่ต้องลงทะเบียน เพียงลูกค้ามีกรมธรรม์ตามที่บริษัทฯ กาหนดและยังมีผลคุ้มครองอยู่ จะได้รับความคุ้มครอง ตามสิทธิของแต่ละแบบประกันภัยและเงื่อนไขที่กาหนด โดยสามารถใช้สิทธิความคุ้มครองได้ตั้งแต่วันนี้ 31 ธันวาคม 2564

สาหรับการขยายความคุ้มครองดังกล่าวจะมอบให้แก่ลูกค้าที่มีความคุ้มครองกลุ่มค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน กลุ่มค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก และกลุ่มชดเชยรายวัน ที่แนบท้ายกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภทสามัญ และประเภทควบการลงทุน รวมถึงประเภทประกันกลุ่ม และจะจ่ายผลประโยชน์ความคุ้มครองสาหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกินผลประโยชน์ที่ระบุในตารางผลประโยชน์ของกรมธรรม์ประกันภัยที่ลูกค้าถือครอง โดยแบบประกันภัยที่ได้รับความคุ้มครองพิเศษเพิ่มเติม ประกอบด้วย ความคุ้มครองกลุ่มค่ารักษาพยาบาลและค่าชดเชยรายวัน เช่น สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ ดี เฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ สมาร์ทเฮลท์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ ไดมอนด์แคร์, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ แยกค่าใช้จ่าย (H&S), สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ วีไอพี, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ เหมาจ่าย, สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพแบบ พรีเมี่ยม เฮลท์ แคร์, สัญญาเพิ่มเติม การรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD), สัญญาเพิ่มเติม สุขภาพวงเงินแน่นอน (HB), สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพข้าราชการสุขสันต์, สัญญาเพิ่มเติม สุขภาพเด็กเล็ก (0-5 ปี), สัญญาเพิ่มเติม คุ้มครองค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรม, ตะกาฟุล สุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย, ตะกาฟุลสุขภาพแบบวงเงินแน่นอน และสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพกลุ่ม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การขยายความคุ้มครองดังกล่าว จะยกเว้นความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเคยเจ็บป่วยจากผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ก่อนวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 หรือก่อนวันที่เริ่มมีผลคุ้มครองตามสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพที่ลูกค้าถือครอง และยกเว้นความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเจ็บป่วยจากผลกระทบหลังจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง (Waiting Period)
สาหรับผู้ที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ โทร. 1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดที่ www.muangthai.co.th