Home Blog Page 2

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้อนรับ บมจ. กลุ่มสมอทอง (SMO) เริ่มซื้อขาย 10 พ.ย. นี้

นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์ และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. กลุ่มสมอทอง เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อ “SMO” ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เพื่อขยายกำลังการผลิตและบูรณาการในห่วงโซ่อุปทานน้ำมันปาล์มดิบ เสริมความแข็งแกร่งด้าน ESG และประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนยกระดับการเชื่อมโยงกับเครือข่ายเกษตรกร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันไทย

SMO เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และผลพลอยได้ และผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เริ่มจากคัดสรรวัตถุดิบ การจัดการผลิตที่มีมาตรฐาน ให้ได้ผลผลิตสูง และนำผลพลอยได้จากการผลิตมาสร้างเป็นพลังงาน ปัจจุบันดำเนินงานผ่านโรงงาน 4 แห่ง ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพร และสระบุรี มีกำลังสกัดรวม 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ มีช่องทางขายทั้งในและต่างประเทศ นับเป็นหนึ่งในผู้ผลิต CPO รายสำคัญของประเทศ

นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กลุ่มสมอทอง กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจและเสริมศักยภาพในการเติบโตให้กับบริษัท ด้วยความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่มีประสบการณ์ยาวนานในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน เป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบชั้นนำของประเทศ มีส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศ รวมถึงธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ก็มีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน หลังจากการระดมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน ขยายธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทพร้อมมุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูแลชุมชน และผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องด้วยธรรมาภิบาลที่ดี และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ข้อมูลการเสนอขาย: SMO มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 920 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 231.6 ล้านหุ้น โดยเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท รวมถึงบุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม และ 3-4 พฤศจิกายน 2568 ในราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนจากหุ้นใหม่ 1,250.64 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,968 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.60 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully Diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.71 บาท โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO: 1) กลุ่มครอบครัวพวงมาลา ถือหุ้น 20.46% 2) ครอบครัวพิริเยศยางกูล ถือหุ้น 20.16% และ 3) กลุ่มครอบครัวลัม ถือหุ้น 17.75% ทั้งนี้ บริษัทมี นโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองต่างๆ โดยพิจารณาจากงบการเงินรวม

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.smothonggroup.com และ www.set.or.th

เปิดโอกาสลงทุนมั่นคง! AIS เสนอขายหุ้นกู้ 7 ปี ที่ 2.29% ต่อปี ต่อประชาชนทั่วไป ความน่าเชื่อถือระดับ AAA ระหว่างวันที่ 10 – 12 พ.ย. 68

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทยทั้งโครงข่ายมือถือ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และบริการดิจิทัล ที่มีฐานลูกค้ารวมกว่า 51.5 ล้านราย เสนอขายหุ้นกู้อายุ 7 ปี ให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไป เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 10 – 12 พฤศจิกายน 2568 มั่นใจเป็นการสร้างโอกาสการลงทุนในผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะครบวงจร ชูจัดอันดับความน่าเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ “AAA(tha)” จากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งในธุรกิจ และสถานะทางการเงินที่มีความมั่นคง พร้อมแต่งตั้ง 5 สถาบันการเงินชั้นนำเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ ธ.กสิกรไทย ธ.กรุงไทย ธ.กรุงศรีอยุธยา ธ.ทหารไทยธนชาต และ บล.เกียรตินาคินภัทร

ธีร์ สีอัมพรโรจน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน เอไอเอส

นายธีร์ สีอัมพรโรจน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการเงิน เอไอเอส กล่าวว่า “การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงินของ AIS เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำถึงโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว ภายใต้รากฐานธุรกิจโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง โดย  AIS มุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการแล้วมากกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เข้าถึงกว่า 20 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ รวมถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรมแพลตฟอร์มสำหรับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมหลักของประเทศ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่า AIS พร้อมเดินหน้าเติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์การเป็น Cognitive Tech-Co อย่างเต็มรูปแบบ ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ยกระดับคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนธุรกิจของคนไทย ตามแนวคิด AI for Sustainable Nation ที่จะเชื่อมทุกภาคส่วนให้เติบโตไปด้วยกัน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) คือ รุ่นอายุ 7 ปี กำหนดการชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ผู้ลงทุนทั่วไปจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยที่ 2.29% บริษัทมั่นใจว่าหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 54,362 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จากปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งรายได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1 จากการขยายฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ การส่งเสริมแพ็กเกจ 5G และบริการเสริมด้านความบันเทิง ส่วนรายได้จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากการขยายฐานลูกค้าและการปรับตัวดีขึ้นของ ARPU ขณะที่รายได้จากลูกค้าองค์กรและบริการอื่น ๆ เติบโตร้อยละ 14 ตามความต้องการบริการเชื่อมต่อเครือข่าย (EDS) และคลาวด์ อีกทั้งรายได้จากการขายอุปกรณ์และซิมเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากความต้องการสมาร์ทโฟนที่สูงขึ้น ด้านต้นทุนการให้บริการลดลงร้อยละ 6.9 จากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ลดลง ในขณะค่าใช้จ่ายขายและบริหารลดลงร้อยละ 16  ทำให้บริษัทสามารถเติบโต EBITDA กว่าร้อยละ 10 และมีกำไรสุทธิ 12,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากปีก่อน สะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินว่า AIS มีสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่ง สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ด้วยส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้บริการร้อยละ 49 และร้อยละ 47 ตามลำดับ อีกทั้งการขยายธุรกิจสู่บริการลูกค้าองค์กร ศูนย์ข้อมูล และคลาวด์ ช่วยกระจายแหล่งรายได้ เสริมความแข็งแกร่งทางการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงของกระแสเงินสดในระยะกลาง

สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ของ AIS สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่

  • ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-888-8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
  • ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02-111-1111 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Krungthai NEXT เฉพาะผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น)
  • ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร.1572 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน krungsri app เฉพาะผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น)
  • ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร.1428 กด #4  

รวมถึง บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน)

  • บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02-165-5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชั่น Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)

เมืองไทยประกันชีวิต ยกทัพผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชัน ร่วมงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 20 ครบทั้งความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ การออม วางแผนภาษี และการเกษียณ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 20 “Money Expo 2025 Chiang Mai” ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต  โดยได้จัดเตรียมผลิตภัณฑ์ บริการ โปรโมชันโดนใจ และสิทธิพิเศษจากเมืองไทยสไมล์คลับ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างอย่างครบถ้วน ทั้งด้านความคุ้มครอง สุขภาพ การออม การวางแผนด้านการลดหย่อนภาษี และการวางแผนเกษียณ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาด้านการวางแผนประกันชีวิตครบวงจร เพื่อช่วยให้ทุกคนมีหลักประกันที่มั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกคนในสังคม

โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่ได้คัดสรรมานำเสนอ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ในแคมเปญ ShieldLife  ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป ด้วยการวางแผนสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life)  สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส และสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง ซีไอ เพอร์เฟค แคร์ 

นอกจากนี้ได้จัดเตรียมแบบประกันภัยพิเศษ 7 แบบประกัน ซึ่งตอบโจทย์ทั้งการออม การลงทุน การวางแผนลดหย่อนภาษี และการเกษียณอย่างครบถ้วน ได้แก่ โครงการเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global)  ออมทรัพย์ 20/14  โครงการเมืองไทย สไมล์ เซฟเวอร์ 20/16 โครงการเมืองไทย แฮปปี้ รีเทิร์น 80/4 เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5 ดี55, ดี60, ดี65 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) พร้อมโปรโมชันโดนใจสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัยใหม่หรือชำระเบี้ยต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บูธเมืองไทยประกันชีวิต

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ พบกับสิทธิพิเศษมากมาย ภายในจุดบริการสไมล์คลับ สำหรับสมาชิกฯ ที่มีคะแนน Smile Point สามารถนำคะแนนสไมล์พ้อยแลกคะแนนสะสมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกช่วงอายุหลากหลายไลฟ์สไตล์ อาทิ เมืองไทย Smile Society 2025 : ผ่าตัดหัวใจแก่ผู้ยากไร้ เชิญชวนสมาชิกเมืองไทย สไมล์คลับ ร่วมส่งต่อความสุขและรอยยิ้มที่ยั่งยืนให้กับสังคม โดยการบริจาคคะแนนสะสม 1 Smile Point เท่ากับมูลค่าเงิน 5 บาท เพื่อสมทบทุนโครงการ “ผ่าตัดหัวใจแก่ผู้ยากไร้” สนับสนุนเงินบริจาคให้แก่มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

เมืองไทยสไมล์มอบโชค 2568 พอยต์น้อยก็แลกได้ เพียง 2 Smile Points แลกคูปองชิงโชค 1 ใบ โดยจับรางวัลโทรศัพท์ Samsung Galaxy Z Flip 7 (12GB/256GB) มูลค่า 36,274 บาท จำนวน 5 รางวัล  แลกคะแนนรับของที่ระลึก หรือบัตรกำนัลต่าง ๆ เช่น บัตรชมภาพยนตร์ SF First Class มูลค่า 1,200 บาท ต่อ 1 ใบ พิเศษภายในงานรับบัตร 2 ใบ แลกคะแนนเพียง 370 คะแนน (ปกติ 740 คะแนน) บัตรกำนัลเซ็นทรัล มูลค่า 1,000 บาท บัตรกำนัล โลตัส 1,000 บาท  บัตรเติมน้ำมัน ปตท. มูลค่า 500 บาท  และพิเศษ! สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนน Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท (จากปกติ 100 บาท) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พิเศษสุด สำหรับสมาชิกฯ ที่สมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด และใช้จ่ายค่าเบี้ยประกัน เมืองไทยประกันชีวิต แบบเต็มจำนวน รับโปรโมชันสุดคุ้ม

คุ้มที่ 1  รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 4,000 บาท   พร้อมสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากบัตรเมืองไทยสไมล์ฯ       รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 0.25% จากยอดใช้จ่าย

คุ้มที่ 2 แลกคะแนน K Point รับเครดิตเงินคืน 10%** โดยเปลี่ยนคะแนน K Point เป็นเครดิตเงินคืนได้! แลก 1,000 คะแนน = รับเครดิตเงินคืน 100 บาท หรือแลกคะแนนตามยอดใช้จ่าย เพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% (สูงสุด 500,000 คะแนน)

*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี

แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต มหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 20 “Money Expo 2025 Chiang Mai” ระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต  

AIS คว้า 3 รางวัลเวที IAA 2025 ต่อเนื่อง จากส.นักวิเคราะห์การลงทุนตอกย้ำความแข็งแกร่งที่พร้อมส่งมอบคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกมิติอย่างยั่งยืน

เอไอเอส ตอกย้ำผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ด้วยความแข็งแกร่งครบทุกมิติ คว้า 3 รางวัลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ในงาน IAA Awards for Listed Companies 2025 ในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ใน 3 หมวดรางวัลด้วยกัน ได้แก่ รางวัล CEO ยอดเยี่ยม สะท้อนการมีผู้นำแห่งวิสัยทัศน์ ที่พร้อมขับเคลื่อนนวัตกรรมและกลยุทธ์ในผลักดันสู่องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ ที่สร้างประสบการณ์ยอดเยี่ยมให้ลูกค้าและผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน, รางวัล CFO ยอดเยี่ยม ผู้นำที่เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพในการบริหารงานและการจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้แนวทางการพัฒนาองค์กรเป็นไปตามเป้าหมาย รางวัล IR ยอดเยี่ยม  ทีมนักลงทุนสัมพันธ์มีกลยุทธ์การดำเนินงานด้วยเป้าหมายในการบริหารงานที่ใส่ใจผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนแบบเชิงรุก ช่วยให้นักลงทุนเห็นโอกาสจากหลายมุม

สำหรับรางวัลนี้เป็นการพิจารณาที่ตัดสินด้วยการลงคะแนนของเหล่านักวิเคราะห์การลงทุนในประเทศไทย สะท้อนผลการทำงานที่แข็งแกร่งของ AIS อย่างรอบด้าน อีกทั้งยังเป็นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม เพื่อสร้างคุณค่าให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน ภายใต้หลักธรรมมาภิบาล ถือเป็นการยืนยันมาตรฐานการดำเนินงาน การเงิน และการสื่อสารกับนักลงทุน เพื่อยกระดับให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหุ้นไทย เดือนตุลาคม 2568

ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากหลายด้านในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งความคาดหวังมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายและการท่องเที่ยวของรัฐ กำไรกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าคาด ตัวเลขการส่งออกและจำนวนนักท่องเที่ยวที่สูงกว่าประมาณการ รวมถึงนักวิเคราะห์ส่งสัญญาณปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนในปี 2568 ส่งผลให้ ดัชนี SET Index ในเดือนตุลาคม 2568 เพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า มาปิดที่ 1,309.50 จุด เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน  นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนในช่วงปลายเดือนจากการผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังการประชุม APEC ประเทศเกาหลีใต้ ประกอบกับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลง 0.25% มาอยู่ที่ 3.75–4.00% เพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าในระยะยาว เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและการเงิน ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีและการประเมินมูลค่าสูงเกินจริงของหุ้น AI รวมถึงความเสี่ยงจากหนี้สาธารณะที่ค่อนข้างสูง

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มาตการภาครัฐที่เน้นโครงการที่ประชาชนได้รับประโยชน์โดยตรง มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจที่เห็นผลในระยะสั้น และสามารถกระจายรายได้ทั่วทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน ภาคการส่งออกและท่องเที่ยวในเดือนล่าสุดออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้เริ่มมีการปรับประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยหลายกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ จากข้อมูลในอดีตพบว่า ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ผู้ถือหน่วยมักจะมีสถานะขายสุทธิกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ลดลง ขณะที่มีเงินทุนไหลเข้าในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพิ่มขึ้น เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนตุลาคม 2568

  • SET Index ปิดที่ 1,309.50 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า ทำให้ตั้งแต่ต้นปี SET Index ปรับตัวลดลง 6.5% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี และ กลุ่มการเงิน
  • มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,473 ล้านบาท (ลดลง 27.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน) ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 42,659 ล้านบาท
  • ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 4,496 ล้านบาท ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2568 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 100,739 ล้านบาท
  • ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 51.81% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ตามด้วยผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 31.80% ผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 9.77% และบริษัทหลักทรัพย์ 6.62%
  • เดือนตุลาคม 2568 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 3 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. แมสเทค ลิ้งค์ (MASTEC), บมจ.แอตลาส เอ็นเนอยี (ATLAS) และบมจ.ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS)  ขณะที่ใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. อินดิจี (IDG) และ บมจ. 88(ไทยแลนด์) (88TH)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ณ สิ้นตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 17.0 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 3.76% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 2.96%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนตุลาคม 2568

  • มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 406,504 สัญญา ลดลง 11.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures  และ SET50 Index Futures ส่งผลให้ ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 422,081 สัญญา ลดลง 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures

AIS โชว์ผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี68 ทำกำไร 1.2 หมื่นล. เตรียมลุยธุรกิจรีเทล คอนเทนต์บันเทิง-กีฬา และการเงินดิจิทัล

             เอไอเอสรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้รวม 54,362 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 12,039 ล้านบาท สะท้อนการเติบโตที่มั่นคงของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่ บรอดแบนด์ และบริการลูกค้าองค์กร โดยขับเคลื่อนด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงข่ายคุณภาพสูง นวัตกรรมบริการ และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมต่อยอดสู่อนาคตด้วย ธุรกิจใหม่ ที่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างการเติบโตระยะยาว ทั้งธุรกิจรีเทล แพลตฟอร์มคอนเทนต์ความบันเทิงและกีฬา และการเงินดิจิทัล

            กำไร EBITDA และผลประกอบการยังคงเติบโตจากการรักษาสมดุลระหว่างการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต และการเพิ่มประสิทธิภาพภายในองค์กร สะท้อนการเติบโตเชิงคุณภาพในทุกมิติ ภายหลังการก้าวผ่าน วาระครบรอบ 35 ปี เอไอเอสยังคงต่อยอดการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยการยืนหยัดในฐานะองค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะที่มีรากฐานแข็งแกร่ง มุ่งขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ภายใต้ผลการดำเนินงานมิติต่างๆ ดังนี้

ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่: เสริมแกร่งโครงข่ายเพื่อความได้เปรียบระยะยาว

            มีผู้ใช้บริการรวม 46.3 ล้านเลขหมาย โดยมีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านเลขหมาย เติบโต 36% จากปีก่อน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการลงทุนเชิงคุณภาพ ในการขยายโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ครอบคลุมกว่า 95% ของพื้นที่ประชากร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านประสบการณ์ดิจิทัลให้กับผู้ใช้ทั่วประเทศ

           รวมถึงการเปิดให้บริการคลื่นความถี่ 2100MHz ทันทีหลังชนะการประมูล พร้อมประยุกต์ใช้เทคโนโลยี “Super Block” ถือเป็นการขับเคลื่อนกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่ายให้รองรับการใช้งานไปอีกขั้น ด้วยความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านคุณภาพที่ได้รับการการันตีโดยรางวัล OOKLA ปี 2025

          นอกจากนี้ การนำแพ็กเกจรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษมาสร้างความผูกพันกับลูกค้า ยังเป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างมูลค่าระยะยาวให้กับฐานลูกค้าอีกด้วย

ธุรกิจบรอดแบนด์: สร้างความต่างด้วยประสบการณ์และคุณภาพบริการ

         ภายใต้แบรนด์ AIS 3BB FIBRE3 เอไอเอสมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก 68,000 ราย ส่งผลให้ยอดผู้ใช้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5.2 ล้านราย

          การเติบโตดังกล่าวเป็นผลจากกลยุทธ์ “ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยยุคดิจิทัล” โดยผสานโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ากับคอนเทนต์ระดับพรีเมียม ผ่านแพ็กเกจ Super FAST และ Home FibreLAN ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่ครอบครัวจนถึงผู้ใช้งานที่มีความต้องการเฉพาะด้านทั้งสตรีมมิ่งและเกมมิ่ง

         ขณะเดียวกัน การเสริมพอร์ตด้วยคอนเทนต์กีฬาระดับโลก อาทิ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, NBA, และ NFL ไม่เพียงสร้างความแตกต่างด้านประสบการณ์ แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญในการวางตำแหน่ง AIS 3BB FIBRE3 ให้เป็น “ผู้นำบริการดิจิทัลครบวงจรในทุกบ้าน”

ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร: ยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

          ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรเติบโต 14% จากไตรมาส 3 ปีก่อน จากแนวโน้มการเร่งทรานส์ฟอร์มองค์กรของภาครัฐและเอกชน โดยเอไอเอสวางกลยุทธ์เป็นพันธมิตรเทคโนโลยีครบวงจรที่ให้บริการตั้งแต่โครงข่ายสื่อสาร ระบบคลาวด์ ไปจนถึงโซลูชัน AI เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

          ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก เช่น Oracle Cloud และโครงการ GSA Data Center เป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงอย่างปลอดภัยและยั่งยืน รองรับการขับเคลื่อนองค์กรไทยสู่การเป็น Sustainable Nation ผ่านการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

‘เจอร์ไฮ – จินนี่’ ขับเคลื่อนแบรนด์ไทยสู่เวทีโลก ด้วยนวัตกรรมและคุณภาพอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม

บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ ‘เจอร์ไฮ’ (JerHigh) และ ‘จินนี่’ (Jinny) คว้าอันดับ 1 ขนมสัตว์เลี้ยงในอาเซียน ติด Top 10 เอเชีย และ Top 20 ของโลก* ร่วมแสดงศักยภาพความเป็นผู้นำตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับสากล ภายในงาน Pet Fair South East Asia 2025 งานแสดงสินค้าธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ‘เจอร์ไฮ ไทย เทสต์’ สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย และ ‘จินนี่ นูริช’ อาหารแมวเปียกเกรดซูเปอร์พรีเมียมแบบซอง

การเข้าร่วมงานครั้งนี้สะท้อนถึง ความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทั้งโภชนาการและความสุขของสัตว์เลี้ยง พร้อมยกระดับมาตรฐานสากลและเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลกให้มีสุขภาพแข็งแรงและชีวิตที่มีความสุขในทุกวัน นอกจากนี้ ยังต่อยอดด้วยกลยุทธ์ “Premiumization + Localization” ที่ผสมผสานอาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพพรีเมียมระดับโลกเข้ากับเอกลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อสร้างความแตกต่างและความแข็งแกร่งให้แบรนด์

ไฮไลท์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นำมาจัดแสดง ได้แก่ ‘เจอร์ไฮ ไทย เทสต์’ (JerHigh Thai Taste) ภายใต้แนวคิด “กลิ่นหอม รสชาติไทยแท้ สุนัขชอบ คนจำได้” สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย มุ่งเจาะตลาดพรีเมียมในเอเชียและตะวันออกกลาง เตรียมเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2569 และ ‘จินนี่ นูริช’ (Jinny Nourish) อาหารแมวเปียกเกรดซูเปอร์พรีเมียมแบบซองพัฒนาสูตรเฉพาะสำหรับแต่ละช่วงวัยของแมว โดยใช้ส่วนผสมจากปลาทูน่าธรรมชาติและเนื้อไก่สดคุณภาพสูง ปราศจากกลูเตนและข้าวสาลี ตอบสนองเทรนด์ “Functional Nutrition” โภชนาการเพื่อการดูแลสุขภาพเฉพาะด้านที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดโลก

กิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด จำกัด

นายกิติศักดิ์ ลิ้มอำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด จำกัด กล่าวว่า “เราภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของไทยสู่ตลาดโลก พร้อมต่อยอดศักยภาพความเป็นผู้นำในอาเซียน ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ควบคู่กับการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงจะขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และประสบการณ์ใหม่ ทั้งสำหรับสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ เราจึงนำเอกลักษณ์ความเป็นไทย โดยเฉพาะอาหารไทยซึ่งเป็น Soft Power ที่ทั่วโลกรู้จัก มาผสานเข้ากับนวัตกรรม เพื่อสร้างความแตกต่าง เสริมความภูมิใจในแบรนด์ไทย และขยายโอกาสสู่ตลาดพรีเมียมทั่วโลกอย่างยั่งยืน”

ปัจจุบันแบรนด์ เจอร์ไฮ และ จินนี่ มีจำหน่ายในกว่า 31 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมกว่า 4,000 ร้านค้า โดยยังคงยึดมั่นในมาตรฐานคุณภาพระดับโลก ตั้งแต่การคัดสรรเนื้อไก่คุณภาพสูงจาก ซีพีเอฟ (CPF) ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับอาหารสำหรับนักบินอวกาศ ผ่านกระบวนการอบแห้งอุณหภูมิต่ำเพื่อคงคุณค่าทางโภชนาการ โดยไม่เติมเกลือและไม่ใส่วัตถุกันเสีย สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง คุณภาพ ความปลอดภัย และนวัตกรรมด้านอาหารสัตว์เลี้ยง ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็ทฟู้ด จำกัด ที่มุ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยสู่ตลาดโลก

เมืองไทยประกันชีวิต น้อมถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2568 ณ วัดธาตุทอง กทม.

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโพธิพงษ์ ล่ำซำ ประธานกรรมการ นางยุพา ล่ำซำ  นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางสลิล ล่ำซำ  นางจันทรา บูรณฤกษ์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัท นายกนิช บุณยัษฐิติ กรรมการบริษัท  ดร.ณฐพร พันธุ์อุดม กรรมการบริษัท นายภูมิชาย ล่ำซำ ที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ ดร.สุธี โมกขะเวส กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย นางสาวพิมพ์จุฑา สกุนสิทธิ์ธาดา ผู้อำนวยการเขตวัฒนา คณะผู้บริหารเขตวัฒนา รวมทั้งคณะผู้บริหาร และพนักงาน  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัทคู่ค้า ลูกค้า และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมน้อมถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2568 แด่พระสงฆ์จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัดธาตุทอง กรุงเทพมหานคร

ในโอกาสนี้  เมืองไทยประกันชีวิต  ได้มอบเงินบริจาค “ผ้าป่าการศึกษา” ให้แก่ โรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดธาตุทอง โดยมี  นางธนาลัย ลิมปรัตนคีรี  ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลวัดธาตุทอง   นายพงศ์พิษณุ สุพรรณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนดาราคาม  นายธีระยุทธ สมบูรณ์สุข ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดธาตุทอง  (เรือนเขียวสะอาด)  นายเจษฎา ศรีนวล ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง  ว่าที่พันตรี ดร.ณัฏฐกิตติ์ ชัยเฉลิมมงคล กรรมการบริหารและไวยาวัจกรวัดธาตุทอง ผู้แทนโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดธาตุทอง ร่วมในพิธี  ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลสังคมในทุกด้าน ให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน. 

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. ลอนดรี้ ยู (WASH) เริ่มซื้อขาย 3 พ.ย. นี้

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. ลอนดรี้ ยูเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มบริการ โดยใช้ชื่อย่อ “WASH” ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568

WASH เป็นผู้ให้บริการร้านสะดวกซักครบวงจรด้วยเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าอุตสาหกรรมคุณภาพสูง ภายใต้แบรนด์ “WashXpress” รวมถึงให้สิทธิบุคคลอื่นในการประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ และจำหน่ายเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้าอุตสาหกรรม โดยร้านสะดวกซัก WashXpress มีทั้งรูปแบบบริการตนเอง (Self-service) และบริการครบวงจร (Full service) ได้แก่ บริการซักอบพับ บริการรับรีด รวมถึงการให้บริการรับจ้างซักอบรีดในปริมาณมากสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทพัฒนาแอปพลิเคชัน “WashXpress” เพื่อเพิ่มความสะดวกในการค้นหาสาขาและการชำระเงิน ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 มีร้านสะดวกซักทั้งหมด 548 สาขา ครอบคลุม 21 จังหวัด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงเมืองรองและจังหวัดใหญ่ แบ่งเป็นสาขาที่บริษัทเป็นเจ้าของ 469 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 79 สาขา สำหรับงวด 6 เดือน 2568 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากการให้บริการ : จำหน่ายสินค้า : แฟรนไชส์ : จำหน่ายเครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า และรายได้อื่นในสัดส่วน 94 : 3 : 1 : 2

นายกวิน กลองกระโทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ลอนดรี้ ยู (WASH) กล่าวว่า บริษัทพัฒนาธุรกิจร้านสะดวกซักครบวงจรในคอนเซปต์ “สะอาด-สะดวก-สบาย” โดยมีผู้รับผิดชอบดูแลสาขาอย่างน้อย 1 คน พร้อมบริการล้างถังซักด้วยน้ำร้อนฟรีก่อนใช้ ร้านตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้แหล่งชุมชน มีที่จอดรถ และเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ทั้งยังมีเครื่องแลกเหรียญ เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติสำหรับการซักผ้า รวมถึงบริการ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อการลงทุนเพิ่มจำนวนสาขา ปรับปรุงและยกระดับร้านสะดวกซัก WashXpress ของสาขาที่มีอยู่เดิม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

ข้อมูลการเสนอขาย: WASH มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 176.47 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 300 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 52.94 ล้านหุ้น และมีการจัดสรรหุ้นสามัญเดิมโดย Holistic Impact Pte. Ltd. อีกจำนวน 52.94 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และนักลงทุนสถาบัน ไม่น้อยกว่า 79.41 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 15.88 ล้านหุ้น พนักงานของบริษัทไม่เกิน 10.59 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 24-28 ตุลาคม 2568 ในราคาหุ้นละ 7.5 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 397.06 ล้านบาท และมูลค่าที่เสนอขาย 794.12 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,647.06 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 24.51 เท่า คำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ก.ค. 2567-30 มิ.ย. 2568) ซึ่งเท่ากับ 107.99 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.31 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ  

ผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO: 1) นายชิษณุพันธ์ ตั้งเฉลิมกุล ถือหุ้น 21.61% 2) นายกวิน กลองกระโทก และนางสาวอุไรวรรณ อ่อนเจริญ (คู่สมรส) ถือหุ้นรวม 16.30% และ 3) Holistic Impact Pte. Ltd. ถือหุ้น 12.84% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามกฎหมายและตามที่บริษัทกำหนดไว้

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.washxpressth.com และ www.set.or.th

เอไอเอส ส่งต่อภารกิจคิดเผื่อ มอบเงินสนับสนุนเครื่องมือแพทย์ รพ.เขาย้อย พร้อมกิจกรรมธารน้ำใจ อิ่มท้อง อุ่นใจ เติมเต็มความสุขสู่ชุมชน

เอไอเอส แสดงความอาลัยและร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พร้อมร่วมถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อสืบสานพระราชปณิธานในการดูแลประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน

ครบรอบ 35 ปี เอไอเอส ยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย จัดกิจกรรมงาน AIS 35th Anniversary “รวมพลังด้วยหัวใจ สานต่อให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน” แทนคำขอบคุณคนไทยที่อยู่เคียงข้างตลอดเส้นทางการเติบโต พร้อมส่งต่อพลังแห่งความห่วงใยคืนสู่สังคม ผ่านกิจกรรมระดมทุนเพื่อสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ และปรับปรุงสถานที่พักคอยให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก และโรงพยาบาลเขาย้อย จ.เพชรบุรี รวมมูลค่ากว่า 6,200,000 บาท

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านธุรกิจองค์กร เอไอเอส กล่าวว่า “ความสำเร็จตลอด 35 ปีของเอไอเอสเกิดจาก ‘พลังคน’ ที่ร่วมกันสร้างรากฐาน คน–วัฒนธรรม–ความยั่งยืน อย่างแข็งแกร่ง พร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์บุคลากรและองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทุกก้าวของเอไอเอสไม่เพียงสร้างความสำเร็จให้องค์กร แต่ยังสะท้อนโอกาสและคุณค่าที่ส่งกลับสู่สังคมไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานใหม่และขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าอย่างมั่นคง”

ในปีนี้ เอไอเอสยังคงเดินหน้าสานต่อ “ภารกิจคิดเผื่อ” ด้วยการมอบเงินสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์และปรับปรุงสถานที่พักคอยให้แก่โรงพยาบาลเขาย้อย จ.เพชรบุรี และโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก รวมมูลค่ากว่า 6,200,000 บาท เพื่อขยายโอกาสด้านสุขภาพอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขท้องถิ่น

พร้อมกันนี้ เอไอเอสยังจัดกิจกรรม ธารน้ำใจแบ่งปันอิ่มท้อง อุ่นใจ มอบอาหารและรอยยิ้มให้กับพี่น้องชาวเขาย้อย จ.เพชรบุรี แสดงให้เห็นถึงการก้าวข้ามขอบเขตการเป็นเพียงผู้ให้บริการโทรคมนาคม สู่การเป็น “พลังขับเคลื่อนโอกาสที่เท่าเทียม”

เอไอเอสเชื่อว่า “ภาระ” ของโรงพยาบาลในพื้นที่ห่างไกลไม่ควรเป็นข้อจำกัด แต่คือ พลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน “เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง” เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศ พร้อมเปลี่ยนความขาดแคลนให้กลายเป็นโอกาส ด้วยการส่งมอบเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นและปรับปรุงพื้นที่รองรับผู้ป่วย เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มศักยภาพ และต่อยอดให้กลายเป็นพลังบวกของชุมชนในระยะยาว

อีกทั้ง ความยั่งยืนของธุรกิจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากสังคมรอบข้างยังไม่เติบโต เราจึงดำเนินธุรกิจบนแนวทาง “สังคมกับบริษัทต้องเติบโตไปพร้อมกัน” สร้างสมดุลระหว่างความสำเร็จทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม ผ่านการลงมือทำจริงในทุกระดับ ตั้งแต่การดูแลพนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชน ทุกโครงการของเอไอเอสจึงไม่เพียงตอบโจทย์ทางธุรกิจ แต่ยังมุ่งสร้าง “ผลลัพธ์ที่ดีร่วมกัน” เพื่อให้ทั้งองค์กรและสังคมไทยเดินหน้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และเติบโตเคียงข้างกันอย่างแท้จริง