Home Blog Page 16

AIS คว้า 2 รางวัลยอดเยี่ยมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ และองค์กรยั่งยืน จาก SET AWARDS 2023

AIS กวาด 2 รางวัลใหญ่จากเวที SET AWARDS 2023 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร ประกอบไปด้วย รางวัลยอดเยี่ยมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ Outstanding Investor Relations Awards ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และรางวัลองค์กรยั่งยืน Commended Sustainability Awards พร้อมกันนี้ยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Rating ในระดับ AAA สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบ ESG ที่ AIS เดินหน้าสร้างการเติบโตร่วมกันของผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในโลกดิจิทัล

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) กล่าวว่า “ภายใต้เป้าหมายที่ชัดเจนของ AIS ที่มุ่ง ขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ Cognitive Tech-Co ผ่านการสร้าง Sustainable Nation หรือการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยบน ECOSYSTEM ECONOMY ทั้งผู้คน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในโลกดิจิทัล ส่งผลให้เราได้รับการยอมรับและสามารถคว้ารางวัลจาก SET AWARD ได้อีกครั้งในปีนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาว AIS ที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการยกระดับขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีให้มีความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อการทำงานของภาคส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลได้ตามมาตรฐานระดับสากล จนเป็นที่ยอมรับและเป็นต้นแบบองค์กรในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน”

รางวัล SET AWARDS เป็นรางวัลที่มอบให้แก่องค์กรและบุคลากรในวงการตลาดทุนไทย ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ สร้างการเปลี่ยนแปลง ยกระดับมาตรฐานและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมให้แก่ประเทศได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

MC ฟันธง ไตรมาส 2 กำไรทะยานรับช่วงไฮซีซั่น

“แม็คกรุ๊ป” เชื่อมั่นผลงานไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 ทะยานรับช่วงไฮซีซั่น! ช่องทางขายออนไลน์ โตสนั่น! หลังยอดขาย “TIKTOK” ติดอันดับ 1 แบรนด์ยอดขายดี เดินหน้าออกคอลเลกชั่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการลูกค้า

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยในงาน Opportunity Day ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานว่า บริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในงวดไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ต.ค. -31 ธ.ค. 2566) จากช่วงไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 ที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 129 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท และมีรายได้ 882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 759 ล้านบาท

บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่ได้วางไว้ โดยในช่วงปลายปีนี้ จะมีการนำเสนอ คอลเลกชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ เช่น Mc Selvedge Dragon, Mc Journey และ Mc Play, Year of Dragon เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ และการท่องเที่ยวปลายปี รวมถึงการเปิด Mc Outlet ที่ดำเนินการเปิดอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นเดือนพ.ย. 2566 มีจำนวน 125 สาขาทั่วประเทศ

“เรามั่นใจว่า จะมีกำไรเติบโตในเลขสองหลักได้อย่างต่อเนื่อง และในไตรมาส 2 จะโตเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสแรก เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นฤดูกาลใช้จ่ายและการเดินทาง แม็คยีนส์ เรามีทั้งกางเกงยีนส์ และสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน”

สำหรับการขายสินค้าของบริษัทฯ สิ้นไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 ช่องทางออฟไลน์ ผ่านร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) ที่เป็นช่องทางหลัก มีสัดส่วนกว่า 66% มีรายได้ 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%, ช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) สัดส่วน 11% มีรายได้ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.1% ช่องทางการขายออนไลน์ ในช่วง 11.11 ที่ผ่านมานั้น ยอดขายแบรนด์ “แม็คยีนส์” ผ่านแพลตฟอร์ม TIKTOK มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในหมวดหมู่สินค้าเสื้อผ้าผู้ชาย และมีแนวโน้มว่าในช่วง 12.12 คาดว่ายอดขายจะเป็นที่น่าพอใจเช่นกัน ช่องทางการขายออนไลน์ ถือว่าเป็นช่องทางที่มีมาร์จิ้นดี ช่วยสนับสนุนมาร์จิ้นรวมของบริษัท โดย ไตรมาส 1 ปีนี้ มีมาร์จิ้นที่ 66% ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ ซึ่งอยู่ที่ 64.6% สำหรับห้างสรรพสินค้า (Department Store) สัดส่วน 19% มีรายได้ 170 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ณ สิ้นเดือนก.ย. 2566 มีเงินสดทั้งสิ้น 1,675 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิงวดปี 2567 ให้เติบโตต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นยังคงได้รับเงินปันผลในอัตราเกือบ100% ต่อเนื่องมานับตั้งแต่เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทฯ ยังคงมีนโยบายปันผลแบบนี้ต่อไป ซึ่งเมื่อนักลงทุนถือหุ้น MC จะมีผลตอบแทนจากเงินปันผล (Div yield) ในระดับ 5- 7% ต่อปี ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ก.ย. 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 30 มิ.ย. 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท จากผลประกอบการที่เพิ่ม 129 ล้านบาท

เมืองไทยประกันชีวิต ปลื้ม ก.ล.ต. มอบประกาศเกียรติคุณ “องค์กรที่สร้างคุณค่าในด้านการให้ความรู้แก่สังคม”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  รับมอบใบประกาศเกียรติคุณ และเชิดชูเกียรติในการเป็น “องค์กรที่สร้างคุณค่าในด้านการให้ความรู้แก่สังคม” จากการเข้าร่วมโครงการตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยมีนางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง  รองกรรมการผู้จัดการ นางพรชนก บัญชาเมตตากุล รองกรรมการผู้จัดการ นายอลงกรณ์ สวัสดิภาพ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายโสฬส มั่นคง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายชวลิต กุลจงกล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ นายประกาศิต ดำรงศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประกันชีวิตควบการลงทุนและกองทุนรวม ร่วมในพิธี ณ  เมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

ทั้งนี้ โครงการ “ตลาดทุนไทย ร่วมใจส่งพลังความรู้ สู่ประชาชน” ริเริ่มโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  เพื่อผนึกกำลังผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะด้านการเงินการลงทุน (Financial Literacy) ให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการ เงิน พ.ศ. 2565-2570 ของกระทรวงการคลัง พร้อมทั้งได้เชิญชวนผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เข้าร่วมโครงการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เป็นต้นมา ซึ่งนับตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน 2566 มีผู้ประกอบธุรกิจให้ความสนใจในการเข้าร่วมโครงการดังกล่าว พร้อมนำส่งรายงานผลการดำเนินกิจกรรมการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและพัฒนาทักษะในด้านการเงินการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนและประชาชน สำหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีองค์กรที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาในการเชิดชูเกียรติ และได้รับใบประกาศเกียรติคุณจาก ก.ล.ต. ทั้งสิ้นจำนวน 7 แห่ง

CPF ขนทัพอาหารกว่า 10 เมนู ยกระดับอาหารดูแลสุขภาพเชิงรุก ปรับสูตรลดโซเดียม อร่อยฟินใจ ไกลโรค

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับการผลิตอาหารแปรรูปเพื่อดูแลสุขภาพเชิงรุกให้คนไทยไกลโรค ปรับสูตรอาหารลดโซเดียม ที่ยังคงความอร่อย ตอบโจทย์เทรนด์รักสุขภาพ ภายใต้แนวความคิด “อร่อยฟินใจ ไกลโรค”

ซีพีเอฟ นำสินค้าอาหารลดโซเดียมและอาหารที่มีปริมาณโซเดียมเหมาะสมผ่านเกณฑ์ WHO มากกว่า 10 รายการ ร่วมจัดแสดงและให้ทดลองชิม ณ บูธ สินค้า CP Lower sodium อร่อยฟินใจ ไกลโรค ในงาน “นิทรรศการ ครบรอบ 10 ปี ลดเค็ม ลดโรค เค็มน้อย อร่อยได้” จัดโดยเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ระหว่างวันที่ 4-6 ธันวาคม 2566 เวลา 10.30-18.30 น. ณ Zone Eden ชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การส่งเสริมให้คนไทยลดการบริโภคโซเดียมมาตลอด 10 ปี ของเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาลและกระทรวงฯ ที่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมสุขภาพคนไทยให้แข็งแรง สมบูรณ์ ห่างไกลจากโรค โดยเฉพาะการขับเคลื่อนนโยบายลดอัตราผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ (Non-Communicable Diseases : NCDs) ที่ต้นเหตุสำคัญมาจากการบริโภคอาหารหวาน มันและเค็ม โดยเฉพาะบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก

“สิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี คือ การให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ต้องเกิดจากความพร้อมและความเต็มใจ การจัดงานครบรอบ 10 ปี ลดเค็ม ลดโรค “เค็มน้อย อร่อยได้” ในครั้งนี้ ทำให้เห็นการสานพลังของเครือข่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านอาหาร ที่มีความตระหนักรู้และใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ปรับสูตรผลิตภัณฑ์อาหารที่ลดปริมาณโซเดียมลง แต่ยังคงรสชาติที่ดี เพื่อให้ผู้บริโภคมีความสุขทั้งกายและใจ ให้ประชาชนมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพของสังคมไทยและสังคมโลกต่อไป” นายวิชาญกล่าว

สำหรับสินค้าอาหารปรับสูตรลดโซเดียมที่ CPF ได้นำมาจัดให้ผู้บริโภคทดลองชิม เพื่อร่วมกระตุ้น ส่งเสริม และรณรงค์ให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ เรื่องการลดบริโภคเค็ม ได้แก่ CP โบโลน่าพริกสูตรใหม่ โซเดียมลดลงมากกว่า 25%, CP สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าและสปาเก็ตตี้ไก่สับ โซเดียมน้อยลง 30%, ไส้กรอก CP FI IT โซเดียมลดลง 38% และอาหารที่มีปริมาณโซเดียมเหมาะสมผ่านเกณฑ์ WHO มากกว่า 10 รายการ อาทิ CP Delight ข้าวสามสีอกไก่นุ่ม และน้ำจิ้มแจ่ว โดยมีจำหน่ายที่ เซเว่นอีเลฟเว่น แม็คโคร โลตัส และห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำทั่วประเทศ

ผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพพร้อมส่วนลด 50%

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ตอกย้ำนโยบายการสนับสนุนในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า มอบสิทธิประโยชน์ Happiness Every Day สุข..ไม่สิ้นสุด สำหรับผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold ด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากหลากหลายพันธมิตรชั้นนำด้านสุขภาพทั่วประเทศ

โดยร้านค้าที่ร่วมรายการ อาทิ Cross Pattaya Pratamnak, Itz Time Hua Hin Pool Villa by Cross Collection, The Coral Executive Lounge, The Oasis Spa และ White Glove Delivery Service by World Reward Solutions ด้านโรงพยาบาลที่ร่วมรายการ โรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย, โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ โรงพยาบาลนนทเวช, โรงพยาบาลพระรามเก้า และโรงพยาบาลไทยนครินทร์ เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ที่สนใจโปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและจองใช้บริการล่วงหน้า

นอกจากนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold รับเครดิตเงินคืน 0.25% เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต แบบไม่จำกัดจำนวนเงินคืน และพิเศษสำหรับผู้ถือบัตรฯ ระดับ Pink Gold รับเครดิตเงินคืน 1% เมื่อชำระค่าเติมน้ำมัน ณ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ ตั้งแต่ 800 บาท ขึ้นไป/เซลล์สลิป

รวมถึง ฟรี พักผ่อนก่อนบินระหว่างประเทศ ด้วยสายการบินไทย ที่ Miracle Lounge และฟรี พักผ่อนก่อนบินในประเทศ ด้วยสายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ (เฉพาะบัตร Pink Gold เท่านั้น) ที่ Miracle Lounge ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ประกันภัยเดินทางต่างประเทศ วงเงินสูงสุด 6 ล้านบาท รับคะแนนสะสม 2 ต่อ ทั้งคะแนนสะสม Kbank Reward Point และคะแนน Smile Point เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต เป็นต้น

สำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด สามารถศึกษาเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th หรือคลิก บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด หรือโทร.1766 ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888

AIS ปลื้ม เอไอเอส อดาเคมี่ คว้ารางวัล Steward Leadership 25 ติดอันดับโครงการดีที่สุดและเป็นเลิศในเอเชีย

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส และกลุ่มอินทัช กล่าวในวาระที่เป็นตัวแทนรับรางวัล Steward Leadership 25 (SL25) ณ ประเทศสิงคโปร์ ว่า “เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่ เอไอเอส อคาเดมี่ ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมโทรคม รายแรก 1 เดียวของไทย ที่ได้รับรางวัล Steward Leadership 25 (SL25) โดยเป็นการจัดอันดับจาก 25 โครงการที่ดีที่สุดจากบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค สำหรับความเป็นเลิศในแง่ของการใช้ EdTech ในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังสร้างผลกระทบเชิงบวก พร้อมจุดประกายในการพัฒนาทักษะรับมือ Digital Transformation ให้แก่สังคมไทยอย่างต่อเนื่อง”

“เรายึดหลักการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Ecosystem Economy หรือ เศรษฐกิจแบบร่วมกัน  ซึ่งหนึ่งในหัวใจหลัก คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและส่งต่อสู่ประชาชนเพื่อให้มีขีดความสามารถพร้อมรับมือบริบทของโลกที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล ผ่าน เอไอเอส อคาเดมี่  ซึ่งตลอดช่วงระยะเวลากว่า 8 ปี สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศและสอดคล้องกับเกณฑ์การตัดสินของรางวัลนี้ที่มุ่งเน้นเรื่องการสร้างผลกระทบในเชิงบวกด้านบริหารจัดการให้แก่สังคมและประเทศ ประกอบด้วย

  1. เพิ่มทักษะและพัฒนาขีดความสามารถให้แก่พนักงานในองค์กร ที่เรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ผ่าน Digital Educational Platform ในชื่อ LEARN DI
  2. ลดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาทักษะในโลกยุคดิจิทัล ผ่านการขับเคลื่อนชุมชนแห่งการเรียนรู้ให้แก่คนไทย อาทิ ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัลและความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผ่านหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์, เสริมสร้างความสามารถในการสอนให้แก่ครู อาจารย์ ในโครงการ  Educators , เพิ่มขีด ความสามารถให้กับติวเตอร์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลในการออกแบบการเรียนการสอน ในโครงการ Tutors Thailand เป็นต้น
  3. สร้างโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมให้แก่บุคลากรเอไอเอสและบุคคลภายนอกผ่านโครงการ Jump Bootcamp Thailand ที่บ่มเพาะและสนับสนุนให้เกิดไอเดียใหม่ๆในการใช้ดิจิทัลเข้ามาแก้ปัญหาสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. เตรียมเยาวชนให้พร้อมสำหรับความสามารถทางวิชาชีพ กับโครงการ อุ่นใจอาสาพัฒนาอาชีพ ที่ร่วมกับภาครัฐอย่าง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นำองค์ความรู้ฝึกอบรมผ่าน Digital Platform
  5. กระตุ้นให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรม EdTech ของไทยไปอีกขั้น อย่างสอดคล้องกับบริบทของโลกดิจิทัลที่เดินหน้าอย่างรวดเร็ว 

สำหรับรางวัล Stewardship Asia Centre (SAC) 25 (SL25) เป็นการจัดอันดับ 25 โครงการที่ดีที่สุด ด้านความเป็นเลิศจากบริษัทเอกชนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่แสดงออกอย่างแน่วแน่ในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมนำขีดความสามารถมาช่วยแก้ปัญหาและจัดการกับประเด็นความท้าทายที่เกิดขึ้นในสังคมหรือสิ่งแวดล้อม โดยสร้างผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้ พร้อมด้วยนวัตกรรมที่เป็นเลิศ อย่างแตกต่างจากบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน

รางวัลนี้ริเริ่มจัดตั้งขึ้นโดยกลุ่ม Temasek Holdings โดยมีผู้ร่วมในการจัดตั้งรางวัลนี้ ประกอบด้วย Stewardship Asia Center (SAC), สถาบัน INSEAD’s Hoffmann Global Institute for Business and Society, (หนึ่งในสถาบันในเครือของ UN  ที่มีเป้าหมายในการจัดเตรียมเครื่องมือและกรอบการทำงานให้กับผู้นำธุรกิจ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกสำหรับธุรกิจ ชุมชน ผู้คน และโลก ตามเป้าหมาย SDGs),  Willis Towers Watson PLC (WTW) บริษัทผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากประเทศอังกฤษ และ The Straits Times สื่อมวลชนชั้นนำของประเทศสิงคโปร์

นางสาวกานติมา กล่าวว่า “การเดินไปข้างหน้าขององค์กร และ ประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความพร้อมกับการเดินไปข้างหน้าดังกล่าว และเอไอเอส โดย เอไอเอส อคาเดมี่ พร้อมที่ใช้จุดแข็งด้านดิจิทัลของเราร่วมทำหน้าที่นี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศอย่างต่อเนื่อง”

AWC – CIMB Thai ลงนามสินเชื่อด้านความยั่งยืน 3,000 ล้านบาท

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMB Thai ร่วมลงนามความร่วมมือสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน  โดยมุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ สร้างคุณค่าองค์รวมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อร่วมสร้างประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก

มร. พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับ AWC ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย โดยการจัดสินเชื่อดังกล่าวถือเป็นสินเชื่อแรกที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ CIMB Thai จำนวน 3,000 ล้านบาท เพื่อร่วมสนับสนุนการดำเนินงานการพัฒนาโครงการของ AWC ที่นำแนวคิดด้านความยั่งยืนมาใช้ในกระบวนการพัฒนาต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของ CIMB Group ที่ได้ตั้งเป้าหมายขยายวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนจำนวน 1 แสนล้านริงกิต (ประมาณ 7.7 แสนล้านบาท) ภายในปี 2567 สำหรับโครงการและความคิดริเริ่มที่ส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของ AWC ในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทย จะสามารถนำสินเชื่อนี้ไปช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของไทยตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นที่ยอมรับและเป็นแบบอย่างในระดับสากล”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มีความยินดีมากที่ได้ร่วมมือกับ CIMB Thai กลุ่มการเงินชั้นนำที่มีเครือข่ายแข็งแกร่งในภูมิภาค รับสินเชื่อที่เชื่อมโยงความยั่งยืนที่ออกเป็นครั้งแรกของธนาคาร โดย AWC จะนำสินเชื่อนี้ไปสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย (Sustainability Performance Targets หรือ SPTs) ด้วยการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมโดยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ และวัดผลตามมาตรฐานดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Rating ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับ CIMB Thai เป็นการร่วมรวมพลังของพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยต่อไป”  

ปัจจุบัน AWC ได้รับการจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนจากสถาบันการเงินชั้นนำกว่าร้อยละ 76 ของสินเชื่อทั้งหมด และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100 เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ โดย AWC จะนำสินเชื่อดังกล่าวไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ 3BETTERs คือ BETTER PLANET, BETTER PEOPLE และ BETTER PROSPERITY โดยเฉพาะการดำเนินงานอย่างยั่งยืนด้านการสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) ในมิติของการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืนที่ AWC ได้มีการยกระดับมาตรฐานอาคารในด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 20.6 เมื่อเทียบกับปี 2562 และยังได้ริเริ่มโครงการร่วมกับพันธมิตร เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศ อาทิ โครงการ “AWC Stay to Sustain” เพื่อร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชนทั่วประเทศ เป็นไปตามโร๊ดแมปสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573

AWC ดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปี 2566บริษัทได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022”  รวมถึงได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Ratings ในระดับ “AA” นอกจากนี้ ยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings อยู่ที่ระดับ ‘A’ ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) และติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงกลุ่มโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือ AWC จำนวน 25 แห่งได้รับประกาศนียบัตร “ดาวแห่งความยั่งยืน” หรือ STAR (Sustainable Tourism Acceleration Rating) จากทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สะท้อนความมุ่งมั่นขององค์กรในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)

AIS – สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สร้างทักษะดิจิทัลด้วยหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ พร้อมชวนจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จับมือ AIS ขยายผลโครงการ “อุ่นใจไซเบอร์” และโครงการ “คนไทยไร้ e-waste”   สร้างทักษะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และเสริมภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้บุคลากรในสังกัดเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและเครือข่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศกว่า 100,000 คน ด้วยหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์  เพื่อยกระดับการทำงานในยุค Digital Transformation ปรับตัวองค์กรสู่การเป็น Smart Parliament   พร้อมให้ความสำคัญต่อกระบวนการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ด้วยการใช้แอป E-Waste+ ผ่าน Agent ของสำนักงานฯ ในการรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ และขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อนำขยะเข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิล Zero e-waste to Landfill ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รักษาราชการแทนเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร คือ มุ่งพัฒนาองค์กรไปสู่ Smart Parliament โดยสร้างระบบนิเวศการทำงานให้เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงบนโลกดิจิทัล ซึ่งความร่วมมือกับเอไอเอส รวมถึงกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะมาช่วยส่งเสริมนโยบายในการขับเคลื่อนการทำงานบนโลกดิจิทัลของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ขยายผลการเรียนรู้ให้แก่บุคลากรสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงประชาชนและยุวชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ รวมกว่า 100,000 คน  ผ่านช่องทาง Online Learning Platform ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อสร้างทักษะความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แก่บุคลากร ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับองค์กรด้วย

รวมทั้งได้ร่วมมือกับเอไอเอส ในโครงการคนไทยไร้ e-waste สร้างการตระหนักรู้การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี โดยเชิญชวนให้บุคลากรในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและประชาชนทั่วไป นำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งที่จุดทิ้งขยะผ่านแอป E-Waste+ ที่มีการขยายจุดรับทิ้งขยะ รวม 23 สำนัก 4 กลุ่มงาน  โดยแต่ละสำนักจะมี Agent เป็นผู้บันทึกผลการเก็บขยะรวมถึงให้คำแนะนำในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี”

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “วันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องที่เป็นประเด็นหลักในสังคมถึง 2 เรื่อง ทั้งการเสริมทักษะดิจิทัล สร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้แก่บุคลากร รวมถึงการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อมผ่านการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ผ่านมา AIS ได้เดินหน้าได้ส่งต่อหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ไปยังบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาภาคเอกชน กรุงเทพมหานคร หรือแม้แต่การส่งต่อไปยังภาคประชาชนผ่านหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สกมช.  ทำให้ทุกวันนี้มีผู้เข้าถึงหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์แล้วกว่า 300,000 คนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ยังได้เดินหน้าภารกิจคนไทยไร้ e-waste เดินหน้าสู่เป้าหมายการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หรือ HUB of e-waste ที่มีองค์กรภาครัฐและเอกชนกว่า 190 องค์กร มาร่วมกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งการสร้างองค์ความรู้ ด้านเครือข่าย ที่มาช่วยแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ ด้านจุดรับทิ้ง ด้านการขนส่ง และด้านการรีไซเคิลแบบ Zero e-waste to landfill ตามมาตรฐานสากล โดยได้นำเทคโนโลยี Blockchain กับแอปพลิเคชัน E-Waste+ มาใช้ในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสามารถตรวจสอบสถานะการทิ้งขยะ E-Waste ได้ทั้งกระบวนการ รวมถึงยังคำนวณขยะที่ได้ออกมาเป็น Carbon Scores ที่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการร่วมทิ้ง E-Waste

โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสร้างการตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่บุคลากรในสังกัดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงเครือข่ายประชาธิปไตยทั่วประเทศ เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

เมืองไทยประกันชีวิต ครองตำแหน่งสุดยอดแบรนด์บ.ประกันชีวิต คว้ารางวัล“ซูเปอร์แบรนด์ไทยแลนด์”

เมืองไทยประกันชีวิต รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์บริษัทประกันชีวิต” หรือ ซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย 2566  จากเวที Superbrands Thailand  2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18  ยาวนานที่สุดของแบรนด์ในประเทศ การโหวตสูงสุดจากผู้บริโภคทั่วประเทศร่วม 15,000 คน  พร้อมประกาศการพัฒนาองค์กรแห่งคุณภาพเพื่อความมั่งคงแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัล “สุดยอดแบรนด์บริษัทประกันชีวิต” หรือ ซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย 2566  จากเวที Superbrands Thailand  2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18  ตอกย้ำความสำเร็จด้านผู้นำแบรนด์ในธุรกิจประกันภัยที่มีคุณสมบัติโดดเด่น และได้รับการยอมรับเป็นอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์  ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิตถือเป็นบริษัทฯ  ที่ได้รับรางวัลดังกล่าวมายาวนานที่สุดในประเทศไทย โดยมี นายไมค์ อิงลิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรซูเปอร์แบรนด์ และนางสาวแชมเปญ เทียนแขวะ ผู้อำนวยการ  ซูเปอร์แบรนด์ ประเทศไทย เป็นผู้มอบณ Gaysorn Urban Resort  

“ปี 2566 ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ได้ดำเนินธุรกิจเคียงคู่คนไทยครบรอบ 72 ปี ในการส่งมอบความคุ้มครองที่มั่นคงให้กับประชาชนไทย  อีกทั้งยังเป็นปีที่บริษัทฯ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพและการให้บริการ รวมถึงยังเป็นผู้นำในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางดิจิทัลที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ (Sustainable Growth) โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตทางธุรกิจและตอบโจทย์ลูกค้า การพัฒนาขีดความสามารถของช่องทางการขายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน การนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า  การพัฒนากระบวนการทำงานในทุกด้านเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสอดรับโลกยุคใหม่ การขยายธุรกิจและบริการผ่านพันธมิตรทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์  การเป็นองค์กรที่ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการพัฒนาประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการแก่ลูกค้า  การขยายธุรกิจไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพในต่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศอาเชียน และขยายสู่ธุรกิจที่มีโอกาส เติบโตสูงและส่งเสริมธุรกิจ การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการมีธรรมาภิบาลที่ดี

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความยั่งยืนผ่านสุขภาพที่ดีในทุกมิติ ทั้งทางกาย ทางใจ และทางการเงินให้กับลูกค้า บริษัทฯ ดำเนินงานโดยยึดหลักการมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) และนำเสนอผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันของชีวิตทุก ๆ คนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความคุ้มครองสุขภาพ ความคุ้มครองโรคร้ายแรง ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน ตลอดจนแอปพลิเคชันด้านสุขภาพอย่าง MTL Fit ที่เข้าถึงลูกค้าในแบบที่มีความเฉพาะตัวได้มากยิ่งขึ้น (Personalization) อีกทั้งเน้นการสร้างความแตกต่าง และสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างเข้าถึง เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรม และครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในทุกกลุ่ม

นอกจากนี้บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบายการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อให้ทุกหน่วยงานของบริษัทฯ มีการนำไปปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ตลอดจนกำหนดโครงสร้างการบริหารงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และถ่ายทอดเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (ESG) สู่การปฏิบัติของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ทั้งองค์กร เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องและช่วยให้แผนการดำเนินงานมีความเชื่อมโยงสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และบริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยบริษัทฯได้มีการกำหนดกรอบและนโยบายการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ (Economic) มิติสังคม (Social) และมิติสิ่งแวดล้อม (Environment)

สำหรับรางวัล “Superbrands Thailand” ที่ได้รับ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและวางใจในตัวองค์กรของผู้บริโภค  รวมไปถึงความเป็นเลิศด้านการสร้างแบรนด์ขององค์กรในประเทศไทยจนได้รับการโหวตจากผู้บริโภค  นับเป็นรางวัลคุณภาพมาตรฐานสากลที่มอบให้กับองค์กรที่มีความเป็นเลิศในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้เป็นที่ยอมรับ ทั้งด้านคุณภาพขององค์กร  ความสำเร็จขององค์กร  สินค้าและบริการ  คุณค่าและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ผ่านการคัดกรองอย่างเข้มข้นจากการสำรวจและวิจัยผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญ และคณะกรรมการอิสระ พร้อมการโหวตจากผู้บริโภคทั่วประเทศร่วม 15,000 คน

“เราพร้อมมุ่งมั่นเป็นคู่คิดที่ลูกค้าวางใจ ผ่านนวัตกรรมเพื่อตอบสนองทุกความต้องการด้วยการทำงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดและความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย  และส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสม ในการสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเติมเต็มชีวิตของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ตลอดช่วงชีวิต” 

“ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ของซีพีเอฟ รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2023 สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards 2023 สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด จากโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ในพิธีประกาศผลและมอบรางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ รับรางวัล สะท้อนความมุ่งมั่นยกระดับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารสู่มาตรฐานขั้นสูงระดับอวกาศ และตอกย้ำการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการสู่ผู้บริโภค ควบคู่กับการสร้างคุณค่าร่วมให้แก่สังคม ชุมชน และประเทศ บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลกที่ยั่งยืน” เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจ เป็นที่มาของโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” ที่มุ่งมั่นยกระดับเนื้อไก่ไทยสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) โดยดำเนินโครงการวิจัยร่วมกับสองพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศจากสหรัฐอเมริกา NANORACKS LLC และ mu Space ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และเป็นครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์อาหารของไทยก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับเดียวกับที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานได้

“ซีพีเอฟ มีความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลพระราชทานในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นและความสำเร็จที่แสดงถึงคุณภาพของสินค้าและบริการ เพื่อนำเสนอสินค้าที่ดีภายใต้แบรนด์ CP สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของเรา เกินกว่าความคาดหมายของลูกค้าในเรื่องของคุณภาพของสินค้าและบริการ และเป็นอีกภารกิจที่พิสูจน์ว่าเนื้อไก่ของ CP เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ช่วยยืนยันว่าคนไทยทุกคนได้กินไก่ปลอดภัยในระดับเดียวกับนักบินอวกาศรับประทาน” นายประสิทธิ์ กล่าว

บริษัทฯมุ่งมั่นผลิตอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทุกคำที่บริโภคต้องมีคุณค่าทางโภชนาการในราคาเหมาะสม โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ได้แก่ นวัตกรรม (Innovation) สุขภาพ (Wellness) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Planet) ควบคู่กับการศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนำมาต่อ ยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงออกแบบการสื่อสารและสร้างสรรค์แคมเปญที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และ เทรนด์ต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพของอาหารและเปิดประสบการณ์รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพของคนไทย

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่กระบวนการการเลี้ยงสัตว์ให้มีสุขภาพแข็งแรง ด้วยการคัดเลือกสายพันธุ์ การเลี้ยงในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ที่มีระบบการจัดการฟาร์มที่ดี สะอาด มีระบบป้องกันโรค การพัฒนาอาหารสัตว์ที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของสัตว์ คิดค้นสูตรอาหารสัตว์จากนวัตกรรมโปรไบโอติก ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ทำให้ลำไส้สัตว์แข็งแรง โดยร่วมมือกับสถาบันวิจัยระดับโลก คัดเลือกโปรไบโอติกจาก 125,000 สายพันธุ์ จนได้โปรไบโอติกแข็งแรงที่สุดเพียง 10 สายพันธุ์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันจากภายใน ทำให้ไก่แข็งแรงตามธรรมชาติ ไม่ป่วย จึงไม่ต้องใช้ยา ทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ปลอดภัยและปลอดสารตกค้าง 100 %

ภายใต้ความมุ่งมั่นเป็นครัวของโลกที่ยั่งยืน ซีพีเอฟ ยึดมั่นใน “ปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน” ตามดำริของประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ มาประยุกต์ใช้ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs) รวมทั้งสนับสนุนเป้าหมายระดับโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) สะท้อนความตั้งใจจริงของบริษัทที่มีมาอย่างต่อเนื่อง บนพื้นฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการสร้างคุณค่าที่ดีให้กับสังคม ชุมชน และโลก