Home Blog Page 15

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ เดือนพ.ย. 2566

ภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์ เดือนพฤศจิกายน 2566 ผลการประชุม FED มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 อยู่ที่ระดับ 5.00%-5.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่ยังส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 3 แต่เริ่มเห็นผลกระทบต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนจากนโยบายการเงินที่ตึงตัวที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนคาดว่า FED จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนธันวาคม และคาดว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนมีนาคมปีหน้า ส่งผลให้ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ อ่อนตัวลงและเห็นเงินทุนไหลเข้าในสินทรัพย์เสี่ยง

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% เนื่องจากเป็นระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออก อีกทั้งประเมินเศรษฐกิจขยายตัว 2.4% และ 3.8% ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ของไทยถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แสดงถึงนโยบายการเงินของไทยในปัจจุบันที่ค่อนข้างตึงตัว อีกทั้งประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในอีก 12 เดือนข้างหน้าถูกนักวิเคราะห์ปรับลดลงต่อเนื่องจากต้นปีนี้ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังไม่ดึงดูดใจผู้ลงทุน

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
• ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 SET Index ปิดที่ 1,380.18 จุด ปรับลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้า โดยปรับลดลง 17.3% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
• ในเดือนพฤศจิกายนปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน และกลุ่มเกษตรและอาหาร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 45,804 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 28.9% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 11 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 54,399 ล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่สิบ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 21,132 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ (ETL) และ บมจ. วินโดว์ เอเชีย (WINDOW) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท (SCL)
• Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ระดับ 16.2 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 18.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า

• อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ระดับ 3.25% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.43%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
• ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 455,273 สัญญา ลดลง 11.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 536,386 สัญญา ลดลง 3.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures

บลจ.วรรณ-เมืองไทยประกันชีวิต จับมือออกกองทุน ONE-ULTRAPLUS พร้อมรับสิทธิความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพ

บลจ.วรรณ ชู กลยุทธ์ Active Asset Allocation ผ่านกองทุนล่าสุด ONE-ULTRAPLUS เน้นลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นต่างประเทศ พร้อมรับสิทธิความคุ้มครองประกันชีวิตและประกันสุขภาพจากบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และสิทธิลดหย่อนภาษีผ่านกองทุน ONE-ULTRAPLUS-ASSF เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 6-19 ธ.ค. นี้

นายพจน์  หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า  ขณะนี้บริษัทเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด วรรณ อัลตร้า อินคัม พลัสฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดไม่จ่ายเงินปันผล สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป (ONE-ULTRAPLUS-RA) และ กองทุนเปิดวรรณ อัลตร้า อินคัม พลัส ฟันด์ หน่วยลงทุนชนิดเพื่อการออม แบบไม่จ่ายเงินปันผล (ONE-ULTRAPLUS-ASSF)  ระหว่างวันที่ 6-19 ธันวาคมนี้  ซึ่งมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารหนี้  และ/หรือเงินฝาก ทั้งในประเทศหรือ/และต่างประเทศ โดยกองทุน ONE-ULTRAPLUS-RA และ ONE-ULTRAPLUS-ASSF ไม่มีนโยบายจ่ายปันผล โดยผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนทั้ง 2 กองทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) ซึ่งสิทธิการคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับจำนวนหน่วยของผู้ถือหน่วยลงทุน

“ONE-ULTRAPLUS-RA และ ONE-ULTRAPLUS-ASSF มีการบริหารพอร์ตที่มีสัดส่วนการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น 0-100% โดยพอร์ตการลงทุนในกองทุนทั้ง 2 จะมีการบริหารเชิงรุกมากขึ้น ผลจากการศึกษาย้อนหลังทางสถิติ 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า พอร์ตการลงทุนที่มีสินทรัพย์ทางเลือกจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ที่ 8-9% ต่อปี ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของ ONE-ULTRAPLUS ที่เน้นกระจายการลงทุนตราสารทุน ตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะหุ้นต่างประเทศประมาณ 60% หุ้นในประเทศประมาณ 10% ตราสารหนี้ไทยประมาณ 20% และสินทรัพย์ทางเลือกประมาณ 10% ซึ่งมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 6-8%ต่อปี (หลังหักค่าใช้จ่าย) 

นอกจากนี้  กองทุน ONE-ULTRAPLUS มีข้อแตกต่างจากกองทุนอื่นในอุตสาหกรรมของประเทศไทย คือ กองทุน ONE-ULTRAPLUS ได้มีการจดทะเบียนกองทุนเป็นประเภท Super Saving Fund (SSF) เพิ่มเติม คือ ONE-ULTRAPLUS-ASSF  เพื่อรับสิทธิลดหย่อนทางภาษี ซึ่งผู้ลงทุนที่ลงทุนในกองทุน ONE-ULTRAPLUS-ASSF จะได้รับสิทธิประโยชน์ถึง 3 ข้อ ได้แก่ 1. เปิดโอกาสรับผลตอบแทนตามเป้าหมายเฉลี่ย  2. ผู้ลงทุนที่ถือครองหน่วยลงทุนตั้งแต่ 4,500 หน่วยขึ้นไป รับความคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประกันชีวิตและสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพ โดยเบี้ยประกันภัยจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์ประกันชีวิตและสุขภาพของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ส่วนในด้านการชำระค่าเบี้ยประกันทางบลจ.วรรณจะเป็นผู้รับภาระค่าเบี้ยประกันภัยทั้งหมด ซึ่งผู้ลงทุนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และ 3. ได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีตามหลักเกณฑ์ กองทุนลดหย่อนภาษี SSF

กองทุน ONE-ULTRAPLUS-RA และ ONE-ULTRAPLUS-ASSF   นับว่าเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกของ บลจ.วรรณ และ เมืองไทยประกันชีวิต  ซึ่งเราได้บริษัท เคจีไอ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทแม่ของวรรณ เป็นผู้คัดเลือกบริษัทประกันชีวิตที่ดีให้แก่บลจ.วรรณ นับเป็นกองทุนแรกของประเทศไทยซึ่งยกระดับนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบใหม่อีกขั้นที่นำผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองสุขภาพและชีวิตผนวกเข้ากับเรื่องของการลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อมอบโอกาสได้รับผลตอบแทนพร้อมเพิ่มมูลค่าการลงทุนด้วยสิทธิลดหย่อนทางภาษีรวมเป็นหนึ่งกองทุน บลจ.วรรณ มีความเชื่อมั่นว่า ลักษณะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนในยุคนี้โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสร้างหลักประกัน ภายใต้แนวคิดเงินก้อนเดียว คือ ชีวิต สุขภาพ ความมั่งคั่ง ถือเป็นการสร้างความแตกต่างของอุตสาหกรรมกองทุนรวมและเพิ่มมูลค่าการลงทุนที่ดี

นายพุฒิพัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานประกันกลุ่ม บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชนกล่าวว่า ความคุ้มครองจากเมืองไทยประกันชีวิตที่มอบให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนภายใต้กองทุน ONE-ULTRAPLUS ครอบคลุมการประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ แบ่งออกเป็น 5 แผน คือ แผนที่ 1 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 4,500 หน่วยแต่ไม่ถึง 45,000 หน่วย,  แผนที่ 2 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 45,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 145,000 หน่วย, แผนที่ 3 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 145,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 450,000 หน่วย, แผนที่ 4 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 450,000 หน่วย แต่ไม่ถึง 900,000 หน่วย และแผนที่ 5 หน่วยลงทุนตั้งแต่ 900,000 หน่วยขึ้นไป 

โดยให้ความคุ้มครองทั้งกรณีการเสียชีวิต  และการรักษาแบบผู้ป่วยใน  (IPD)  ทั้งค่าห้องผู้ป่วยปกติ  ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.)  ค่าแพทย์  ค่าตรวจ ค่ารักษาพยาบาลอุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น รวมทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) (เงื่อนไขเป็นไปตามแผนความคุ้มครองที่ บลจ.วรรณ และ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด) ผู้มีสิทธิได้รับความคุ้มครองประกันชีวิตและสุขภาพดังกล่าว จะต้องเป็นบุคคลธรรมดา มีอายุระหว่าง 15-75 ปี  มีสุขภาพแข็งแรง โดยความคุ้มครองจะเริ่มต้นทุกวันที่ 1 ของแต่ละไตรมาส หรือ   1 มกราคม หรือ 1 เมษายน หรือ 1 กรกฎาคม หรือ 1 ตุลาคมของทุกปี  และระยะเวลาของความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันชีวิตและสุขภาพกลุ่ม (ระยะเวลากรมธรรม์มีผลบังคับ 1 ปี ตั้งแต่ 1 มกราคม –    31 ธันวาคม 2567 เงื่อนไขเป็นไปตามแผนความคุ้มครองที่ บลจ.วรรณ และ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตกำหนด)

ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังได้เตรียมนวัตกรรมการบริการและเทคโนโลยีที่ทันสมัยไว้ให้บริการอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น MTL Click  Application ที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิต ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ ทั้งการเช็กกรมธรรม์เพื่อดูผลประโยชน์และความคุ้มครอง การปรึกษาหมอออนไลน์ การยื่นเคลมหรือติดตามผลการเคลมสินไหม  รวมถึงบริการ MTL Health Buddy  ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพ ผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค การทำนัดหมายติดต่อเข้ารับการรักษา ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 และ MTL Fit  Application ตัวช่วยด้านการออกกำลังกายที่จะทำให้คุณรู้จักสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการคำนวณ Health Score และทำกิจกรรม Weekly Goal เช่น การนับก้าวเดิน การนับจำนวนนาทีที่ออกกำลังกาย รวมถึง Challenge ต่างๆ เพื่อเพิ่มความสนุกและได้ประโยชน์จากการออกกำลังกาย พร้อมรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมจากการออกกำลังกายสอดรับกับเทรนด์สุขภาพในปัจจุบันอีกด้วย

“KCC” ขน NPA ทำเลหรูพร้อมทีมปรึกษาแก้หนี้ ร่วมงาน Money EXPO 2023

“KCC” ขนทรัพย์สินรอการขาย 156 ล้านบาท คัดทรัพย์ชิ้นงามกว่า 40 รายการ ร่วมงาน Money EXPO 2023 วันที่ 14-17 ธ.ค. นี้ มอบสิทธิเศษลูกค้าซื้อทรัพย์ในงานเพียบ!!  พร้อมทั้งยกทัพทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ให้คำปรึกษาเรื่องปรับโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ทุกประเภทฟรี!! 

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ในช่วงวันที่ 14-17 ธันวาคม 2566 KCC จะนำสินทรัพย์รอการขาย(NPA) มูลค่ารวมกว่า 156 ล้านบาท เข้าร่วมออกบูธในงาน Money EXPO 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูท P17

การร่วมออกบูธครั้งนี้ KCC มี โปรโมชั่นดีๆ ให้กับลูกค้าที่สนใจจะซื้อทรัพย์ NPA ของบริษัท โดยเราได้คัดบ้านมือสอง ทำเลทอง มากกว่า 40 รายการ มาให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษ 3 ต่อ ได้แก่

ต่อที่ 1 ส่วนลดราคาขายพิเศษเฉพาะในงาน

ต่อที่ 2 เมื่อลูกค้าซื้อบ้านมือสองในราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท จะฟรีค่าโอนฯ หาก ซื้อบ้าน 5 ล้านบาท ขึ้นไปจะได้รับ Gift Voucher IKEA มูลค่า 50,000 บาท!

ต่อที่ 3 วางจองขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท เฉพาะผู้จองซื้อในงานเท่านั้น และหากกู้ไม่ผ่านคืนเงินจองฟรี (ต้องแจ้งผลปฏิเสธสินเชื่อ ภายใน 15 ก.พ.2567)

นายทวี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนำ NPA ไปร่วมขายในงานแล้ว KCC ยังได้มีการจัดบูธ “มีหนี้แก้ได้” เพื่อให้คำปรึกษากับลูกหนี้ทุกประเภท ทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อส่วนบุคคล โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน รวมทั้งการวางแผนจัดการหนี้ และการแก้ไขหนี้เสียอย่างเป็นระบบ โดยเป็นการให้คำปรึกษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย บริษัทมีความคาดหวังเป็นอย่างมากว่าในการไปร่วมงานครั้งนี้ จะได้ช่วยให้คำปรึกษาการแก้หนี้กับลูกหนี้  จะช่วยเพิ่มการรับรู้ของบริษัทในตลาดได้มากยิ่งขึ้น และคาดหวังว่าจะมีผู้สนใจจองซื้อทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ที่บริษัทได้จัดโปรโมชั่นพิเศษให้เฉพาะงานนี้เท่านั้น

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลให้ธนาคารปล่อยกู้ยากขึ้น และตัวผู้ซื้อเองที่มีกำลังซื้อต่ำลงจึงชะลอการซื้อทรัพย์ในภาพรวม แต่ในส่วนของ KCC ไม่ค่อยมีผล เพราะทรัพย์ NPA ของบริษัทส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ที่อยู่ในโครงการที่มีชื่อเสียงและมีทำเลที่ดี ซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ต่างจากทรัพย์ประเภท อาคารชุดหรือทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่การขายอาจจะลำบากมากขึ้น ซึ่งจะสามารถเห็นภาพได้ชัดเจน จากผลดำเนินงานของบริษัท KCC ในงวด 9 เดือน จะพบว่า มีกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย 9.62 ล้านบาทเพิ่มขึ้น  5.54 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น  135.78 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน” นายทวี กล่าว

AWC ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) ทำคะแนนความยั่งยืนอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรม

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มดัชนีตลาดเกิดใหม่ (DJSI Emerging Markets Indices) เป็นปีแรก โดยมีคะแนนความยั่งยืนจากการประเมินผล Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ (Hotels, Resorts & Cruise Lines) สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3BETTERs ของ AWC คือ BETTER PLANET BETTER PEOPLE และ BETTER PROSPERITY เพื่อส่งมอบคุณค่าและสร้างความยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และร่วม ‘สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า’ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ให้มีความยั่งยืน และสร้างสรรค์ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “AWC เชื่อมั่นในการร่วมรวมพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ยั่งยืน และสร้างให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก การได้รับเลือกให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่ม DJSI Emerging Markets เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมของไทยด้วยคะแนนเป็นอันดับ 1 จากบริษัททั้งหมดทั่วโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญที่เข้าร่วมการประเมินกับ S&P Corporate Sustainability Assessment และเป็น 1 ใน 28 ของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในปีนี้ โดยจะเป็นพลังให้กับผู้บริหารและพนักงาน AWC รวมทั้งพันธมิตรได้เดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไป”

AWC มุ่งดำเนินงานตามกรอบพัฒนาด้านความยั่งยืนภายใต้ 3 เสาหลัก หรือ 3BETTERs ใน 9 มิติ ควบคู่ไปกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างคุณค่าองค์รวมและการเติบโตในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างสมดุล โดยให้ความสำคัญครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ แบ่งเป็น

  • BETTER PLANET เพื่อโลกที่ยั่งยืนของเรา มุ่งดำเนินงานทางด้านสภาพภูมิอากาศ เศรษฐกิจหมุนเวียน การบริหารจัดการน้ำ รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ โดยภายในปี 2573 AWC ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ลดปริมาณการใช้น้ำต่อหน่วยรายได้ร้อยละ 20 และมุ่งสู่การจัดการขยะตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดขยะสู่หลุมฝังกลบเป็นศูนย์ รวมถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวกสุทธิ (Net Positive Impact) เพื่อพิทักษ์สภาพสมดุลในระบบนิเวศ
  • Better People เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเราทุกคน การมุ่งพัฒนาทรัพยากรบุคลากรขององค์กรและอาชีวอนามัย ความปลอดภัย รวมไปถึงสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนที่โครงการของ AWC ตั้งอยู่ในหลากหลายมิติ โดยภายในปี 2573AWCตั้งเป้าว่าทุกตำแหน่งที่สำคัญในองค์กรต้องมีผู้สืบทอดที่มีความพร้อม อัตราอุบัติเหตุต่อการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรของพนักงานต้องเป็นศูนย์ และทุกกลุ่มธุรกิจภายใต้เครือ AWC ต้องสามารถส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้คนและสังคมผ่านโครงการเพื่อชุมชนต่างๆ
  • Better Prosperity เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนร่วมกัน ให้ความสำคัญเรื่องการกำกับดูแลกิจการที่ดีที่มีส่วนผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญรุ่งเรืองในวงกว้าง โดยภายในปี 2573 AWC ตั้งเป้าคว้ารางวัล 5 Golden Arrow จาก ASEAN Corporate Governance Scorecard (ACGS) อีกทั้ง ยังมุ่งเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมเพื่อสร้างคุณค่าและความยั่งยืนในระยะยาวตลอดห่วงโซ่คุณค่า

DJSI ถือเป็นดัชนีวัดความยั่งยืนแรกของโลกที่ใช้ประเมินผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในด้านบรรษัทภิบาล เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม รวมถึงเป็นดัชนีที่สถาบันการลงทุนและกองทุนจากทั่วโลกให้การยอมรับและใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับพิจารณาเพื่อประกอบการลงทุน

 นอกจากการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์เป็นปีแรกแล้ว AWC ยังได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2566 ที่ระดับ ‘A’ ในกลุ่มของอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อใช้ขับเคลื่อนธุรกิจด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ซีพี ออลล์ รับรางวัลส่งเสริมธรรมาภิบาล 2566 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัลส่งเสริมธรรมาภิบาล 2566 ให้กับบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ โดยมี นางสาวกรณิศ ธนสุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ. ซีพี ออลล์ เป็นผู้แทนรับมอบ ในงานมอบรางวัล ANTI-CORRUPTION AWARDS 2023

งานมอบรางวัลดังกล่าว จัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) ที่ห้องเบญจนฤมิต ชั้น 4 อาคารเบญจรังสฤษฏ์ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เมื่อวันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2566 

ทีมจิตอาสา CPF ปลูกฝังเด็กให้รักการออม สอนทำบัญชีครัวเรือน

ทีมจิตอาสา บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ขับเคลื่อน “โครงการ CSR บัญชีการเงิน CPF สร้างสุข-สอนการออมให้น้อง” ปูพื้นฐานการทำบัญชีครัวเรือนปลูกฝังนิสัยรักการออม แก่เด็กและเยาวชน โรงเรียนวัดบางกะทิง (พิศิษฐ์วิทยาคาร) โรงเรียนวัดบันไดช้าง และ โรงเรียนวัดประดู่โลกเชษฐ์ รวมทั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

นางสาวทิพรัตน์ วงศ์วัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร หน่วยงาน FSIS นำคณะผู้บริหารและเพื่อนพนักงานจิตอาสาจากทีมบัญชีการเงิน ร่วมกันเดินหน้าโครงการ CSR บัญชีการเงิน CPF โดยกิจกรรมครั้งที่ 2 ของปีนี้ มุ่งเน้นการแบ่งปันความรู้และปูพื้นฐานการทำบัญชีครัวเรือน ให้กับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างการตระหนักรู้และปลูกฝังการออม เห็นถึงประโยชน์ของการออมตั้งแต่วัยเด็ก ถือเป็นอีกกิจกรรมสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการทำงานแก่บุคลากร ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อสังคม ด้วยการแบ่งปันโอกาสการเข้าถึงความรู้ด้านการออมให้กับนักเรียน ในโรงเรียนที่ขาดแคลน กิจกรรมครั้งนี้ ผู้บริหารและพนักงานได้มอบเงิน 61,000 บาท เพื่อเป็นทุนการศึกษาและสนับสนุนการจ้างครูอัตราจ้าง

ทางด้าน นายสุนทร รองพล ผู้อำนวยการ รร.วัดบางกะทิง คณะครูและนักเรียน ร่วมกันขอบคุณ CPF ที่จัดกิจกรรมให้กับนักเรียนทั้ง 3 โรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของ ผอ.สุนทร ทั้งการสอนทำบัญชีครัวเรือน พร้อมสร้างแปลงปลูกผักสลัด กรีนโอ้ค เรดโอ้ค บัตเตอร์เฮด ผักกาดหอม และสร้างโรงเพาะเห็ดนางฟ้ากับเห็ดฟาง เพื่ออาหารกลางวัน ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน และจัดเลี้ยงอาหารกลางวันนักเรียน ชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้ง 60 คน รวมถึงสอนทำสไลม์และสายคล้องแมส เพื่อฝึกพัฒนากล้ามเนื้อและสมองให้เด็กๆ นอกจากนี้ ยังมอบเงินและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นต่อการเรียนการสอนอีกด้วย

ส่วน ด.ญ.ธนพร การสมเนตร์ นักเรียนชั้น ป.5 รร.วัดบางกะทิง ขอบคุณพี่ๆ CPF ที่ร่วมกันจัดโครงการดีๆแบบนี้ให้น้อง ทุกคนรู้สึกดีใจและสนุกกับทุกกิจกรรม โดยเฉพาะการทำสไลม์ที่มีผู้สนใจร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก รวมถึงการปลูกพืชผักสวนครัว และการเรียนรู้ด้านบัญชีครัวเรือน ทำให้รู้วิธีทำรายรับรายจ่ายของตนเองและครอบครัว ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

งานนี้ นอกจากน้องๆ จะมีความสุขและได้รับความสนุกสนานแล้ว ยังสามารถนำความรู้ด้านบัญชีไปประยุกต์ใช้กับโครงการออมของโรงเรียน พร้อมทั้งสร้างเป็นวิชาเลือกให้กับนักเรียนในอนาคต

ซีพี ออลล์ คว้ารางวัล CAC Change Agent Award 2023 จากสถาบัน IOD 3 ปีซ้อน

ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ คว้ารางวัล CAC Change Agent Award 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และได้รับการรับรองการต่ออายุเป็นสมาชิกของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption: CAC) ครั้งที่ 2  ตอกย้ำการบริหารธุรกิจภายใต้กรอบธรรมาภิบาลตลอดห่วงโซ่คุณค่า ร่วมขยายเครือข่ายความโปร่งใสไปยังบริษัทคู่ค้าผู้ประกอบการ SME เพื่อประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชัน สร้างแนวทางในการดำเนินธุรกิจร่วมกันอย่างมีธรรมาภิบาลตลอด Supply Chain

นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืน 3 เสาหลัก ประกอบด้วย Environment เพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืน, Social เพื่อส่งเสริมและสร้างคุณค่าที่หลากหลายต่อสังคม และ Governance and Economic เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างเข้มแข็งด้วยการกำกับดูแลที่ดี เป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อสร้างคุณค่าให้บุคลากรในองค์กรร่วมบรรลุเป้าหมาย และสร้างการเติบโตไปพร้อมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างยั่งยืน

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์

“ซีพี ออลล์ ให้ความสำคัญกับการวางระบบการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในและภายนอกองค์กร โดยประกาศเป็นนโยบายสำคัญ ซึ่งในปีนี้ซีพี ออลล์ ได้เดินหน้าจัดอบรมยกระดับคู่ค้าธุรกิจประเภท SME กว่า 58 ราย พร้อมเชิญชวนร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านคอร์รัปชันร่วมกับบริษัท 15 ราย เพื่อยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจและร่วมสร้าง Supply Chain อย่างโปร่งใส ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน” นายยุทธศักดิ์กล่าว

นับตั้งแต่ปี 2557 ซีพี ออลล์ ได้เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และในปีนี้ถือเป็นความภูมิใจของซีพี ออลล์ ที่ได้รับการรับรองการต่ออายุเป็นสมาชิกของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption :CAC) ครั้งที่ 2  ซึ่งมีผลต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2569 พร้อมเข้ารับรางวัล CAC Change Agent Awards 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยมีนางสาวกรณิศ ธนสุนทรกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหาร เซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ เป็นผู้แทนรับมอบรางวัลจาก ดร.กุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการ สถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC)  ในงาน CAC National Conference 2023 “Public-Private Collaboration: A Strong Collective Action Against Corruption” ผนึกกำลังไตรภาคี สร้างความแข็งแกร่ง เพื่อความยั่งยืน  ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ (Siam Kempinski Hotel Bangkok) เมื่อเร็วๆ นี้

เมืองไทยประกันชีวิต ดึง“เบลล่า”เปิดตัวแคมเปญ “คุ้มครองคุ้มเวอร์” คุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย-โรคร้ายแรง ดูแลเคียงข้างออเจ้า นานสูงสุดถึงอายุ 99 ปี

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม ดึง “เบลล่า” ราณี แคมเปน เป็นพรีเซ็นเตอร์ เปิดตัวแคมเปญและโฆษณาชุด “คุ้มครองคุ้มเวอร์” ชูความอุ่นใจด้วยความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย-โรคร้ายแรง เลือกวงเงินความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท สมัครได้สูงสุด 90 ปี ดูแลคุณสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ตอบโจทย์ทุกความต้องการในแบบที่เป็นคุณ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายในการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการดำเนินกลยุทธ์“Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิต   ให้กับทุกคน

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวแคมเปญ “คุ้มครองคุ้มเวอร์” พร้อมโฆษณาชุดใหม่ โดยดึง “เบลล่า” ราณี แคมเปน เป็นพรีเซ็นเตอร์ ร่วมสร้างสีสันและความสุขให้แก่ผู้ชมในบทบาทคุณหญิงการะเกดและแม่พุดตาน โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้เกาะติดกระแสพรหมลิขิตฟีเวอร์ เรื่องราวสื่อสารถึงคุณหญิงการะเกด แม่พุดตาน และบรรดาบ่าวๆ  มาร่วมกันดูแลสุขภาพ ไม่ว่าจะภพชาติใด เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย โรคระบาด หรืออุบัติเหตุก็ห้ามกันไม่ได้          มีประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพไว้ก็อุ่นใจ ทั้ง ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่ให้การดูแลครอบคลุมทั้งโรคมะเร็ง โรคไต โรคหัวใจ โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ เลือกวงเงินความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาทสมัครได้สูงสุด 90 ปี ดูแลคุณสูงสุดถึงอายุ 99 ปี ครอบคลุมเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย เข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมไปถึง ประกันโรคร้ายแรง ซื้อเพิ่มได้ เจอโรคร้ายก็จ่ายไหว ตรวจเจอรับเงินก้อนไปรักษาพยาบาล

พร้อมมอบความอุ่นใจ เลือกความคุ้มครองได้ในแบบที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็น สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ คุ้มครองตอนแอดมิต รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก ทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน  ค่าห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U) ค่าหมอ ค่ายา  ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด  ค่ากายภาพบำบัด อีกทั้งจะผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภายใน 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องนอนก็คุ้มครอง และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบอีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพอย่างเหนือระดับ สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 -100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้ง โรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล และห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) เหมาจ่ายตามจริงรวมสูงสุด 365 วัน หรือถ้านอนห้องเดี่ยวพิเศษ คุ้มครอง 10,000 -25,000 บาทต่อวัน และการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD)ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการฟอกไต การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy ให้คุณมั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI  โดยไม่ต้องแอดมิต นอกจากนี้ยังสามารถเลือกประเทศที่ต้องการรักษาได้ และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ

โครงการเหมาจ่าย เอ็กซ์ตร้า (เหมาจ่าย Extra) จ่ายเบี้ยประกันภัยน้อย แต่รับความคุ้มครองเต็มที่ ครอบคลุมทั้งโรคร้ายแรง โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริง 2-5 แสนบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง หมดกังวลถ้าต้องแอดมิต ด้วยความคุ้มครองค่าห้องสูงสุด 4,000 บาทต่อวัน(1) และรับเพิ่ม 2 เท่า หากเข้าพักในห้อง ICU หมดกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล แม้จะเพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือไม่มีสวัสดิการก็อุ่นใจ

ทั้งนี้ ดี เฮลท์ พลัส , อีลิท เฮลท์ พลัส และเหมาจ่าย Extra สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี – 90 ปี คุ้มครองยาว ๆ ถึงอายุ 99 ปี เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(2)

สัญญาเพิ่มเติม ซีไอ เพอร์เฟค แคร์ (CI Perfect Care) โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ดูแลคุณอย่างต่อเนื่องหากป่วยเป็นโรคร้ายแรง ครอบคลุม 36 โรคร้าย ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคปอด โรคหลอดเลือดในสมอง เป็นต้น ทุกระยะ ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ระยะกลาง หรือระยะรุนแรง พร้อมรับเงินก้อนหากตรวจพบโรค และรับเพิ่มเมื่อเกิดโรคแทรกซ้อน เบาหวาน หรือผ่าตัดขยายหลอดเลือดแดงหัวใจ ดูแลคุณอย่างต่อเนื่องด้วยความคุ้มครองโรคร้ายที่มั่นใจได้ สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 65 ปี คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี เบี้ยประกันภัยบางส่วนยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(2)

โดยทุกท่านสามารถติดตามโฆษณา “คุ้มครองคุ้มเวอร์” จากเมืองไทยประกันชีวิต ได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่ โทรทัศน์  วิทยุ  เว็บไซต์ www.muangthai.co.th YouTube,  Facebook, Instagram, X, LINE Official Account  และ TikTok  

สำหรับผู้ที่สนใจประกันสุขภาพเหมาจ่าย และประกันโรคร้ายแรงจากเมืองไทยประกันชีวิต ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ

สามารถรับชมโฆษณา “คุ้มครองคุ้มเวอร์” ได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=wVghee6vkP0&t=1s

CEO ตลาดทุน ประสานเสียงคาดปีหน้า ศก.ดีขึ้น ห่วงการเมืองในประเทศเป็นปัจจัยเสี่ยง กังวลต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย ร่วมมือกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใน SET และ mai (CEO Survey: Economic Outlook 2023 – 2024) ซึ่งรวบรวมข้อมูลในช่วงวันที่ 16 สิงหาคม  – 30 กันยายน 2566 สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้

CEO ส่วนใหญ่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ปรับตัวดีขึ้นแต่ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อน และคาดกว่า GDP จะเติบโตที่ระดับ 2% ถึง 3% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะเติบโตที่ระดับ 3% ถึง 4%

สำหรับปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย CEO คาดว่า การท่องเที่ยว นโยบายการคลังและการใช้จ่ายภาครัฐ และเสถียรภาพการเมืองในประเทศ จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 และต่อเนื่องในปี 2567 ขณะที่เสถียรภาพการเมืองในประเทศ กำลังซื้อในประเทศ และการส่งออกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ในปี 2566 โดยคาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2567 ตามมาด้วยหนี้สิ้นภาคครัวเรือน การส่งออก ปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น และในปีหน้า CEO มองว่า  “หนี้สิ้นภาคครัวเรือน” จะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ตามมาด้วยเสถียรภาพทางการเมืองไทย และเสถียรภาพทางการเมืองโลก ที่อาจเป็นตัวถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ด้านแนวโน้มอุตสาหกรรม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 58% ของ CEO คาดว่าผลประกอบการในปี 2566 จะดีขึ้น โดย 52% ของ CEO คาดการณ์ว่าผลประกอบการปี 2566 จะเติบโตมากกว่า 10% โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการกลับมาใช้ชีวิตรูปแบบปกติ อาทิ ธุรกิจในหมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดวัสดุก่อสร้าง

ส่วนการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 โดย 56% ของ CEO ที่ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2566 และ 73%  คาดว่าจะมีการลงทุนเพิ่มในปี 2567 และพบว่าบริษัทจดทะเบียนในหมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น คาดว่าจะลงทุนเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจความคิดเห็นด้านปัจจัยการผลิตและแนวโน้ม พบว่า CEO ส่วนใหญ่ คาดว่า ปัจจัยการผลิต ทั้งต้นทุนแรงงาน ต้นทุนด้านพลังงาน และราคาวัตถุดิบ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับแนวโน้มของราคาสินค้าและบริการ ด้านภาพคล่องและอัตราการจ้างงานมีแนวโน้มทรงตัว ส่วนแนวโน้มในการลงทุนในต่างประเทศในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบริษัทที่ตอบว่ามีการลงทุนเพิ่มเติมมีสัดส่วนอยู่ที่ 42% กระจายในหมวดธุรกิจต่างๆ อาทิ บริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค เป็นต้น โดยประเทศเป้าหมายในการลงทุน ได้แก่ ประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV) อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศนอกกลุ่มอาเซียน ได้แก่ จีน ซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ชะลอการลงทุนในจีน และสิงคโปร์

เมื่อสอบถามถึงความวิตกกังวลในการประกอบธุรกิจ พบว่า ในปี 2566 CEO มีความวิตกกังวลสูงเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตด้านต่างๆ ทั้ง  “ต้นทุนราคาเชื้อเพลิง” และ “ต้นทุนวัตถุดิบ” และในด้านกำลังซื้อภายในประเทศ อัตราดอกเบี้ย และค่าเงินบาทที่ผันผวนของลูกค้า ขณะที่ “การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” และ “การให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” จะเป็นปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลบวกมากต่อบริษัท นอกจากนี้ CEO ยังแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการฟื้นตัวของกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การแทรกแซงตลาดของภาครัฐที่บิดเบือนกลไกตลาด และปัญหาจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

นอกจากนี้ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน คาดว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เสถียรภาพการเมืองโลก เสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายการปรับเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของประเทศและการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลใหม่จะส่งผลบวก

ซีพีเอฟ – ม.วลัยลักษณ์ เซ็นเอ็มโอยูร่วมพัฒนาหลักสูตรด้านด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต 2 สาขา ของสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ 1.) สาขาเกษตรศาสตร์และนวัตกรรม 2.) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์อาหารและนวัตกรรม ภายใต้โครงการ Co-Creation Program เสริมทักษะนักศึกษาด้วยความรู้ STEM 4 ด้าน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริงในสถานประกอบการของซีพีเอฟ เพื่อผลิตบัณฑิตคุณภาพตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและตลาดแรงงาน โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ร่วมลงนาม พร้อมด้วย นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ และคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ 

ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้โลกกำลังเข้าสู่ยุค 5.0 ทุกภาคส่วนต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย รวมถึงภาคการศึกษา มหาวิทยาลัยฯ จึงมุ่งเน้นงานวิจัยและบริการวิชาการ ควบคู่กับการผลิตบัณฑิตที่มีทักษะแห่งอนาคต ให้มีศักยภาพสูง ขอขอบคุณซีพีเอฟสำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการมอบโอกาสดีๆ ให้แก่คนรุ่นใหม่ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมอาหารและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันบนเวทีโลก ในช่วงแรกนำร่องพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต 2 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาเกษตรศาสตร์และนวัตกรรม และ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์อาหารและนวัตกรรม รวมทั้งจะขยายความร่วมมือไปสู่หลักสูตรอื่นๆ อาทิ วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมเครื่องกล คอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ ให้สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่อไป  

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ยึดมั่นในหลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ทั้งนี้ทรัพยากรบุคคลเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับธุรกิจให้ก้าวหน้า ซึ่งการผนึกกำลังกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาและการวิจัย รวมทั้งผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของภาคธุรกิจและตลาดแรงงาน โดยบูรณาการองค์ความรู้มิติต่างๆ และการปฏิบัติงานจริง เรียนรู้การทำงาน การแก้ปัญหาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหาร สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ สร้างคนดีและคนเก่ง ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  

สำหรับ ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการพัฒนาหลักสูตรแบบ Co-Creation Program เน้นความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยกับบริษัทเอกชน ในรูปแบบ Work-Based Learning (WBL) ทั้งภาคทฤษฎีและการปฏิบัติจริง รวมทั้งเสริมทักษะและความรู้ STEM 4 ด้าน ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) โดยคณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของซีพีเอฟ เพื่อสร้างโอกาสและขีดความสามารถผลิตบันฑิตพร้อมใช้ (Ready to Use) 

ที่ผ่านมา ทั้ง 2 องค์กร มีความร่วมมือด้านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการฟาร์มสาธิตสุกรขุนและไก่ไข่ ระบบปิดอัตโนมัติ (Green Farm) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้การผลิตสัตว์ครบวงจรด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ให้แก่นักศึกษา เกษตรกร และชุมชน