Home Blog Page 13

Chester’s x ชาตรามือ เขย่าเมนูใหม่สุดแหวกแนว! ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ ฟิวชั่นคาวหวาน ผสานความอร่อยแบบคาดไม่ถึง 

Chester’s (เชสเตอร์) ในกลุ่มบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดเซอร์ไพรส์เมนูใหม่รับต้นปีปังๆ จับมือ “ชาตรามือ” แบรนด์ชาไทยชั้นนำ รังสรรค์เมนูฟิวชั่นคาวหวานสุดแหวกแนว เอาใจแฟนๆ เชสเตอร์และชาตรามือ รวมถึงตัวตึงสายคาเฟ่ ด้วย ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ นำเมนูตัวท็อปอย่าง ไก่กรอบเนื้อล้วนและเฟรนช์ฟรายส์ เมนูยอดนิยมของเชสเตอร์ มารับประทานคู่กับซอสชาไทย สูตรเฉพาะที่คิดค้นและพัฒนาเป็นพิเศษเพื่อเมนูนี้โดยเฉพาะ ให้ความหอมชาไทยแบบต้นตำรับ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี เสิร์ฟพร้อมวิปปิ้งครีมนุ่มๆ อร่อยจนคุณคาดไม่ถึง! 

นางสาวลลนา บุญงามศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ ฟู้ด จำกัด กล่าวว่า เชสเตอร์ เป็นร้านอาหารจานด่วนที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 35 ปี มีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ ให้เข้ากับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคตลอดเวลา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง สำหรับเมนูใหม่ในครั้งนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องดื่มยอดนิยมตลอดกาล และเป็นกระแสที่มาแรงในตอนนี้อย่าง ชาไทย จึงเกิดไอเดียสร้างสรรค์เมนูฟิวชั่น ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ โดยได้แบรนด์เครื่องดื่มชาไทยที่ครองใจผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยอย่าง “ชาตรามือ” มาร่วมพัฒนาสูตรซอสชาไทยเอ็กซ์คลูซีฟนี้ รับประทานคู่กับไก่กรอบเนื้อล้วนและเฟรนช์ฟรายส์ของเชสเตอร์ ผสมผสานเมนูคาวหวานได้อร่อยลงตัวจริงๆ  

“ไม่อยากให้แฟนๆ เชสเตอร์และชาตรามือ พลาดโอกาสนี้ เพราะนอกจากเมนูนี้จะอร่อยถูกปากแล้ว ยังต้องถูกใจและเซอร์ไพรส์กับรสชาติแปลกใหม่นี้แบบที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน แต่ต้องรีบหน่อยนะคะ เพราะเมนูนี้มีจำนวนจำกัดคะ” นางสาวลลนา กล่าว 

สำหรับ ‘ไก่ & ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ เริ่มจำหน่ายวันที่ 25 มกราคม 2567 ประกอบด้วยเมนู ‘ไก่กรอบ ชาไทยตรามือ’ จานละ 135 บาท และเมนู ‘ฟรายส์ ชาไทยตรามือ’ เพียง 75 บาทเท่านั้น ท้าให้ลองได้ที่! ร้านเชสเตอร์ทุกสาขา หรือจะสั่งผ่านเชสเตอร์เดลิเวอรี่ โทร.1145 หรือ www.chesters.co.th รวมถึงฟู้ดเดลิเวอรี่แอปพลิเคชันต่างๆ ด้วยโปรโมชั่นชุดพิเศษแบบจุกๆ เช่นกัน 

‘เชสเตอร์’ มุ่งมั่นและพัฒนาเมนูมีคุณภาพหลากหลาย รสชาติอร่อย รวมถึงการบริการที่รวดเร็ว เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า พร้อมสร้างสรรค์เทรนด์เมนูอาหารแนวใหม่ และกิจกรรมทางการตลาดที่ทันสมัย เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ Facebook Page เชสเตอร์ : https://www.facebook.com/chesterthai/

AIS คว้ารางวัลแบรนด์องค์รกรสูงสุด ASEAN’s Top Corporate Brand 2023

AIS  ได้รับรางวัล ASEAN’s Top Corporate Brand 2023 ในฐานะองค์กรโทรคมนาคมแรกและหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับรางวัลนี้ ในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด ด้วยมูลค่าถึง 9,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการคำนวณด้วย CBS Valuation เครื่องมือวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรเครื่องมือแรกของประเทศไทยที่จัดทำโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากขีดความสามารถในการทำธุรกิจที่มีสินค้าและบริการคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จนสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากลูกค้า และนักลงทุน ส่งผลให้แบรนด์แข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืนจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ AIS เคยได้รับรางวัล Thailand’s Top Corporate Brands ตั้งแต่ปี 2012 ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้รับต่อเนื่องมาถึง 5 ปี โดยขึ้นแท่น Thailand’s Top Corporate Brand Hall of Fame ในปี 2016

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า “ปรัชญาการทำงานของเอไอเอสกว่า 34 ปีที่ผ่านมา คือ เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อสร้างประโยชน์แก่ประเทศและสร้างความสุขให้กับลูกค้า ผ่านการส่งมอบประสบการณ์สื่อสารและบริการดิจิทัลที่ดีที่สุด อีกทั้งยังมีเจตนารมณ์อย่างชัดเจนในฐานะองค์กรไทยที่จะบริหารจัดการผลประโยชน์อย่างตอบโจทย์กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเหมาะสม ทั้งในแง่ธรรมาภิบาล,การลงทุน, การสร้างรายได้ ,ผลประกอบการ รวมถึง ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง พร้อมการใช้งบประมาณอย่างสมเหตุสมผล ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเรามุ่งมั่นรักษาสมดุลย์ดังกล่าว จนได้รับความเชื่อมั่นสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนจากรากฐานที่แข็งแกร่ง”

CBS Valuation จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเครื่องมือวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรที่ได้รับความเชื่อถืออย่างยิ่งจากองค์กรต่างๆ เครื่องมือแรกของประเทศไทย ซึ่งออกแบบวิจัยโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. กุณฑลี รื่นรมย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอกก์ ภทรธนกุล  โดยผลงานนี้ได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่น  สาขาเศรษฐศาสตร์ จากสภาวิจัยแห่งชาติ ใน ปี 2557  และได้ดำเนินการต่อเนื่องยาวนานถึง 15 ปี  ถือเป็นงานวิจัยที่มีผลกระทบเชิงสังคมซึ่งได้รับการให้ความสำคัญจากภาคธุรกิจสูงสุด เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญต่อการพัฒนาแบรนด์องค์กรเพื่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนของบริษัทในระยะยาว โดยการวัดมูลค่าแบรนด์องค์กรได้นำตัวเลขจากงบการเงินของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มาคำนวณ ใช้ค่าเฉลี่ย 3 ปี โดยมีสูตรการคำนวณภายใต้กรอบของ CBS Valuation บนฐานคิดที่ว่า CBS Valuation จะเท่ากับ มูลค่าขององค์กร: Enterprise value -(สินทรัพย์รวมทั้งหมด: Total Asset-เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: Cash and Cash Equivalents-การลงทุนชั่วคราว: Temporary Investments) ซึ่งจะทำให้สามารถประเมินมูลค่าแบรนด์องค์กรได้ในที่สุด

นายสมชัย กล่าวว่า “การได้รับรางวัลครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และเป็นกำลังใจในการพัฒนาองค์กรให้แข็งแกร่ง พร้อมรับความท้าทายใหม่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเรายืนยันว่า บุคลากรเอไอเอสทุกคนจะเดินหน้าทำงานเพื่อลูกค้า และไม่หยุดพัฒนาขีดความสามารถ พร้อมเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีแห่งอนาคตมาประยุกต์ใช้เสมอ  เพราะนอกจากจะสร้างการเติบโตแล้ว ยังเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วย โดยรางวัลดังกล่าวมิใช่เพื่อ AIS เท่านั้น แต่เป็นรางวัลในนามประเทศไทยที่ปักหมุดสร้างชื่อเสียงในเวทีระดับ ASEAN  และเป็นบทพิสูจน์ถึงขีดความสามารถของภาคเอกชนไทยที่พร้อมเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนการเติบโตของประเทศต่อไป”

“ห้าดาว” ตอกย้ำ ธุรกิจสร้างงานสร้างอาชีพ ชูแฟรนไชส์ ‘กระทะเหล็ก-ข้าวมันไก่ไห่หนาน’ ให้เถ้าแก่ทั่วไทย 

“ร้านกระทะเหล็ก” และ “ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน” ธุรกิจห้าดาวและร้านอาหาร ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ลุยร้านอาหารแฟรนด์ไชส์ระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้ บนทำเลศักยภาพ สาขาเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต รองรับผู้บริโภคย่านบางใหญ่และกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก โดยมี นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด ร่วมแสดงความยินดีกับ นางธนัญญา เข็มแก้ว เจ้าของร้านกระทะเหล็ก และ นายนภดล เพ็ญพระเดช เจ้าของร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน 

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กล่าวว่า ‘ห้าดาว’ มุ่งมั่นสร้างงานสร้างอาชีพให้คนไทย เป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีรายได้มั่นคงและสามารถ สืบทอดสู่ลูกหลาน เดินหน้าสร้าง ‘เถ้าแก่ห้าดาว’ ด้วยโมเดลร้านหลากหลายรูปแบบที่มีความทันสมัย อย่าง ร้านกระทะเหล็ก และ ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน ชูจุดเด่นวัตถุดิบคุณภาพพรีเมียมจากซีพีเอฟ สะอาด ปลอดภัย ในราคาคุ้มค่า อร่อยถูกปากผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ถูกใจผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบัน ‘ร้านกระทะเหล็ก’ ขยายสาขาไปแล้ว 20 สาขา ส่วน ‘ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน’ รวม 3 สาขา และมีแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง 

“องค์ความรู้และประสบการณ์ของธุรกิจห้าดาวมากกว่า 39 ปี สะท้อนความสำเร็จการส่งเสริมให้คนไทยได้มีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง สร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการแฟรนไชส์ดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญดูแลให้คำปรึกษาได้มาตรฐานทุกด้าน ตั้งแต่การหาทำเลที่ตั้ง การบริหารจัดการร้าน การจัดส่งสินค้าและวัตถุดิบ พัฒนาเมนูใหม่ๆ รวมทั้งการสื่อสารประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการขายบนแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างเต็มที่ แม้ผู้ประกอบการจะไม่เคยมีประสบการณ์ทำร้านอาหารมาก่อน ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมืออาชีพ ด้วยเงินลงทุนไม่สูง แต่คืนทุนไว กำไรเร็ว” นายสุนทร กล่าว 

‘ร้านกระทะเหล็ก’ สตรีทฟู้ดพรีเมียมสไตล์ไทย คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ ทั้งปลา กุ้ง หมู ไก่ ไข่ ปรุงสดใหม่ทุกเมนู เสิร์ฟด้วยกระทะเหล็กซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของทางร้าน ภายใต้แนวคิด ‘อร่อยร้อนทุกจาน จัดจ้านถึงใจสูตรต้นตำรับไทยแท้ๆ’ ยกเมนูยอดนิยม ได้แก่ ข้าวกะเพราหมูสับ ข้าวกะเพราไก่สับ ข้าวกะเพราหมูชิ้น ข้าวคะน้าขาหมูเยอรมัน กุ้งคั่วพริกเกลือ ซี่โครงหมูซอยกระเทียมพริกไทย และอาหารตามสั่ง อาทิ ข้าวปลากระพงลุยสวน ผัดฉ่า ไข่ข้น ต้มยำไก่ซูเปอร์ เป็ดย่างพริกเกลือ มาม่าผัด สปาเก็ตตี้ขี้เมา รวมถึงเมนูทานเล่น อย่าง ชิกเก้นบาร์ ขนมหวานและเครื่องดื่มเติมความสดชื่น 

‘ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน’ ข้าวมันไก่ที่ดีต่อสุขภาพ รังสรรค์วัตถุดิบพรีเมียม อย่าง ‘ไก่เบญจา’ แบรนด์ยูฟาร์ม จากฟาร์มระบบปิด เลี้ยงด้วยซูเปอร์ฟู้ด (Superfood) อย่างข้าวกล้องและเมล็ดแฟลกซ์ (Flax Seed) ทำให้เนื้อไก่เบญจา หอม นุ่ม ฉ่ำกว่าเนื้อไก่ปกติ 55 เท่า มีโอเมก้า 3 สูง ปลอดสาร ปลอดภัย ไม่ใช้ฮอร์โมน และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยงดู ผสานนวัตกรรมการปรุงข้าวมัน ด้วยข้าวหอมมะลิ 100% หอม นุ่ม อร่อย เม็ดเรียวสวย รับประทานกับน้ำซุปสูตรพิเศษ รสชาติโดดเด่น สูตรไห่หนาน สไตล์ไทย ให้ผู้บริโภคได้ลิ้มลอง ได้แก่ ข้าวมันไก่ต้ม ข้าวมันไก่ทอดจี๊ดจ๊าด ข้าวมันไก่ย่างต้นตำรับ ไก่ต้มเบญจา ต้มยำไก่น้ำดำ ไก่ตุ๋นมะนาวดอง ไก่ตุ๋นมะระน้ำแดง ฮ่องเต้น้อยน้ำมันหอย เมนูทานเล่น อย่าง ขนมจีบ ซาลาเปา เกี๊ยวซ่าไก่ ปิดท้ายมื้อด้วยขนมหวานสุดฟิน 

‘ร้านกระทะเหล็ก’ และ ‘ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน’ สาขาเซ็นทรัล เวสต์เกต ชั้น G เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. หรือสั่งผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ Grab และ LINE MAN สำหรับผู้สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ “ร้านกระทะเหล็ก” ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.fivestars-ironpan.com/ และ “ร้านข้าวมันไก่ไห่หนาน” คลิกที่ https://www.facebook.com/Hainanesechickenriceth 

AWC จับมือกลุ่ม ปตท. เปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ on-ion ครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั่วไทย

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด ในกลุ่ม ปตท. ลงนามความร่วมมือในการเปิดสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) ภายใต้แบรนด์ on-ion (ออน-ไอออน) ในโครงการอสังหาริมทรัพย์เครือ AWC ทั้งหมด 17 โครงการ รวมกว่า 50 หัวชาร์จภายในปีนี้ ครอบคลุมหัวเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ด้วยเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสสลับ (AC Charger) และเครื่องอัดประจุไฟฟ้าชนิดกระแสตรง (DC Charger) ขนาดกำลังไฟสูงสุด 100 กิโลวัตต์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางด้วยพลังงานสะอาด รองรับการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ตลอดการเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “AWC มุ่งมั่นในการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืน ด้วยการผนึกกำลังกับกลุ่ม ปตท. ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจของทั้งสองฝ่ายที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) พร้อมส่งเสริมความยั่งยืนและสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นให้แก่โลกใบนี้ เนื่องจากตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในฐานะองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของลูกค้าไปพร้อมกับการสร้างความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้นำทางด้านพลังงานสะอาดและธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร (EV Value Chain) ในการเปิดจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ on-ion ภายในโครงการอสังหาริมทรัพย์เครือ AWC ครอบคลุมเมืองท่องเที่ยวสำคัญกว่า 17 โครงการ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และภูเก็ต โดยจะเริ่มทยอยเปิดจุดชาร์จแรกในไตรมาส 2 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ AWC ในการลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดแห่งอนาคต และอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ลูกค้าที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างไร้กังวลเรื่องที่ชาร์จ มอบประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนครบทุกมิติ”

คุณเชิดชัย บุญชูช่วย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่นวัตกรรมและธุรกิจใหม่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “กลุ่ม ปตท. มุ่งขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน- ไอออน (on-ion EV Charging Station) บนทำเลศักยภาพให้ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทยในปี 2567 โดยความร่วมมือระหว่าง อรุณ พลัส ที่ดำเนินธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร กับ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มีโครงการที่หลากหลายในเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานอนาคต เพื่อสร้างความแข็งแกร่งด้านระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในทุกมิติ ทั้งในด้านการผลิต จำหน่าย ระบบกักเก็บพลังงาน แพลตฟอร์มเช่ายานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงาน ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด สอดรับกับนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ของกลุ่ม ปตท. อีกด้วย”

สำหรับสถานีอัดประจุสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้แบรนด์ ออน- ไอออน เป็นการชาร์จไฟในรูปแบบของ “Green Charging Network” โดยผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับพลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน 100% และเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยทั้งหมด นอกจากนี้ on-ion Mobile Application ยังอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ขับขี่ในการค้นหาสถานีชาร์จ และรับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย และพบกับสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในโครงการอสังหาริมทรัพย์เครือ AWC ทั่วไทย อำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มาใช้บริการที่โครงการ สร้างความมั่นใจในการขับขี่ปลอดภัย และเดินทางได้อย่างไร้กังวล

ความร่วมมือระหว่าง AWC และบริษัท อรุณ พลัส จำกัด ในกลุ่ม ปตท. สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืนของ AWC ในกรอบการดำเนินงาน BETTER PLANET เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น ด้วยการผลักดันประเทศไทยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2573 และสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดประสิทธิภาพสูงที่เป็นหนึ่งใน เทรนด์ใหญ่ของโลกเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมรวมพลังในการ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า”

เจียไต๋ร่วมจัด Bangkok Design Week 2024 เปิดบ้านเนรมิต “เจียไต๋ ฟาร์มสุขภาพดีในเมือง” สัมผัสสวนผักกลางสุขุมวิทใต้ พร้อมสนุกกับเวิร์กชอป

บริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำนวัตกรรมการเกษตรของไทย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ 2567 (Bangkok Design Week 2024) โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ที่ปีนี้ได้มาจัดที่ย่านสุขุมวิทใต้ภายใต้แนวคิด สุขุมวิทใต้… ความลงตัวของนวัตกรรมและเสน่ห์ชุมชน โดยหนึ่งในนั้น เจียไต๋ได้เปิดบ้านสำนักงานใหญ่ สุขุมวิท 60 เนรมิตสวนผักกลางเมืองย่านสุขุมวิทใต้ ส่งต่อแรงบันดาลใจในการปลูกผักในพื้นที่จำกัดในงาน “เจียไต๋ ฟาร์มสุขภาพดีในเมือง (Chia Tai Healthy Urban Farm)” ขอชวนทุกท่านมาขยับเข้าใกล้วิถีเกษตรและพื้นที่สีเขียวกันให้มากขึ้น ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม ถึง 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 10:00-18:00 น. ณ อาคารสำนักงานใหญ่เจียไต๋ สุขุมวิท 60

กิจกรรมที่ทุกท่านจะพบในงาน Bangkok Design Week 2024 เจียไต๋ ฟาร์มสุขภาพดีในเมืองนี้ ได้แก่

1. สนุกไปกับกิจกรรมวอล์ก แรลลี่ 3 จุดเช็กพอยต์ (ไม่มีค่าใช้จ่าย) พร้อมรับของที่ระลึกเก๋ๆ กลับบ้าน โดยเปิดรอบกิจกรรม 2 ช่วงเวลาได้แก่ ช่วงเช้า 10:30-12:00 น. และ ช่วงบ่าย 15:30-17:00 น. เริ่มจากจุดที่หนึ่ง ย้อนวันวานไปกับต้นกำเนิดของเจียไต๋ พร้อมเก็บรูปมุมสวยภายใน Chia Tai Experience Hall ก่อนเพลิดเพลินกันต่อที่จุดที่สอง กับลานสวนผักเมล็ดพันธุ์เจียไต๋ ให้คุณตื่นตาตื่นใจกับดีไซน์สวนผักสลัด พืชผักสวนครัว และดอกไม้งามๆ ในสไตล์ Bed Garden, Vertical Farming และโดม Glass House ร่วมทำเวิร์กชอปสอนปลูกผักไมโครกรีน และจบด้วยความอิ่มเอมแบบสุขภาพดีในจุดที่สาม กับร้านเจียไต๋ฟาร์ม อีทเทอรี ร่วมเวิร์กชอปทำอาหาร เช่น น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ สลัดมะเขือเทศ และแรพไมโครกรีน ที่นอกจากสนุกแล้วยังรับอาหารที่ทำเองกลับบ้านอีกด้วย

2. พลาดไม่ได้กับเมนูอาหารเพื่อสุขภาพโดยเจียไต๋ฟาร์ม อีทเทอรี ที่รังสรรค์ขึ้นใหม่สำหรับเทศกาล Bangkok Design Week 2024 โดยเฉพาะ ได้แก่ “ซุปชิออพพิโน่” ซุปอาหารทะเลปรุงด้วยมะเขือเทศสดสไตล์อิตาเลียน “สลัดคูสคูสกับโชริโซ่” คูสคูสที่เพิ่มความสดชื่นด้วยมะเขือเทศสด ลูกเกด และอโวคาโด รับประทานคู่กับไส้กรอกหมูแบบเผ็ดของสเปน และ “เสต็กเนื้อพรีเมียมริบอายจากออสเตรเลีย” เสิร์ฟคู่กับข้าวโพดทอดสูตรพิเศษและซอสกรีนเปปเปอร์คอร์น พร้อมเสิร์ฟให้ทุกท่านภายในช่วง Bangkok Design Week 2024 นี้เท่านั้น

มาร่วมสร้างสรรค์พื้นที่สีเขียวในเมือง พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจขยับเข้าใกล้วิถีเกษตรกันให้มากขึ้นกับเจียไต๋ โดยสามารถติดตามข่าวสารงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ 2567 เจียไต๋ ฟาร์มสุขภาพดีในเมือง เพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/Chiatai.group.official หรือ https://bit.ly/ChiaTaiBKKDW2024

AIS พร้อมให้ทุกคนเป็นเจ้าของ AI Phone แห่งปี Samsung Galaxy S24 Series กับสุดยอดข้อเสนอและสิทธิพิเศษที่ดีที่สุด

AIS เอาใจสาวก Samsung จัดเต็มความพิเศษมากกว่าใครเมื่อสั่งจอง Samsung Galaxy S24 Series กับ AIS ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยพลังแห่ง Galaxy AI บนโครงข่ายอัจฉริยะ AIS 5G พร้อมข้อเสนอและสิทธิพิเศษอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟรี!! เพิ่มความจุเครื่อง 2 เท่า, เครื่องเก่ามีมูลค่ารับส่วนลดเพิ่ม และคุ้มกว่าเมื่อสมัครใช้แพ็กเกจ และ มี AIS Point รับส่วนลดเพิ่ม รวมถึงยังได้รับสิทธิในการรับชมความบันเทิงจากแอปดังทั่วเอเชียกับแพ็ก PLAY ASIAN และ ดูแลเครื่องกับ Samsung Care+

นอกจากนี้ยังสามารถลดหย่อนภาษีในโครงการ EASY E-Receipt จากยอดซื้อรวมสูงสุด 50,000 บาท พิเศษไปอีกขั้น ลูกค้าที่ลงทะเบียนแสดงความสนใจล่วงหน้ากับ AIS และรับเครื่องที่ AIS Shop แห่งใหม่ล่าสุด @Emsphere รับไปเลย Box set สุดเอ็กซ์คลูซีฟ พิเศษสำหรับลูกค้า 50 คนแรกเท่านั้น

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราพร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานสุดยอด AI Phone แห่งยุคอย่าง Samsung Galaxy S24 Series ที่สามารถใช้ระบบปฏิบัติการ Galaxy AI เครื่องเดียวครบทุกฟีเจอร์ รังสรรค์ให้อะไรก็สามารถเป็นไปได้ ใช้งานได้ฟรีและมีความปลอดภัย พร้อมทำให้ชีวิตของทุกคนง่ายขึ้น บนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ลูกค้าได้สัมผัสการใช้งานทั้งความเร็ว แรง และเสถียรที่สุด โดยวันนี้เราขอมอบความพิเศษให้กับลูกค้าได้เป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอที่สุด”

สำหรับลูกค้าที่สั่งจอง Samsung Galaxy S24 Series กับ AIS จะได้รับความคุ้มค่ากว่าใคร

เก่าแลกใหม่ คุ้ม 2 ต่อ
ต่อที่ 1 นำสมาร์โฟนเครื่องเดิมทุกรุ่นมาเทรดรับเป็นส่วนลดในการซื้อเครื่องใหม่

ต่อที่ 2 AIS ใจดีมอบส่วนลดเพิ่มจากต่อที่ 1 สูงสุดถึง 13,000 บาท(ตามรุ่นที่กำหนด)

ทั้งรับและลด กับ AIS Points
ลูกค้าเอไอเอสที่ซื้อ Samsung Galaxy S24 Series กับ AIS ทุก 200 บาท รับพอยท์ 1 คะแนน

หรือจะใช้พอยท์ 1,000 คะแนน แลกรับส่วนลดค่าเครื่องมูลค่า 500 บาท

  • ฟรี! แพ็กเกจ PLAY ASIAN นาน 1 ปี รับสิทธิ์ชมคอนเทนต์ความบันเทิงจากแอปดังทั่วเอเชียทั้ง iQIYI VIU และ WeTV มูลค่า 1,908 บาท เมื่อสมัครแพ็กเกจ 699 บาท ขึ้นไป (จำนวนจำกัด 1,500 สิทธิ์)
  • ฟรี เพิ่มความจุเครื่องให้เป็น 2 เท่า มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท (เฉพาะเครื่องเปล่า)
  • ฟรี Samsung Care+ รับประกันจอแตกและอุบัติเหตุนาน 1 ปี มูลค่า 4,590 บาท
  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืน นานสูงสุด 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืนที่พิเศษสุดๆ มากกว่าปกติ
  • ลูกค้าที่ซื้อ Samsung Galaxy S24 Series กับทาง AIS ทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็น AIS Online Store, AIS Shop, AIS Telewiz ที่ร่วมรายการ สามารถเข้าร่วมโครงการ EASY E-Receipt ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากยอดซื้อรวมสูงสุด 50,000 บาท
  • พิเศษสุด!! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนแสดงความสนใจ และสั่งจองล่วงหน้ากับ AIS ผ่านทาง https://www.ais.th/consumers/store/recommend/samsung/galaxy-s-series สามารถรับเครื่องก่อนใครในวันที่ 26 มกราคม 2567 และมากไปกว่านั่นหากเลือกรับเครื่องที่ AIS Shop @Emsphere รับไปเลย Box set สุดเอ็กซ์คลูซีฟ 50 ท่านแรกเท่านั้น
  • สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy S24 Series กับ AIS สามารถสั่งจองล่วงหน้า ได้ตั้งแต่วันที่ 18 – 30 มกราคม 2567 ที่ https://www.ais.th/consumers/store/recommend/samsung/galaxy-s-series และรับเครื่องตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ AIS Shop, AIS Online Store และ AIS Telewiz ที่ร่วมรายการ

AWC จับมือ สภาหอการค้าฯ และม.หอการค้าไทย ลงนามความร่วมมือสร้าง AWC NextGen Workforce เสริมแกร่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวให้ประเทศไทย

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ลงนามความร่วมมือด้านการผลิต ส่งเสริม และพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการสร้างบุคลากรให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร และตลาดแรงงานสากล เป็นการร่วมสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพออกสู่เส้นทางอาชีพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AWC NextGen Workforce ที่ AWC จะร่วมกับสถาบันการศึกษาระดับประเทศและระดับโลก รวมไปถึงพันธมิตรระดับโลกของ AWC ในการพัฒนาบุคคลากรรุ่นใหม่เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ AWC ซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์และการท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีการเติบโตของโครงการต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้ AWC และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความต้องการบุคลากรคุณภาพ โดยความร่วมมือในครั้งนี้มีส่วนสำคัญในการผนึกกำลังสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน  ภายใต้การผสานศักยภาพของสถาบันการศึกษาที่มีบทบาทในการผลิตบุคลากรคุณภาพ กับองค์กรธุรกิจที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และร่วมสร้างสรรค์หลักสูตรและบุคลากรที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างมาตรฐานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืน ด้วยการสร้างและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพสูงเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต”

รศ.ดร. ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความรู้และพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติการแก่นักศึกษาสู่การเป็น Practice-University เพื่อส่งเสริมความรู้และพัฒนาทักษะเชิงปฏิบัติการแก่นักศึกษาให้มีความพร้อม เสริมสร้างความมั่นใจเมื่อก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานจริง โดยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและ AWC ในครั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ทำงานจริงให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในทุกสาขาวิชา ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดย AWC จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา และความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรของมหาวิทยาลัย พร้อมจัดส่งบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ มาเป็นอาจารย์ผู้สอน หรือจัดการบรรยายพิเศษในหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ขณะที่นักศึกษาจะได้รับโอกาสในฝึกงานกับทางกลุ่มบริษัทในเครือ AWC ซึ่งจะให้ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้ผ่านผู้มีประสบการณ์จริงในสาขาหรือสายงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจากกลุ่มพันธมิตรระดับโลกของ AWC ตลอดจนได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติงานจริง พร้อมสร้างโอกาสในการวางแผนอาชีพให้กับนักศึกษาต่อไปในอนาคต”

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมในวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาบุคคลากรให้ประเทศอย่างยั่งยืนโดยการรวมพลังกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำ และมีความผูกพันกับการเจริญเติบโตของธุรกิจการค้าของไทยมายาวนาน ทั้งการสนับสนุนให้ผู้เชี่ยวชาญของบริษัทฯ ได้ร่วมถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษา การจัดกิจกรรมเยี่ยมชมโครงการเปิดโอกาสในเส้นทางอาชีพ และการฝึกงานในกลุ่มบริษัทและโครงการในเครือ AWC ทั้งในส่วนของงานบริหาร งานลงทุน และงานพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบของ AWC ที่ได้ผนึกกำลังพัฒนากับพันธมิตรระดับโลก รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail, Wholesale, Commercial) เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาในสนามธุรกิจจริง รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน โดยความร่วมมือนี้เป็นความตั้งใจของ AWC ที่จะเชื่อมสถาบันการศึกษาชั้นนำระดับประเทศและระดับโลกในโครงการ AWC NextGen Workforce  เพื่อสร้างบุคคลากรที่มีศักยภาพสูงมาร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวยั่งยืนให้ประเทศไทย”

ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ตอกย้ำพันธกิจขององค์กรในการ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future) และความมุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืนด้านทรัพยากรบุคคล หรือ Better People ให้กับประเทศไทย ไปพร้อมกับการส่งมอบแนวคิดและปรัชญาการดำเนินงานของ AWC ภายใต้ “ค่านิยมองค์กร” (AWC Core Values) ที่ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์ยึดมั่นในความดี (Integrity) ที่มีความทุ่มเทด้วยหัวใจ (Passion) ร่วมสร้างผลงานสู่เป้าหมายเดียวกันผ่านกระบวนการคิดและการทำงาน (Result Oriented) ในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจเหนือความคาดหมาย (Customer Centric) เพื่อส่งมอบคุณค่าอันภาคภูมิใจ (Caring) สู่สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม และประเทศชาติโดยรวมอย่างยั่งยืน

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าลดขยะขวดพลาสติก รีไซเคิลใช้ผลิตผ้าห่มอัพไซคลิง

เมืองไทยประกันชีวิต และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ยืนความเป็นหนึ่งการตอบแทนสังคม ประกาศนโยบายสนับสนุนการลดปริมาณขยะขวดพลาสติกนำมาผลิตเป็นผ้าห่ม สานต่อในโครงการ “ห่มรัก” ปีที่ 13 มอบผ้าห่มอัพไซคลิง (Upcycling) เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มแก่ผู้ประสบภัยหนาว ผ้าห่มกันหนาว 1 ผืน ผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 11 ขวด

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดีและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงการสร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด สิ่งหนึ่งที่บริษัทฯ คงนโยบายและให้ความสำคัญคือการตอบแทนสังคมในด้านต่างๆ เพราะบริษัทฯ เล็งเห็นว่าการที่ธุรกิจจะสามารถดำรงอยู่และเติบโตได้นั้น ก็ต้องพึ่งพาสังคมและทรัพยากรที่มีอยู่บนโลก ธุรกิจที่เติบโตขึ้นจึงมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบและตอบแทนสังคมที่ให้การสนับสนุนทรัพยากรที่ธุรกิจได้ใช้ไป

บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมสานต่อโครงการ “ห่มรัก” ปีที่ 13 มอบผ้าห่มอัพไซคลิงให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยหนาวในหลายจังหวัด เพื่อขานรับนโยบายภาครัฐในการลดปริมาณขยะจากขวดน้ำพลาสติกที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน บริษัทฯ จึงได้ผลิตผ้าห่มขึ้นใหม่ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการตระหนักถึงปัญหาด้านขยะและการใช้พลาสติกมากมาย สำหรับผ้าห่มอัพไซคลิงกันหนาวเมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มนั้น นำวัสดุรีไซเคิลมาใช้ใหม่ ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการนำวัสดุที่ไม่ได้ใช้แล้วกลับมามีคุณค่าในการใช้งานอีกครั้งอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ผ้าห่มดังกล่าวผลิตโดยวิสาหกิจชุมชนบ้านวัดจากแดงเศรษฐกิจพอเพียง ต.ทรงคนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งผ้าห่มกันหนาว 1 ผืน จะผลิตจากขวดพลาสติกที่ใช้แล้วขนาด 1.5 ลิตร จำนวน 11 ขวด และบริษัทฯ ยังได้เพิ่มความหนาของผ้าห่มเป็น 280 GSM (Gram Per Square Meter) ทำให้มีความทนทานและมีความหนาเพียงพอที่จะให้ความอุ่นในช่วงเวลาหนาว นอกจากนี้ยังมีผลในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงถึง 0.99 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งคุณลักษณะดังกล่าวนี้ทำให้ผ้าห่มไม่เพียงแค่อบอุ่นและมีคุณภาพดีต่อผู้ใช้งาน แต่ยังมีผลในการส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการผลิตผ้าห่มอัพไซคลิง (Upcycling) 1 ผืนเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ใหญ่ถึง 0.11 ต้น

นโยบายการลดปริมาณขยะด้วยการนำขวดพลาสติกมาผลิตผ้าห่มเป็นมาตรการที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ทั้งในด้านลดปริมาณขยะที่นำมาฝังกลบ การนำขวดพลาสติกมาใช้ในการผลิตผ้าห่มช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องจัดการ การลดความจำเป็นในการผลิตพลาสติกใหม่ ซึ่งช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานที่ต้องใช้ในกระบวนการผลิต ทำให้มีผลต่อการลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลก ตลอดจนการนำขวดพลาสติกมาใช้ในการผลิตผ้าห่มสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในรูปแบบของอุตสาหกรรมการรีไซเคิล และการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาในกระบวนการผลิต

“โครงการ ‘ห่มรัก’ ปีที่ 13 นี้เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของเมืองไทยประกันชีวิตที่ร่วมมือกับมูลนิธิเมืองไทยยิ้มเป็นโอกาสที่เราสามารถสร้างความดีได้ร่วมกันในการตอบแทนสังคม ไม่เพียงแค่ช่วยลดปริมาณขยะ แต่ยังสามารถสร้างความอบอุ่นและเป็นการดูแลช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยหนาวในต่างจังหวัด ทั้งนี้เรายังคงสานต่อโครงการเพื่อสังคมในด้านต่างๆ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างให้มั่นคงและยั่งยืน” นายสาระ กล่าวสรุป

TikTok ร่วมสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและผู้บริโภคกับโครงการ “Easy E-Receipt” กระตุ้นตลาดอีคอมเมิร์ซรับปีมังกรทอง

TikTok Shop โซลูชันอีคอมเมิร์ซครบวงจรบนแพลตฟอร์ม TikTok ร่วมสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและผู้บริโภคกับโครงการ “Easy E-Receipt” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในตลาดอีคอมเมิร์ซช่วงต้นปี 2567 จัดหมวด “ลดหย่อนภาษี” โดยรวบรวมสินค้าและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 200 ร้านค้า อาทิ Central Department Store, Big C, Dyson Thailand, IT City, Supersports Thailand อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการพร้อมขอรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้สะดวก รวดเร็ว ผ่านหน้า Chat ของร้านค้า ลดภาระการดำเนินการด้านภาษีให้แก่ผู้บริโภคและส่งเสริมการชำระเงินแบบดิจิทัล

ผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าผ่านร้านค้าที่ร่วมโครงการบน TikTok Shop ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 สามารถนำ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ไปใช้สิทธิ์หักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท นอกจากนี้ TikTok Shop ยังมีคูปองจัดส่งฟรีมูลค่าสูงสุดถึง 40 บาท มอบความคุ้มค่าเพิ่มเติมให้แก่ผู้ซื้อสินค้าใน TikTok Shop

วิธีการใช้สิทธิ์และรับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt

1.  เมื่อเปิดแพลตฟอร์ม TikTok เข้าไปที่หน้า “Shop Tab” ของ TikTok Shop จากนั้นกดเลือกแท็บ “ลดหย่อนภาษี”  หรือสามารถสังเกตร้านค้าที่มีแท็ก “ลดหย่อนภาษี”

2. เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการกับร้านค้าที่ร่วมโครงการ “Easy E-Receipt” และชำระเงินให้เรียบร้อย

3.  จากนั้นไปที่หน้า “คำสั่งซื้อ” และแตะที่ “หน้าสินค้า” จะเห็นไอคอน “ติดต่อผู้ขาย” ผู้ซื้อสามารถแจ้งขอใบกำกับภาษีผ่านช่องทาง “ติดต่อผู้ขาย” ผ่านการแชตโดยตรงกับร้านค้าได้ทันที

4.  ข้อมูลของผู้ซื้อต้องเตรียมไว้สำหรับแจ้งร้านค้าเพื่อออกใบกำกับภาษี ได้แก่

  1. ชื่อ – นามสกุล ผู้เสียภาษีอากร
  2. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
  3. ที่อยู่ของผู้เสียภาษีอากร
  4. อีเมลที่ใช้สำหรับให้ร้านค้าจัดส่งใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์

ข้อมูลเพิ่มเติมของ TikTok Shop ติดตามได้ที่ FacebookInstagram หรือสนใจร่วมเป็นผู้ขายกับ TikTok Shop คลิกที่ https://shop.tiktok.com/merchant/th

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ เคาน์เตอร์เซอร์วิส เพิ่มความอุ่นใจแก่ลูกค้าและประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์)”

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และนายวีรเดช อัครผลพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เดินหน้าส่งมอบความสุข ความอุ่นใจไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้มีรอยยิ้มในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2567  พร้อมตอบรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ

นายสาระ กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส ส่งมอบความห่วงใยให้กับประชาชน รับสิทธิ์ความคุ้มครองฟรี “กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” เมื่อมาใช้บริการฝาก-ถอนเงินสด, บริการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น  ตั้งแต่วันที่  24  ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567  (จำนวนสิทธิ์ 100,000 สิทธิ์) และสำหรับลูกค้าและประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถรับความคุ้มครองได้ง่ายๆ เพียงแจ้งความประสงค์ต่อพนักงานเพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) ที่จุดให้บริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น เปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง กว่า 14,500 สาขาทั่วประเทศ หรือใช้แต้ม ALL Member ในการแลกสิทธิ์แทนเงินสด  หรือทำรายการบนเว็บไซต์ www.counterservice.co.th, Counter Service Application รวมถึง 7APP  เบี้ยประกันภัย 10 บาท  พร้อมใช้บัตรประชาชนเพื่อแสดงตัวตน ชำระเงิน รับสลิปยืนยันการทำรายการ ซึ่งจะระบุวันเริ่มต้นคุ้มครองและวันสิ้นสุดความคุ้มครองอย่างชัดเจน โดยสามารถซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 (จำนวนสิทธิ์ 100,000 สิทธิ์)  

สำหรับข้อตกลงความคุ้มครองที่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปจะได้รับ ประกอบด้วย  

1. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท

 2. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท

3. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท 

4. ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกายค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท

โดยกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน   นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่  15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย  

นายวีรเดช กล่าวว่า ทางเคาน์เตอร์เซอร์วิสมีความยินดีที่ได้พัฒนาบริการที่ดีให้กับประชาชนเสมอมา ปีนี้เป็นอีกครั้งที่ได้ร่วมส่งมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนคนไทย โดยพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงหลักประกัน ในราคาที่จับต้องได้ โดยร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดีเสมอมา จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับลูกค้าเคาน์เตอร์เซอร์วิส เมื่อมาใช้บริการฝาก-ถอนเงินสด, บริการยืนยันตัวตนเพื่อเปิดบัญชีธนาคาร, บริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น รับฟรี! กรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) ในรูปแบบ QR Code ท้ายใบเสร็จ สำหรับลงทะเบียนผ่านไลน์ Counterservice รับกรมธรรม์คุ้มครองได้ทันที

และสำหรับลูกค้าทั่วไปที่สนใจ สามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่เที่ยวได้ อุ่นใจ (ไมโครอินชัวรันส์) ในราคาคุ้มค่าเพียงในราคา 10 บาท หรือใช้ 1,000 คะแนน ALL member แลกได้ผ่านช่องทางที่สะดวกและครอบคลุม มีจุดบริการเข้าถึงได้ในทุกชุมชนที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และช่องทางออนไลน์ กรอกข้อมูลบนเว็บไซต์ www.counterservice.co.th, Counter Service Application หรือ 7App ให้ประชาชนหมดความกังวล พร้อมเฉลิมฉลองและมีความสุขตลอดการพักผ่อนในเทศกาลปีใหม่นี้