Home Blog Page 10

“ทรีนีตี้” แจกคู่มือลงทุนหุ้นไตรมาส 2 ฟันธง ! ความผันผวนจะกลับมา

“ทรีนีตี้” ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไตรมาส 2 จะขึ้นอยู่กับเงื่อนเวลาของปัจจัยสำคัญ เช่น การใช้นโยบายการเงินทั่วโลกผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก การใช้นโยบายการคลังของไทย และพัฒนาการของตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆทั่วโลก ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะเริ่มเห็นสินทรัพย์ต่างๆ แกว่งตัวผันผวนมากขึ้น ส่วนทางด้านสภาพคล่องภายใน แม้จะยังไม่กลับมามากนัก แต่ประเมินผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว พร้อมแจกคู่มือลงทุนหุ้นไตรมาส 2 ใช้กลยุทธ์ “Stock selection” คัด 5 ธีม 10 หุ้นลงทุนที่น่าสนใจลงทุน AOT, AWC, BH, BJC, STEC ,GLOBAL, STGT, XO, IVL และ SCGP ส่วนเมษาหน้าร้อนคัดหุ้น ICHI, SAPPE

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 โดยประเมินว่า  SET Index ในไตรมาสนี้จะมีความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตามปัจจัยทางด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งในแง่ของการลดดอกเบี้ยครั้งแรก และความคาดหวังของตลาด ที่สามารถปันแปรได้ตลอดทั้งไตรมาส ซึ่งในส่วนมุมมองของทาง “ทรีนีตี้” นั้น คาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงแน่นอนในปีนี้ได้ราว 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 2.0%  จึงได้มีการ Update สมมติฐานใหม่นี้เข้าไปใน Valuation Model  เป็นผลทำให้ระดับ PE ที่เหมาะสมของ SET ในแต่ละกรณีขยายตัวได้ราว 6% มาอยู่ที่ 14.2x, 13.2x และ 12.3x ในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ 

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวไม่ได้ทำให้ระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมของเราถูกปรับขึ้น เนื่องจากในรอบนี้ เราได้ทำการปรับลดคาดการณ์ EPS ประจำปี 2025 ลงจากเดิมที่ 113 บาท เหลือเป็น 107 บาท เพื่อให้เข้าใกล้กับคาดการณ์ของ Consensus ณ ปัจจุบันมากขึ้น ส่งผลให้สุทธิแล้ว จะได้ว่าระดับดัชนี SET ที่เหมาะสมในแต่ละกรณีจะอยู่ที่ 1520, 1415 และ1315 จุดในกรณีดีสุด, กรณีฐาน และกรณีแย่สุดตามลำดับ ซึ่งเป็นกรอบที่ใกล้เคียงกับที่เราให้ไว้ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

“ การลดดอกเบี้ยของธปท.ที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 2 นี้ น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่กำหนดทิศทางดัชนี SET รวมถึงการเคลื่อนไหวของ Sector ต่างๆได้ แต่การลดดอกเบี้ยที่ดีต่อภาพตลาดหุ้นไทย ควรจะต้องเป็นการลดดอกเบี้ยที่ไม่ได้สร้าง Surprise ให้กับตลาดมากนัก เพราะการลดแบบ Surprise อาจเป็นการชี้นำถึงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเข้าสู่ระดับที่น่าเป็นห่วงมากขึ้น และยังเป็นการกดดัน Fund flow จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯที่จะกว้างขึ้นอีกครั้ง ไม่นับรวมกับการตีความโดยตลาดว่าการลดดอกเบี้ยนี้เกิดจากแรงกดดันจากทางภาคการเมือง ซึ่งในอดีตมักเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติไม่ค่อยชื่นชอบมากนัก” นายณัฐชาตกล่าว

                สถิติในอดีตการปรับลดดอกเบี้ยของไทย 3 ครั้ง เมื่อ ปี 2007, 2011 และปี 2019  มีผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้  คือการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกของ Cycle นั้น นำมาสู่การปรับตัวขึ้นของ SET Index หลังจากนั้นจริง โดยเฉพาะหากไม่รวมปี 2019 ซึ่งมีผลกระทบของเหตุการณ์ Covid-19 เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทั้งนี้ หากดูเป็นราย Sector จะพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มักปรับตัวโดดเด่นในช่วงก่อนหน้าการลดดอกเบี้ยครั้งแรกจะได้แก่ HELTH, COMM, ICT และ FOOD ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่ม Domestic play แทบทั้งสิ้น ในขณะที่กลุ่มที่มักจะปรับตัวได้ดีภายหลังจากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นแล้วจะได้แก่ COMM, HELTH, ETRON, ICT, TRANS ซึ่งจะเห็นได้ว่ามี Sector ที่คาบเกี่ยวกันอยู่แล้วสามารถปรับตัว Outperform ได้ทั้ง 2 ช่วงก็คือ COMM, HELTH และ ICT เราแนะนำให้นักลงทุนพยายามหาจังหวะสร้าง Exposure ไปยัง 3 Sector นี้เพื่อรองรับการเตรียมเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงในช่วงถัดไป     

นายณัฐชาต กล่าวว่า  ด้วยมุมมองภาพรวมของ SET Index ในช่วงไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะแกว่งตัว Sideways  ทำให้กลยุทธ์ Stock selection ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยคัดเลือกธีมการลงทุนที่น่าสนใจมาทั้งสิ้น 5 ธีม ดังต่อไปนี้ 1.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาคการท่องเที่ยว เลือก AOT ที่ได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวทั้งขาเข้าและขาออกที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่าไทย-จีน และเลือก AWC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่มโรงแรม และเป็นตัวที่เริ่มเห็นการปรับประมาณการขึ้นในตลาด 2.หุ้นที่อิงกับอุปสงค์ภาคบริการในประเทศ เนื่องจากอุปสงค์ในส่วนนี้ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เลือก BH เป็นตัวแทนของกลุ่มโรงพยาบาล  และเลือก BJC ที่ยังคงเป็นผู้เล่นที่ Laggard ในกลุ่ม Consumer staple 3.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงถัดไป หลังพ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ถูกบังคับใช้เป็นผลสำเร็จในช่วงต้นไตรมาส 2 นี้ เลือก STEC เป็นตัวแทนของกลุ่มรับเหมาฯ และ GLOBAL เป็นตัวแทนของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4. หุ้นกลุ่มส่งออกที่พบว่ามีสินค้าบางสินค้าที่ขยายตัวได้อย่างน่าสนใจ อาทิ ถุงมือยางและเครื่องปรุงรสอาหาร STGT และ XO 5.หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เลือก IVL และ SCGP เป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ ที่มีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจจีนในระดับสูง

สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายน 2567 คาดตลาดหุ้นจะจะเคลื่อนไหวออกด้านข้างต่อไป ท่ามกลางวอลุ่มการซื้อขายที่เบาบางจากเทศกาลหยุดยาว แต่จะมีปัจจัยชี้ชะตาที่สำคัญคือการประชุมกนง.ที่รออยู่ในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งถ้าหากมีการลดดอกเบี้ย ประเมินจะเป็นปัจจัยลบต่อ Fund flow ค่าเงินบาท รวมถึงดัชนี SET ได้ ผ่านการปรับตัวกว้างขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีเดือนนี้ที่ระดับ 1350-1410 จุด

กลยุทธ์ลงทุนเดือนเมษายน แนะนำถือครองหุ้นในส่วนเดิมได้ต่อไป หลังจากที่ได้มีการเพิ่มน้ำหนักบางส่วนไปที่ระดับดัชนี SET 1370 จุดเมื่อเดือนที่ผ่านมา มองกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.กลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้าง ตามความคาดหวังการเบิกจ่ายภาครัฐ อาทิ CK, STEC, GLOBAL DOHOME 2 .กลุ่ม Consumer staple ตามพัฒนาการของมาตรการ Digital Wallet อาทิ CPALL, CPAXT, BJC 3.กลุ่มเครื่องดื่ม ตามสภาวะอากาศที่เข้าสู่ช่วงร้อนจัด ได้แก่ ICHI, SAPPE 4.กลุ่มส่งออกที่เห็นการขยายตัวดี ได้แก่ AAI, ITC, STGT, TU, XO

โรคอ้วน ภัยคุกคามคนไทย สูญเสียเศรษฐกิจ 8.52 แสนล้านบาท

‘โรคอ้วน’ ต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันเกาะตับ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง โดยโรคกลุ่มนี้ยังคุกคามความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นโรคอ้วนกว่า 20 ล้านคน คิดเป็นอันดับสองของเอเชีย จากคลังข้อมูลสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข (HDC) พบว่าเป็นโรคอ้วนหรือผู้ที่มีดัชนีมวลกายตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป มากถึง 45.6% ในปี 2563 และเพิ่มเป็น 46.2% ในปี 2564 และ 46.6% ในปี 2565

โดยงานวิจัย British Medical Journal (BMJ) รายงานว่าหากอุบัติการณ์ของโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จะทำให้มีผลกระทบทางเศรษฐกิจถึง 4.9% ของ GDP หรือประมาณ 8.52 แสนล้านบาท จะหมดกับค่ารักษาทางการแพทย์ ค่าใช้จ่ายทางอ้อม และการสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจไทย

ปัญหาคนไทยอ้วนและน้ำหนักเกิน จึงเป็นปัญหาใหญ่ระดับประเทศที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อสุขภาพที่ดี เศรษฐกิจที่ยั่งยืน และสังคมไทยที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนด้วย ขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนักว่า ‘อ้วน คือโรคที่ต้องรักษา’ เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว แต่กลับมองเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งทุกฝ่ายต้องสร้างความรู้ความเข้าใจถึงภัยอันตรายจากโรคอ้วนที่ก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ได้มากกว่า 200 โรค โดยพบความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป พบว่าร้อยละ 50 มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม และโรคความดันโลหิตสูง, ร้อยละ 40 พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ส่วนโรคอื่น ๆ ที่พบ เช่น โรคกรดไหลย้อน ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด รวมทั้งโรคซึมเศร้า อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น และมีปัญหาสุขภาพจิต

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทนวัตกรรมเวชภัณฑ์ชั้นนำที่มุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมการรักษาโรคอ้วน ได้ต้อนรับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะที่ให้ความสนใจเยี่ยมชมบูธรณรงค์เรื่องโรคอ้วนของ Novo Nordisk ในงาน Pharmathon Run 2024 ฉลองครบรอบ 30 ปีสภาเภสัชกรรม ณ กระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมา โดย นพ.ชลน่าน ได้รับฟังสถานการณ์ปัญหาโรคอ้วนในปัจจุบันและให้ความสนใจตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบของร่างกายด้วยเครื่อง In-body พบว่าน้ำหนัก มวลกล้ามเนื้อ และปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ และมีอัตราการเผาผลาญขั้นพื้นฐาน Basal Metabolic Rate (BMR) เทียบเท่าคนหนุ่ม โดยได้เผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพด้วยการควบคุมอาหาร และออกกำลังกายด้วยการเตะฟุตบอล

ตลอด 40 ปีนับตั้งแต่ Novo Nordisk ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทย บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นในการนำผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่คิดค้นมาช่วยปรับปรุงและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ในประเทศไทย พร้อมให้ความร่วมมือและสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตร รวมถึงภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อสร้างสมดุลความยั่งยืนของสุขภาพให้คนไทยและคนรุ่นต่อไปมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

ซีพี ออลล์ ผนึก ตร.ท่องเที่ยว เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 จุดที่ร้านเซเว่นฯ ทั่วไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินหน้ายกระดับการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยร่วมมือกับ ซีพี ออลล์ เปิดจุดรับแจ้งเหตุให้กับนักท่องเที่ยว  ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว รวมถึงการปรับเงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงได้นำโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ยึดหลักแนวทาง Smart Safety Zone มาประยุกต์ใช้ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 แห่ง ใน 18 จังหวัด และได้ร่วมมือกับซีพี ออลล์ ดำเนินโครงการ “ตำรวจท่องเที่ยว X 7-Eleven เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 แหล่งท่องเที่ยว” ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นนั้น สืบเนื่องจากเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อที่ประชาชนทั่วไปรู้จัก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และขยายสาขามากมายทั่วประเทศ จึงเหมาะสมต่อการเป็นจุดที่จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ โดยเบื้องต้นกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเริ่มจัดให้มีการอบรมอาสาสมัครตามโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ไปแล้ว จำนวน 1,516 ราย ประกอบด้วย 1. อาสาสมัครทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 586 ราย 2. พนักงานรักษาความปลอดภัยสถานบริการ 623 ราย และ 3. พนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 307 ราย

ด้าน นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากว่า 14,000 สาขาทั่วประเทศ และมีพนักงานกว่า 200,000 คน ซึ่งพนักงานทุกคนได้รับการอบรมให้มีใจบริการ ได้รับการปลูกฝัง DNA ในการช่วยเหลือสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตามโครงการ“แสนคนแสนความดี” และที่สำคัญร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศและเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง การเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จึงเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของตำรวจท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการผนึกกำลังโดยใช้จุดแข็งของ 3 ส่วนคือ ตำรวจท่องเที่ยว ชุมชนแหล่งท่องเที่ยว และเซเว่น อีเลฟเว่น โดยเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงบริการของตำรวจได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินการในระยะแรก ได้มีการคัดเลือกร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 156 สาขา ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และใกล้เคียง 20 พื้นที่ ใน 18 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ พนักงานจากสาขาเหล่านี้ กว่า 300 คน จะได้รับการอบรมให้มีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตำรวจท่องเที่ยวที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรับแจ้งเหตุ ให้ข้อมูล และประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ ให้เข้าช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วและทันท่วงที พร้อมทั้งสื่อสารให้พนักงานทุกสาขารับทราบเรื่องความร่วมมือในครั้งนี้ และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น รวมถึงสื่อ Onlineเพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับและประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 พื้นที่ ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เข้าร่วมโครงการในเฟสแรก ได้แก่ 1. ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ 2. ซอยคาวบอย กรุงเทพฯ 3. วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ 4. วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา 5. พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี 6. ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ 7. ชุมชนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี 8. ตลาดโต้รุ่งหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 9. ถนนคนเดินบางลา  จ.ภูเก็ต 10. ชุมชนพิชเชอร์แมน เกาะสมุย 11. อ่าวนาง แลนด์มาร์ค จ.กระบี่ 12. ถนนเสน่หานุสรณ์ จ.สงขลา   13. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 14. ถนนคนเดินประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ 15. เชียงรายไนท์บาซาร์  จ.เชียงราย 16. ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น 17. ถนนคนเดินเชียงคาน จ.เลย 18. ชุนชนเขาใหญ่  จ.นครราชสีมา 19. ถนนคนเดินนครพนม จ.นครพนม 20. ถนนคนเดินพัทยา จ.ชลบุรี

ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากบริษัทจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยและความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโต สร้างรายได้เข้าประเทศด้วย เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะภาคเอกชนที่อยู่เคียงข้างสังคม ชุมชม และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยว จึงเชื่อมั่นว่าการเข้ามาร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวก และมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับปณิธาน “Giving and Sharing” อันเป็นปณิธานขององค์กรที่เรายึดถือมาโดยตลอด

เซเว่น อีเลฟเว่น X เนะ อโณทัย เปิดตัวกระเป๋าสุดเลิฟ ดีไซน์เก๋ ทันสมัย พร้อมรับแต้มออลล์ เมมเบอร์ จัดหนัก 100 คะแนน!!!

เซเว่น อีเลฟเว่น  เปิดตัวกระเป๋าผ้าสุดเลิฟ  ดีไซน์ บายด์ เนะ –อโณทัย เชิญชวนลูกค้ารักษ์โลก ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ภายใต้นโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง ง่าย ๆ เพียง นำแต้มออลล์ เมมเบอร์ แลกกระเป๋าสุดเลิฟ โดยซื้อสินค้าครบ 100 บาท รับ 1 สิทธิ์จอง ท้ายใบเสร็จ ซึ่งมีให้สะสมทั้งหมด 2 แบบ จองได้ตั้งแต่วันนี้ – 23 มีนาคม 2567 เท่านั้น และพิเศษสำหรับสมาชิก ALL member  เมื่อนำกระเป๋าสุดเลิฟกลับมาใช้ซ้ำภายในร้าน รับแต้มเพิ่มอีก 100 คะแนน ไปเล้ยยย!!!

รายละเอียดแคมเปญ

  • ใช้คะแนน ALL member 1,000 คะแนน + เงิน 79.- หรือใช้เงิน 99.-
  • สั่งจองที่ร้านหรือ 7Delivery ได้ตั้งแต่วันนี้ – 23 มี.ค. 2567 (รอรับสินค้าภายใน 5-8 วัน)

พิเศษเมื่อนำกลับมาใช้! เพียงแสกนบาร์โค้ดด้านในถุงผ้า รับแต้มเพิ่มอีก 100 คะแนน พลาดไม่ได้แล้วงานนี้

CP ALL เปิดเวทีประชันฝีมือนวัตกร AI สร้างสรรค์ผลงานภายใต้ธีม CAI Retail Hackathon: Action Detection

สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ (Creative AI Division) บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ เปิดเวที CAI Retail Hackathon ครั้งที่ 1 ภายใต้โจทย์ Action Detection หรือ การตรวจจับพฤติกรรม โดยใช้ Computer Vision เทคโนโลยี AI ซึ่งสามารถเรียนรู้และวิเคราะห์ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหว มุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโมเดลสำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ภายในร้านสะดวกซื้อ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้บริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท พร้อมเหรียญรางวัลและเกียรติบัตรให้แก่เยาวชนผู้ชนะเลิศและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนายวิวัฒน์ พงษ์ฤทธิ์ศักดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในกลุ่มซีพี ออลล์ เป็นประธานเปิดการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมให้แนวทางในการสร้างสรรค์ และพัฒนา AI ย้ำเจตนารมณ์การแข่งขันพัฒนา AI ไม่ได้มาแทนที่คน แต่มาช่วยให้คนสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น และการเติบโตของธุรกิจต้องผสมผสานเทคโนโลยีอย่างพอดี

ซึ่งบรรยากาศการแข่งขันครั้งนี้ น้อง ๆ เยาวชนได้แสดงศักยภาพกันอย่างเต็มความสามารถ นำเสนอไอเดียและนวัตกรรมสุดล้ำ และได้รับข้อเสนอแนะจากกรรมการตัดสินผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อใช้ในการต่อยอดโมเดลที่ได้พัฒนาขึ้นให้เหมาะสมกับการนำไปใช้จริง

วิวัฒน์ พงษ์ฤทธิ์ศักดา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

โดยรางวัลชนะเลิศ CAI Retail Hackathon : Action Detection ในปีนี้ได้แก่เยาวชน ทีมพาวเว่อเรนเจอร์

  1. นางสาว พิมพ์มาดา จิระวัธน์
  2. นาย ภัคพล อาจบุราย
  3. นาย ธนดล ดรุณศรี
  4. นาย ณัฐวีร์ แนวกำพล
  5. นางสาว นภัสสร กังสุกุล

สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ ขอเชิญผู้ปกครองและเยาวชนทุกท่านเข้าร่วมติดตาม Facebook Fanpage @CAICamp เพื่อติดตามข่าวสารกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพนวัตกรรมกรรุ่นเยาว์ได้ตลอดทั้งปี กับ Creative AI Camp และ Creative AI Club เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ สร้างสรรค์สังคม โดยบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในครั้งต่อไป

AIS SME จับมือ Google Cloud สนับสนุน SME ไทย ยกทัพดิจิทัลโซลูชันด้วย Google Workspace

AIS SME ตอกย้ำการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล พร้อมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจเคียงข้างผู้ประกอบการ SME ไทย ผนึกกำลังกับ Google Cloud ผู้นำยักษ์ใหญ่แห่งวงการไอทีระดับโลก ร่วมส่งมอบบริการ Google Workspace
โซลูชันสำหรับธุรกิจและผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง SME ยกระดับการทำงานร่วมกันของทีม ลดความยุ่งยากในการทำงาน ด้วยการรวมทุกแอปพลิเคชันการทำงานไว้ในที่เดียว ทั้งแอปพลิเคชันการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ หรือ Google Drive ที่มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลก, รวมถึงแอปพลิเคชันเพื่อการสื่อสาร เช่น การประชุมผ่าน Google Meet โดยไม่จำกัดเวลา, อีเมลธุรกิจพร้อม Domain Name โดย ความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการทำงานให้ธุรกิจ SME ให้เกิดความคล่องตัว และช่วยเสริมศักยภาพการทำงานในรูปแบบ Remote Working ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดย AIS SME พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้สามารถใช้งาน Google Workspace ได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด ด้วยบริการหลังการขายโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคนไทย ผ่านช่องทาง 1740 ตลอด 24 ชม. รวมถึงยังเลือกชำระค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับธุรกิจได้ทั้งแบบรายปีและรายเดือน ผ่านช่องทาง e-Business Portal

นายนวชัย เกียรติก่อเกื้อ หัวหน้าส่วนงานการตลาดลูกค้าองค์กรและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม AIS กล่าวว่า “เราเชื่อว่า SME คือหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจไทย ทำให้ที่ผ่านมา AIS SME ได้นำโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีศักยภาพความแข็งแกร่งมาเชื่อมต่อการทำงาน เพื่อส่งมอบ เครื่องมือทางการตลาด บริการด้านไอที โซลูชัน ให้ธุรกิจและผู้ประกอบการสามารถทำ Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยเฉพาะครั้งนี้เราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Google Cloud  ในการนำเสนอดิจิทัลโซลูชันมามอบให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และธุรกิจขนาดย่อม หรือ SME ผ่านบริการของ Google Workspace เครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพและสนับสนุนให้การทำธุรกิจของผู้ประกอบการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ในการทำธุรกิจอย่างเต็มตัว นอกจากนี้ยังช่วยลดกระบวนการการทำงานให้มีความคล่องตัว ประหยัดค่าใช้จ่าย และสามารถทำงานผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างครบวงจร”

สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย หรือ SME สามารถใช้บริการ Google Workspace แบบเต็มรูปแบบกับ AIS SME ได้ในราคาพิเศษเริ่มต้น 99 บาทเท่านั้น พร้อมรับโปรโมชันพิเศษ แถมฟรี Domain Name ปีแรก

สนใจบริการ Google Workspace จาก สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://m.ais.co.th/qxH0d8eCO

เมืองไทยประกันชีวิต จับมือ รพ.ผู้สูงอายุเฌ้อสเซอรี่ โฮม มอบสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า MTL Health Buddy

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าเมืองไทยประกันชีวิต ตอบรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ด้วยการเดินหน้าส่งมอบความสุขและรอยยิ้ม   ที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตแบบสมาร์ทของผู้สูงอายุให้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี  ตอกย้ำนโยบาย “Happiness, Your Way เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ความสุขสไตล์คุณคือที่สุดของทุกสิ่ง” ในฐานะคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่คุณวางใจ (No. 1 Most Trusted Partner in Life & Health Planning)

ล่าสุด เมืองไทยประกันชีวิต โดยโครงการ “MTL Health Buddy” จับมือ โรงพยาบาลผู้สูงอายุเฌ้อสเซอรี่ โฮม (Chersery Home) โรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุที่พร้อมด้วยบริการและการดูแลอย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิด Professional & Hospitality Decentralized Healthcare for ALL ร่วมเติมเต็มความอุ่นใจด้วยการมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้กับลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ประกอบด้วย 

  • ส่วนลด 10% สำหรับบริการกายภาพบำบัดที่บ้าน
  • ส่วนลด 10% บริการ Homecare Service ส่งและจัดหาผู้ดูแลผู้สูงอายุ รูปแบบดูแลประจำ       หรือ ไปกลับ 12 – 24 ชม.
  • ส่วนลด 10% เมื่อใช้บริการห้องพักในโรงพยาบาลหรือศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูของ Chersery Home
  • ส่วนลดค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าตรวจแล็บ 10% เมื่อใช้บริการห้องพักในโรงพยาบาลหรือศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูของ Chersery Home
  • บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพียง 650 บาท/ครั้ง
  • ฟรี บริการตรวจสุขภาพผู้สูงวัย ปีละ 1 ครั้ง (ตามโปรแกรมที่โรงพยาบาลกำหนด)

โดยสิทธิประโยชน์ข้างต้น สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 ธันวาคม 2567  ทั้งนี้ ลูกค้าในโครงการ MTL Health Buddy ที่สนใจใช้บริการดังกล่าวเพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application ในวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่  MTL Health Buddy แจ้งความประสงค์ในการใช้บริการและรับบริการตามสิทธิประโยชน์พิเศษต่อไป

อนึ่ง โครงการ MTL Health Buddy ดูแลครบเครื่อง เรื่องสุขภาพผู้ช่วยด้านสุขภาพครบวงจร เป็นบริการพิเศษเฉพาะลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต ทั้งประกันรายบุคคล และประกันกลุ่ม  ที่สามารถปรึกษาปัญหาสุขภาพกับแพทย์อายุรกรรมผู้เชี่ยวชาญ แพทย์เฉพาะทาง ค้นหาแพทย์ที่เหมาะกับโรค ผ่านเครือข่ายโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ    ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ  เพียงโทร. 0 2290 2424 กด 3 หรือผ่าน MTL Click Application และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่  www.muangthai.co.th  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1766

TNL เปิดแผนปี 67 ลุยธุรกิจการเงินเต็มสูบ ตั้งเป้ารายได้โต พร้อมรักษาอัตราทำกำไร มั่นใจเดินถูกทาง

TNL เปิดแผนธุรกิจ ปี 67 สยายปีกธุรกิจบริการการเงินเต็มศักยภาพ เพิ่มพอร์ตสินเชื่อ  เป็น 6,100 ล้านบาท พร้อมกำเงิน 1,200 ล้านซื้อหนี้ NPLs มาบริหาร ตั้งเป้ารายได้โต 10-12% รักษาอัตราการทำกำไรสุทธิที่มากกว่า 15% มั่นใจเดินมาถูกทาง! หลังปี 66 โชว์ผลงานกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 403% จากปีก่อน เพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 18% จาก 5% ในปี 65 หลังเบนเข็มลุยธุรกิจการเงิน

นายกิตติชัย ตรีรัชตพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2567 ว่าบริษัทยังคงมุ่งเดินหน้าขยายธุรกิจ New Growth Engines ใน 3 ธุรกิจใหม่ ที่จะเป็นเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรให้บริษัทได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะธุรกิจปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Secured Lending Business) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย (Management of NPLs/NPAs Business) หรือธุรกิจ AMC  

โดยบริษัทได้ตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงาน (Operating Revenue) ปี 2567 ไว้ที่ประมาณ 2,800 ล้านบาท เติบโต 10-12% จากปีก่อน พร้อมรักษาอัตราการทำกำไรสุทธิที่มากกว่า 15% สำหรับธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกันที่ดำเนินการผ่านบริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (Oxygen Asset) ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตสินเชื่อเป็น 6,100 ล้านบาทโตขึ้นประมาณ 2-3% สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และด้านธุรกิจ AMC ที่ดำเนินการผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (Oxygen Asset Management หรือ OAM) ซึ่งได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. คาดว่าจะเรียกเก็บหนี้ได้ 180 ล้านบาท และตั้งเป้าลงทุนซื้อหนี้ NPL เพิ่มที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีหนี้เสียจากสถาบันการเงินทยอยออกมาขายจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจ

“ท่ามกลางความท้าทายทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บริษัทยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนการเติบโตของพอร์ตสินเชื่ออย่างรอบคอบ ควบคู่ไปกับการขยายพอร์ตลงทุน NPL อย่างมีคุณภาพและรัดกุม โดยให้ความสำคัญกับบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ และใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของ AMC” นายกิตติชัย กล่าว                                                                                

นายกิตติชัย กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate Development for Sales Business) ที่ดำเนินการโดยบริษัท ทีเอ็นแอน อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNL Alliance หรือ TNLA) ซึ่งได้ร่วมลงทุนกับ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ผ่านบริษัทร่วมทุน (JV) ในสัดส่วน 50:50 ปัจจุบัน มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอยู่ 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท จะเริ่มทยอยก่อสร้างเสร็จ และพร้อมโอนในปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะมียอดโอนรวม 3,000 ล้านบาทในปีนี้                      

นายกิตติชัย ยังกล่าวถึงผลการดำเนินงาน ปี 2566 ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ TNL ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงธุรกิจ โดยเข้าลงทุนใน 3 ธุรกิจใหม่ โดยมั่นใจว่าการแปลงโฉมธุรกิจครั้งนี้ จะสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน มั่นคง ในระยะยาว ให้แก่ TNL และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเห็นได้จากผลงานปี 2566 ที่บริษัทมีการเติบโตทั้งด้านรายได้และกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญ โดยปี 2566 TNL มีรายได้รวมที่ 2,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 910 ล้านบาท คิดเป็น 46% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยหลักๆ รายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจาก 3 ธุรกิจใหม่ ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 411 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 403% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปี 2565 TNL ยังไม่มีรายได้จาก 3 ธุรกิจใหม่ และหลังจากเสริมทัพ 3 Growth Engine ใหม่ TNL สามารถเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 18% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ 5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

และล่าสุดคณะกรรมการบริษัทเห็นชอบเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 22 เม.ย.2567 เพื่อขออนุมัติจ่ายปันผลจากกำไรสะสมเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 3 พ.ค. 2567 และวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 2 พ.ค. 2567 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 20 พ.ค. 2567                       

ทั้งนี้ การเติบโตของ 3 ธุรกิจใหม่ ในปี 2566 มีดังนี้                                                                

1. ธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน Oxygen มีรายได้ 481 ล้านบาท และพอร์ตสินเชื่อ 5,940 ล้านบาท โตขึ้นกว่า 2,341 ล้านบาท หรือ 66% เมื่อเทียบกับปี 2565 ทั้งนี้ Oxygen ยังคงรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ดี โดยลูกหนี้ทั้งหมดมีสถานะปกติ ไม่มีลูกหนี้ที่เป็น NPL แต่ Oxygen ได้ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ตามหลักความระมัดระวังรอบคอบ เป็นจำนวน 95 ล้านบาท เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและไม่แน่นอน                            

2. ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ OAM เริ่มรับรู้รายได้ดอกเบี้ยในไตรมาส 2 ปี 2566 หลังประมูลพอร์ต NPL แรกได้สำเร็จในปลายไตรมาส 1 ปี 2566 และต่อมาในปลายปี OAM ได้ซื้อพอร์ต NPL เพิ่มอีก 2 พอร์ต ส่งผลให้มูลค่าพอร์ตบริหารหนี้ของ OAM อยู่ที่กว่า 3,800 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 โดยในปี 2566 OAM มีรายได้ดอกเบี้ยรวม 72 ล้านบาท และได้ตั้งสำรอง ECL จำนวน 13 ล้านบาท เพื่อรองรับความผันผวนของธุรกิจและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต                                                                                                         

3. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย TNLA มีรายได้ 287 ล้านบาท ในปี 2566 จากการกำกับดูแลโครงการ และรายได้ดอกเบี้ยรับ จากการให้เงินกู้ยืมแก่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ 6 กิจการร่วมค้า ร่วมกับ NOBLE

“MC” พบนักลงทุน เผยไตรมาส 3 ปีบัญชี 67 มั่นใจโตต่อเนื่อง เปิดแผนครึ่งปีหลัง ผนึกพันธมิตรลุยขยายฐานลูกค้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC โดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายปิยะ โอฬารริกสุภัค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านบัญชีและการเงิน ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผ่านช่องทางออนไลน์

MC แจ้งต่อนักลงทุนว่า ผลงานครึ่งปีหลังปีบัญชี 2567 ยังเติบโตต่อเนื่อง จากการเดินหน้าในการขยายธุรกิจ ทั้งการขยายสาขา Mc Outlet และการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ Mc Resort 2024 รวมไปถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำ “แม็คยีนส์ แบรนด์ยีนส์อันดับ 1 ของไทย” เพื่อสนับสนุนให้ผลดำเนินงานของบริษัท เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

รวมทั้งเชื่อมั่นผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 จะนิวไฮต่อจากไตรมาส 2 ปีบัญชี 2567 (1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2566) กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ  283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิ 129.08 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น14.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 246 ล้านบาท หนุนงวดครึ่งปี ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. – 31 ธ.ค. 2566) มีกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% เมื่อเทียบงวดเดียวกัน มีกำไรสุทธิ 362 ล้านบาท  และคณะกรรมการมีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.50 บาท จะจ่ายเป็นเงินสดในวันที่ 12 มี.ค.นี้

เมืองไทยประกันชีวิต สร้างผลงานโดดเด่นบนโซเชียล คว้า 2 รางวัลใหญ่เวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12

เมืองไทยประกันชีวิต คว้า 2 รางวัลใหญ่ จากเวที Thailand Social Awards ครั้งที่ 12
Best Brand Performance on Social Media สาขา Insurance & Assurance
และ Best Brand Performance Campaign on TikTok

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับ 2 รางวัลใหญ่ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance (แบรนด์ที่ทำผลงาน ยอดเยี่ยมบนโซเชียลมีเดีย สาขากลุ่มธุรกิจประกันภัย (ประกันวินาศภัย และประกันชีวิต) เป็นครั้งที่ 4 และรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ในงานประกาศรางวัลโซเชียลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย Thailand Social Awards ครั้งที่ 12 จัดขึ้นโดยบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด งานนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ความสำคัญกับวงการโซเชียลที่เป็น ส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ อีกทั้งยังร่วมส่งเสริมการใช้โซเชียลมีเดีย อย่างสร้างสรรค์ และยกระดับวงการโซเชียล ด้วยการมอบรางวัลเชิดชูผู้ใช้โซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในสาขาต่าง ๆ โดยงานดังกล่าว จัดขึ้น ณ ทรูไอคอน ฮอลล์ ไอคอนสยาม

ทั้งนี้ รางวัล “Best Brand Performance on Social Media” สาขา Insurance & Assurance ตัดสินจากค่าชี้วัด แบรนด์ (BRAND SCORE) ค่าชี้วัดผลประสิทธิภาพการทำงานบนโซเชียลมีเดียของแบรนด์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ โดยวัดประสิทธิภาพการสื่อสารจากช่องทางหลักของแบรนด์ (Own Chanel) และจากช่องทางที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ (Earn Channel) ผ่าน 5 ช่องทาง คือ Facebook, Instagram, TikTok, Twitter และ YouTube ทั้งประสิทธิภาพเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นที่มีต่อแบรนด์ (Sentiment Score) อีกด้วย

สำหรับรางวัล “Best Brand Performance Campaign on TikTok” ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกของการมอบรางวัลจากทาง TikTok Thailand โดยเป็นรางวัลให้กับแบรนด์ที่มีแคมเปญการโฆษณาและการตลาดผ่าน TikTok for Business อย่างสร้างสรรค์ และทำให้เกิดการรับรู้แบรนด์ การมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างสูงที่สุดในประเทศไทย