ซีพี ออลล์ ผนึก ตร.ท่องเที่ยว เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 จุดที่ร้านเซเว่นฯ ทั่วไทย

112

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เดินหน้ายกระดับการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยร่วมมือกับ ซีพี ออลล์ เปิดจุดรับแจ้งเหตุให้กับนักท่องเที่ยว  ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น

พลตำรวจโท ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว รวมถึงการปรับเงื่อนไขและขั้นตอนการเข้าประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงได้นำโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ยึดหลักแนวทาง Smart Safety Zone มาประยุกต์ใช้ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 แห่ง ใน 18 จังหวัด และได้ร่วมมือกับซีพี ออลล์ ดำเนินโครงการ “ตำรวจท่องเที่ยว X 7-Eleven เปิดจุดรับแจ้งเหตุสำหรับนักท่องเที่ยว นำร่อง 20 แหล่งท่องเที่ยว” ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่นนั้น สืบเนื่องจากเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นร้านสะดวกซื้อที่ประชาชนทั่วไปรู้จัก ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และขยายสาขามากมายทั่วประเทศ จึงเหมาะสมต่อการเป็นจุดที่จะให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ โดยเบื้องต้นกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวเริ่มจัดให้มีการอบรมอาสาสมัครตามโครงการชุมชนท่องเที่ยวเข้มแข็ง Strong Tourism Community (S.T.C.) ไปแล้ว จำนวน 1,516 ราย ประกอบด้วย 1. อาสาสมัครทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ 586 ราย 2. พนักงานรักษาความปลอดภัยสถานบริการ 623 ราย และ 3. พนักงานร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 307 ราย

ด้าน นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า เซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากว่า 14,000 สาขาทั่วประเทศ และมีพนักงานกว่า 200,000 คน ซึ่งพนักงานทุกคนได้รับการอบรมให้มีใจบริการ ได้รับการปลูกฝัง DNA ในการช่วยเหลือสังคมและชุมชนอย่างต่อเนื่อง ตามโครงการ“แสนคนแสนความดี” และที่สำคัญร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศและเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง การเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จึงเป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของตำรวจท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการผนึกกำลังโดยใช้จุดแข็งของ 3 ส่วนคือ ตำรวจท่องเที่ยว ชุมชนแหล่งท่องเที่ยว และเซเว่น อีเลฟเว่น โดยเปิดจุดรับแจ้งเหตุในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงบริการของตำรวจได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินการในระยะแรก ได้มีการคัดเลือกร้านเซเว่น อีเลฟเว่น จำนวน 156 สาขา ในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และใกล้เคียง 20 พื้นที่ ใน 18 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ พนักงานจากสาขาเหล่านี้ กว่า 300 คน จะได้รับการอบรมให้มีความรู้และทักษะในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตำรวจท่องเที่ยวที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรับแจ้งเหตุ ให้ข้อมูล และประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ ให้เข้าช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วและทันท่วงที พร้อมทั้งสื่อสารให้พนักงานทุกสาขารับทราบเรื่องความร่วมมือในครั้งนี้ และจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น รวมถึงสื่อ Onlineเพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับและประสานงานกับตำรวจท่องเที่ยวเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ 20 พื้นที่ ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เข้าร่วมโครงการในเฟสแรก ได้แก่ 1. ถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ 2. ซอยคาวบอย กรุงเทพฯ 3. วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ 4. วัดไชยวัฒนาราม จ.พระนครศรีอยุธยา 5. พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ.ลพบุรี 6. ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง จ.สมุทรปราการ 7. ชุมชนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี 8. ตลาดโต้รุ่งหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 9. ถนนคนเดินบางลา  จ.ภูเก็ต 10. ชุมชนพิชเชอร์แมน เกาะสมุย 11. อ่าวนาง แลนด์มาร์ค จ.กระบี่ 12. ถนนเสน่หานุสรณ์ จ.สงขลา   13. วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก 14. ถนนคนเดินประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ 15. เชียงรายไนท์บาซาร์  จ.เชียงราย 16. ถนนข้าวเหนียว จังหวัดขอนแก่น 17. ถนนคนเดินเชียงคาน จ.เลย 18. ชุนชนเขาใหญ่  จ.นครราชสีมา 19. ถนนคนเดินนครพนม จ.นครพนม 20. ถนนคนเดินพัทยา จ.ชลบุรี

ความร่วมมือในครั้งนี้ นอกจากบริษัทจะเล็งเห็นถึงความสำคัญของการยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยและความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโต สร้างรายได้เข้าประเทศด้วย เซเว่น อีเลฟเว่น ในฐานะภาคเอกชนที่อยู่เคียงข้างสังคม ชุมชม และเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยว จึงเชื่อมั่นว่าการเข้ามาร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวก และมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับปณิธาน “Giving and Sharing” อันเป็นปณิธานขององค์กรที่เรายึดถือมาโดยตลอด